รู้จัก Asset Allocation และ Rebalancing กับเทคนิคปรับพอร์ตสู้ตลาดผันผวน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

รู้จัก Asset Allocation และ Rebalancing กับเทคนิคปรับพอร์ตสู้ตลาดผันผวน

icon-access-time Posted On 29 มิถุนายน 2568
By Krungsri The COACH
ผ่านมาครึ่งปีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่คงเริ่มกลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนที่เคยสะสมไว้ตั้งแต่ต้นปี เพื่อเป็นการปรับสมดุลพอร์ต และช่วยให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง วันนี้ Krungsri The COACH ขอชวนมาทำความรู้จักกับ 2 วิธีปรับเปลี่ยนกองทุนที่นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น Asset Allocation การกระจายเงินทุน และ “Rebalancing” การปรับสมดุลพอร์ต ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ดี

Asset Allocation และ Rebalancing ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนให้ปังอย่างไร?

มาดูกันว่า Asset Allocation และ Rebalancing สามารถช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของเราให้ความเสี่ยงต่ำ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้อย่างไร
 

Asset Allocation หรือการกระจายเงินทุน

การกระจายเงินทุน (Asset Allocation)

การทำ Asset Allocation คือ การกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนสามารถยอมรับได้เป็นหลัก รวมถึงเป้าหมาย และระยะเวลาการลงทุนด้วย ซึ่งถ้าเราทำได้ดี ก็จะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมได้

ตัวอย่างการทำ Asset Allocation ตามระดับความเสี่ยง
 
ระดับความเสี่ยง สัดส่วนของหุ้น สัดส่วนของตราสารหนี้ สัดส่วนของเงินสด ผลตอบแทนเฉลี่ย/ปี ความผันผวน
เสี่ยงต่ำ
(Conservative)
20% 60% 20% 2.80% ต่ำ
เสี่ยงปานกลาง
(Balanced)
50% 40% 10% 4.46% ปานกลาง
เสี่ยงสูง
(Aggressive)
80% 15% 5% 5.47% สูง
หมายเหตุ: ผลตอบแทนเฉลี่ย/ปี อ้างอิงจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ตารางนี้แสดงตัวอย่างการจัดพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 3 ประเภทสินทรัพย์หลัก ได้แก่
  • หุ้น : มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน
  • ตราสารหนี้ : ให้ผลตอบแทนปานกลาง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น
  • เงินสด : หรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด เช่น เงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน มีความปลอดภัยสูง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
แล้วแต่ละคนเหมาะกับระดับความเสี่ยงเท่าไร เราได้สรุปมาให้แล้ว ดังนี้
 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ (Conservative)

เหมาะกับผู้ที่ใกล้เกษียณอายุ หรือต้องการรักษาเงินต้นเป็นหลัก ผู้ที่รับความผันผวนของเงินลงทุนได้น้อยมาก หรือไม่สบายใจเมื่อเห็นพอร์ตติดลบ ผู้ที่มีเป้าหมายการลงทุนระยะสั้น (1-3 ปี) และต้องการสภาพคล่องสูง รวมถึงผู้ที่เริ่มต้นลงทุน และยังไม่คุ้นเคยกับความเสี่ยง
 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง (Balanced)

เหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน มีระยะเวลาลงทุนปานกลางถึงยาว (3-5 ปีขึ้นไป) ยอมรับความผันผวนของเงินลงทุนได้บ้าง เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่ากลุ่มเสี่ยงต่ำ มีรายได้มั่นคง และมีเงินออมสำรองฉุกเฉินเพียงพอแล้ว ต้องการสร้างการเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่ไปกับการรักษาเงินต้นในระดับหนึ่ง
 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง (Aggressive)

เหมาะกับผู้ที่อายุน้อย มีระยะเวลาลงทุนยาวนาน (5-10 ปีขึ้นไป) เข้าใจ และยอมรับความผันผวนสูงของตลาดได้ดี ไม่ตื่นตระหนกเมื่อพอร์ตติดลบหนัก มีรายได้มั่นคงสูง ไม่มีภาระหนี้สินมากนัก และมีเงินเย็นที่พร้อมจะลงทุนระยะยาว ต้องการสร้างผลตอบแทนสูง และพร้อมรับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย
 

