ผ่านมาครึ่งปีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่คงเริ่มกลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนที่เคยสะสมไว้ตั้งแต่ต้นปี เพื่อเป็นการปรับสมดุลพอร์ต และช่วยให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง วันนี้ Krungsri The COACH ขอชวนมาทำความรู้จักกับ 2 วิธีปรับเปลี่ยนกองทุนที่นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น
“Asset Allocation” การกระจายเงินทุน และ
“Rebalancing” การปรับสมดุลพอร์ต ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ดี
Asset Allocation และ Rebalancing ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนให้ปังอย่างไร?
มาดูกันว่า Asset Allocation และ Rebalancing สามารถช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของเราให้ความเสี่ยงต่ำ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้อย่างไร
Asset Allocation หรือการกระจายเงินทุน
การทำ Asset Allocation คือ การกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนสามารถยอมรับได้เป็นหลัก รวมถึงเป้าหมาย และระยะเวลาการลงทุนด้วย ซึ่งถ้าเราทำได้ดี ก็จะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมได้
ตัวอย่างการทำ Asset Allocation ตามระดับความเสี่ยง
หมายเหตุ: ผลตอบแทนเฉลี่ย/ปี อ้างอิงจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ตารางนี้แสดงตัวอย่างการจัดพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 3 ประเภทสินทรัพย์หลัก ได้แก่
- หุ้น : มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน
- ตราสารหนี้ : ให้ผลตอบแทนปานกลาง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น
- เงินสด : หรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด เช่น เงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน มีความปลอดภัยสูง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
แล้วแต่ละคนเหมาะกับระดับความเสี่ยงเท่าไร เราได้สรุปมาให้แล้ว ดังนี้
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ (Conservative)
เหมาะกับผู้ที่ใกล้เกษียณอายุ หรือต้องการรักษาเงินต้นเป็นหลัก ผู้ที่รับความผันผวนของเงินลงทุนได้น้อยมาก หรือไม่สบายใจเมื่อเห็นพอร์ตติดลบ ผู้ที่มีเป้าหมายการลงทุนระยะสั้น (1-3 ปี) และต้องการสภาพคล่องสูง รวมถึงผู้ที่เริ่มต้นลงทุน และยังไม่คุ้นเคยกับความเสี่ยง
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง (Balanced)
เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน มีระยะเวลาลงทุนปานกลางถึงยาว (3-5 ปีขึ้นไป) ยอมรับความผันผวนของเงินลงทุนได้บ้าง เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่ากลุ่มเสี่ยงต่ำ มีรายได้มั่นคง และมีเงินออมสำรองฉุกเฉินเพียงพอแล้ว ต้องการสร้างการเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่ไปกับการรักษาเงินต้นในระดับหนึ่ง
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง (Aggressive)
เหมาะกับผู้ที่อายุน้อย มีระยะเวลาลงทุนยาวนาน (5-10 ปีขึ้นไป) เข้าใจ และยอมรับความผันผวนสูงของตลาดได้ดี ไม่ตื่นตระหนกเมื่อพอร์ตติดลบหนัก มีรายได้มั่นคงสูง ไม่มีภาระหนี้สินมากนัก และมีเงินเย็นที่พร้อมจะลงทุนระยะยาว ต้องการสร้างผลตอบแทนสูง และพร้อมรับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย
Rebalancing การปรับสัดส่วนให้พอร์ตสมดุล
การ
Rebalancing เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสามารถนำมาใช้เพื่อบริหาร หรือปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองให้เหมาะสมกับเป้าหมาย และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยหลังจากทำ Asset Allocation และลงทุนตามแผนที่วางไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของสินทรัพย์แต่ละประเภทอาจทำให้สัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้ระดับความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตเบี่ยงเบนไปจากที่ตั้งใจไว้ สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ
- ลดสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีมากเกินไป (Overweight) :
หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนในพอร์ตของคุณเติบโตมากกว่าที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ให้พิจารณา ลดปริมาณลง เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่สัดส่วนลดลงไป ช่วยให้พอร์ตกลับมาสมดุลตามที่ตั้งใจได้
- เพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีน้อยเกินไป (Underweight) :
หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ คุณสามารถ ลงทุนเพิ่ม ในสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อให้สัดส่วนกลับมาเท่าเดิมตามแผนที่วางไว้ เช่น กรณีที่ลงทุนในกองทุนรวม ก็สามารถใช้วิธีการสับเปลี่ยน (Fund Switching) แทนการขายเพื่อซื้อกองทุนรวมตัวใหม่ เพราะการ switching ก็คือการขายกองทุนต้นทางเพื่อซื้อกองทุนปลายทาง ผ่านการส่งคำสั่งเดียว หรือที่เรียกว่า “คำสั่งสับเปลี่ยน”
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นเติบโตได้ดีมาก สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตอาจเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 80% (ในกรณีนักลงทุนแบบ Balanced) ทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าเดิม ขณะที่สัดส่วนของตราสารหนี้ และเงินสดลดลง
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการ Rebalancing เพื่อปรับสมดุลของพอร์ตให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิมที่ตั้งใจไว้ หรือปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ โดยการ Rebalancing อาจทำเป็นประจำทุก 3 เดือน, 6 เดือน, หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับความสะดวก และสภาวะตลาด
ตัวอย่างการทำ Rebalancing
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า หลังจากการทำ Rebalancing สัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตจะกลับมาตรงตาม Asset Allocation ที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ทำให้ระดับความเสี่ยงของพอร์ตกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้อีกครั้ง
สรุปแล้ว Asset Allocation และ Rebalancing เป็นเครื่องมือ และกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของเรา การทำความเข้าใจ และนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และที่สำคัญคือช่วยให้การเดินทางบนเส้นทางการลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น และมั่นใจมากยิ่งขึ้น
Krungsri The COACH แนะนำ : ลงทุนในกองทุนในกลุ่ม “กรุงศรี The One” เลือกความเสี่ยงได้ตรงใจ
หากนักลงทุนรู้สึกว่า ทั้ง Asset Allocation และ Rebalancing เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ Krungsri The COACH ขอแนะนำ กองทุนกลุ่ม
“กรุงศรี The One” ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยจะเป็นกองทุนที่ บลจ.กรุงศรี ออกแบบมาให้มีการจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (ทั้งใน และต่างประเทศ) ไว้อย่างเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็นระดับความเสี่ยง และเป้าหมายผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนแต่ละประเภทได้อย่างลงตัว มี 3 กองทุนที่น่าสนใจ ดังนี้
- KF1MILD
- กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : เน้นการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ (70%) และเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เล็กน้อย (30%) เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและปกป้องเงินลงทุน
- กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
- ตราสารหนี้ : 60%-85%
- หุ้น : 15%-35%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
- พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
- ตราสารหนี้ไทย : 36%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 34%
- หุ้นต่างประเทศ : 18.8%
- หุ้นไทย : 5.8%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
- จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ
- KF1MEAN
- กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : กระจายสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ และสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่ใกล้เคียงกัน (ตราสารหนี้ 50%, หุ้น และอื่น ๆ 50%) เพื่อสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
- กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
- ตราสารหนี้ : 35%-65%
- หุ้น : 30%-60%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
- พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
- ตราสารหนี้ไทย : 28%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 26%
- หุ้นต่างประเทศ : 31%
- หุ้นไทย : 10%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
- จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ต้องการสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
- KF1MAX
- กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (80%) โดยเฉพาะหุ้น เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุด และมีการลงทุนในตราสารหนี้เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง (20%)
- กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
- ตราสารหนี้ : 15%-40%
- หุ้น : 50%-80%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
- พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
- ตราสารหนี้ไทย : 20%
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 18%
- หุ้นต่างประเทศ : 46.5%
- หุ้นไทย : 10.5%
- สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
- จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุดและสามารถรับความผันผวนได้
ตารางเปรียบเทียบรายละเอียดของกองทุนในกลุ่ม “กรุงศรี The One”
*ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 30 เม.ย. 68
หมายเหตุ : กองทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนไม่ถึง 100% เนื่องจากมีการถือครองเงินสด (ซึ่งเป็นปกติในการบริหารกองทุน)
การเลือกกองทุนควรพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป้าหมายการลงทุน และระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล
การทำความเข้าใจ และนำ Asset Allocation กับ Rebalancing มาใช้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับพอร์ตให้ปัง ครอบคลุมทั้งการกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง สำหรับใครที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น กองทุนกลุ่ม “กรุงศรี The One” ก็เป็นทางเลือกที่ดี ที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ได้สำเร็จ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
หมายเหตุ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.กรุงศรี เท่านั้น
อ้างอิง