Rebalancing การปรับสัดส่วนให้พอร์ตสมดุล

ปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing)

การ Rebalancing เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสามารถนำมาใช้เพื่อบริหาร หรือปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองให้เหมาะสมกับเป้าหมาย และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยหลังจากทำ Asset Allocation และลงทุนตามแผนที่วางไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของสินทรัพย์แต่ละประเภทอาจทำให้สัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้ระดับความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตเบี่ยงเบนไปจากที่ตั้งใจไว้ สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ
  1. ลดสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีมากเกินไป (Overweight) :
    หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนในพอร์ตของคุณเติบโตมากกว่าที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ให้พิจารณา ลดปริมาณลง เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่สัดส่วนลดลงไป ช่วยให้พอร์ตกลับมาสมดุลตามที่ตั้งใจได้
  2. เพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีน้อยเกินไป (Underweight) :
    หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ คุณสามารถ ลงทุนเพิ่ม ในสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อให้สัดส่วนกลับมาเท่าเดิมตามแผนที่วางไว้ เช่น กรณีที่ลงทุนในกองทุนรวม ก็สามารถใช้วิธีการสับเปลี่ยน (Fund Switching) แทนการขายเพื่อซื้อกองทุนรวมตัวใหม่ เพราะการ switching ก็คือการขายกองทุนต้นทางเพื่อซื้อกองทุนปลายทาง ผ่านการส่งคำสั่งเดียว หรือที่เรียกว่า “คำสั่งสับเปลี่ยน”

ตัวอย่างเช่น หากหุ้นเติบโตได้ดีมาก สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตอาจเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 80% (ในกรณีนักลงทุนแบบ Balanced) ทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าเดิม ขณะที่สัดส่วนของตราสารหนี้ และเงินสดลดลง

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการ Rebalancing เพื่อปรับสมดุลของพอร์ตให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิมที่ตั้งใจไว้ หรือปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ โดยการ Rebalancing อาจทำเป็นประจำทุก 3 เดือน, 6 เดือน, หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับความสะดวก และสภาวะตลาด
 
ตัวอย่างการทำ Rebalancing
 
สินทรัพย์ เริ่มลงทุน ผ่านไป 1 ปี หลังปรับสัดส่วน จำนวน/สัดส่วนที่ปรับ
จำนวนเงิน (บาท) สัดส่วน (%) มูลค่าเงินลงทุน (บาท) สัดส่วน (%) มูลค่าเงินลงทุน (บาท) สัดส่วน (%) จำนวนที่ปรับเพิ่ม หรือลด (บาท) สัดส่วนที่ปรับ (%)
ตราสารหนี้ 40,000 40% 41,000 39% 42,000 40% 1,000 1%
หุ้น 50,000 50% 55,000 52% 52,500 50% -2,500 -2%
ทองคำ 10,000 10% 9,000 9% 10,500 10% 1,500 1%
รวม 100,000 100% 105,000 100% 105,000 100% 0 0%
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า หลังจากการทำ Rebalancing สัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตจะกลับมาตรงตาม Asset Allocation ที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ทำให้ระดับความเสี่ยงของพอร์ตกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้อีกครั้ง

สรุปแล้ว Asset Allocation และ Rebalancing เป็นเครื่องมือ และกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของเรา การทำความเข้าใจ และนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และที่สำคัญคือช่วยให้การเดินทางบนเส้นทางการลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น และมั่นใจมากยิ่งขึ้น
 
ทริคจัดพอร์ตการลงทุน
 

Krungsri The COACH แนะนำ : ลงทุนในกองทุนในกลุ่ม “กรุงศรี The One” เลือกความเสี่ยงได้ตรงใจ

ลงทุนกองทุนกรุงศรี

หากนักลงทุนรู้สึกว่า ทั้ง Asset Allocation และ Rebalancing เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ Krungsri The COACH ขอแนะนำ กองทุนกลุ่ม กรุงศรี The One ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยจะเป็นกองทุนที่ บลจ.กรุงศรี ออกแบบมาให้มีการจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (ทั้งใน และต่างประเทศ) ไว้อย่างเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็นระดับความเสี่ยง และเป้าหมายผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนแต่ละประเภทได้อย่างลงตัว มี 3 กองทุนที่น่าสนใจ ดังนี้
  1. KF1MILD
    • กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : เน้นการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ (70%) และเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เล็กน้อย (30%) เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและปกป้องเงินลงทุน
    • กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
      • ตราสารหนี้ : 60%-85%
      • หุ้น : 15%-35%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
    • พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
      • ตราสารหนี้ไทย : 36%
      • ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 34%
      • หุ้นต่างประเทศ : 18.8%
      • หุ้นไทย : 5.8%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
    • จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ
  2. KF1MEAN
    • กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : กระจายสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ และสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่ใกล้เคียงกัน (ตราสารหนี้ 50%, หุ้น และอื่น ๆ 50%) เพื่อสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
    • กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
      • ตราสารหนี้ : 35%-65%
      • หุ้น : 30%-60%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
    • พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
      • ตราสารหนี้ไทย : 28%
      • ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 26%
      • หุ้นต่างประเทศ : 31%
      • หุ้นไทย : 10%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
    • จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ต้องการสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
  3. KF1MAX
    • กลยุทธ์การลงทุน (SAA) : เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (80%) โดยเฉพาะหุ้น เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุด และมีการลงทุนในตราสารหนี้เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง (20%)
    • กรอบน้ำหนักการลงทุนรายสินทรัพย์ :
      • ตราสารหนี้ : 15%-40%
      • หุ้น : 50%-80%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
    • พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน :
      • ตราสารหนี้ไทย : 20%
      • ตราสารหนี้ต่างประเทศ : 18%
      • หุ้นต่างประเทศ : 46.5%
      • หุ้นไทย : 10.5%
      • สินทรัพย์ทางเลือก : 5%
    • จุดเด่น : เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุดและสามารถรับความผันผวนได้

ตารางเปรียบเทียบรายละเอียดของกองทุนในกลุ่ม “กรุงศรี The One”
 
รายการ KF1MILD
(ความเสี่ยงต่ำ)
KF1MEAN
(ความเสี่ยงปานกลาง)
KF1MAX
(ความเสี่ยงสูง)
กลยุทธ์การลงทุน (SAA) ตราสารหนี้ 70%,
สินทรัพย์เสี่ยง 30%
ตราสารหนี้ 50%,
สินทรัพย์เสี่ยง 50%
สินทรัพย์เสี่ยง 80%,
ตราสารหนี้ 20%
กรอบน้ำหนักการลงทุน ตราสารหนี้ : 60%-85%
หุ้น : 15%-35%
สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
ตราสารหนี้ : 35%-65%
หุ้น : 30%-60%
สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
ตราสารหนี้ : 15%-40%
หุ้น : 50%-80%
สินทรัพย์ทางเลือก : 0%-10%
จุดเด่น เน้นสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ เน้นสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น ช่วยสร้างโอกาสการเติบโต เน้นลงทุนหุ้นในสัดส่วนที่สูง เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว
เหมาะกับผู้ลงทุนแบบใด รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ รับความเสี่ยงได้ปานกลาง รับความเสี่ยงได้สูง
*ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 30 เม.ย. 68
หมายเหตุ : กองทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนไม่ถึง 100% เนื่องจากมีการถือครองเงินสด (ซึ่งเป็นปกติในการบริหารกองทุน)

การเลือกกองทุนควรพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป้าหมายการลงทุน และระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล


การทำความเข้าใจ และนำ Asset Allocation กับ Rebalancing มาใช้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับพอร์ตให้ปัง ครอบคลุมทั้งการกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง สำหรับใครที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น กองทุนกลุ่ม “กรุงศรี The One” ก็เป็นทางเลือกที่ดี ที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ได้สำเร็จ

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทําให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

หมายเหตุ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.กรุงศรี เท่านั้น


อ้างอิง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา