เจาะลึก 3 กองทุนเติบโตดี สู้เศรษฐกิจโลกผันผวน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

เจาะลึก 3 กองทุนเติบโตดี สู้เศรษฐกิจโลกผันผวน

icon-access-time Posted On 31 สิงหาคม 2566
By Krungsri The COACH
การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะมีโอกาสเติบโตสูงจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ที่เติบโต และจากธุรกิจที่หลากหลาย และมีศักยภาพในการเติบโต ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว

ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปดูกองทุนรวมจาก 3 ประเทศที่กำลังน่าสนใจ และมีศักยภาพในการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยกองทุนรวมจากทั้ง 3 ประเทศนี้จะมีความน่าสนใจอย่างไร? มาดูไปพร้อมกันเลย
กองทุนรวมในเอเชียใต้

โดยประเทศที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการเติบโตในการเข้าไปลงทุนผ่านกองทุนรวม คือ ประเทศเวียดนาม, ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศอินเดีย

1. ประเทศเวียดนาม

กองทุนรวมในเวียดนาม

ประเทศที่ถูกขานว่า จะเป็นเสือตัวใหม่ของเอเชีย เพราะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ ทำให้มีเม็ดเงินจากชาวต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ตลอด โดยระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมีการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ล่าสุดในปี 2565 GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 8% ไปแตะที่ระดับ 6.5%

สาเหตุหลักนั้นมาจาก การบริโภคภายในที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเวียดนามยังเป็นฐานการผลิตให้กับธุรกิจสำคัญของโลก เช่น อุตสาหกรรม IT ที่ภาคการผลิตจะเติบโตขึ้น จากการที่เป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Samsung หรือ อุตสาหกรรมเหล็ก ที่เวียดนามเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

2. ประเทศอินโดนีเซีย

กองทุนรวมในธุรกิจรถยนต์ EV

เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจุดแข็งที่สำคัญคือ มีแหล่งนิกเกิลธรรมชาติ คิดเป็น 52% ของแหล่งนิกเกิลทั่วโลก ทำให้ประเทศอินโดนีเซียนี้กำลังจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ EV ที่กำลังเติบโต ของอาเซียน เช่น การตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของ Tesla หรือ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ที่ปัจจุบันบรรลุข้อตกลง เรื่องทำเหมือง และการแปรรูปนิกเกิล วัสดุแบตเตอรี่ EV จนถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่แล้ว

3. ประเทศอินเดีย

ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งคาดว่าในปี 2024 นี้ อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ด้วยมูลค่า GDP กว่า 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ สืบเนื่องจากศูนย์การค้าทางทะเลจะย้ายจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย จึงส่งผลให้จีน และอินเดียจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 อีกด้วย

และเนื่องจากอินเดียมีเศรษฐกิจที่แข็งแรง ธุรกิจที่น่าลงทุนอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นกลุ่มธุรกิจพวกระบบสาธารณูปโภค หรือภาคการเงิน นั่นเอง

หลายคนคงเริ่มสนใจการลงทุนใน 3 ประเทศนี้บ้างแล้ว เรามาดูกันต่อว่า

ตัวอย่างกองทุนรวมที่น่าสนใจ ที่มีนโยบายลงทุนใน 3 ประเทศนี้ จะมีกองทุนไหนบ้าง

1. KFVIET-A กองทุนเปิดกรุงศรีเวียดนามอิควิตี้-สะสมมูลค่า

กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน หรือ ETF ของประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV)

โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) กองทุนลงทุนในกองทุนทุนหลักคือ JP Morgan Vietnam Opportunities Fund 62% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และ Trackers FTSE Vietnam Swap UCITS ETF 18% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี : 19.95% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)


ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) เช่น

  1. Hoa Phat Group - บริษัทผลิตเหล็กชั้นนำของประเทศเวียดนาม
  2. Vietnam Dairy Products – บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม และทำฟาร์มโคนม
  3. Vinhomes (VHM ) - บริษัทจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 ของประเทศเวียดนาม
  4. Vietcombank (VCB ) - สถาบันการเงินที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของประเทศเวียดนาม (Bank)
  5. Vingroup (VIC ) - บริษัทค้าปลีก และโรงแรม และเป็นบริษัทใหญ่สุดของเวียดนาม (Hotel) 


ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ

มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

2. KF-INDIA กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้-สะสมมูลค่า

มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ FSSA IndianSubcontinentFund (Class III USD) ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในทวีปอินเดีย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ

ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี :10.19 % (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)


ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 66) เช่น

  1. HDFC Bank (HDFC) - ผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในอินเดีย
  2. Colgate-Palmolive (India) Limited (COLPAL) - บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน
  3. ICICI Bank - บริษัททางการเงินของอินเดีย โดยเป็นธนาคารอันดับสองของอินเดีย
  4. Godrej Industries Limited - เป็นบริษัท โฮลดิ้ง ขนาดใหญ่ของประเทศอินเดีย
  5. Tata Motors Limited - บริษัทรถยนต์ชื่อดังของประเทศอินเดีย


ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ

มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศอินเดีย และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

3. KFHASIA-A กองทุนเปิดกรุงศรีเอเชียนอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า

มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ Baillie GiffordPacificFund (Class B Acc) ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่อยู่ในทวีปเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ

ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี : -2.15% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)
(สาเหตุหลักมาจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงมาอย่างมาก)

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) มีสัดส่วนการลงทุนในประเทศ
  1. จีน 33.3%
  2. อินเดีย 19.8%
  3. เกาหลีใต้ 15.2%
  4. ไต้หวัน 10.3%
  5. อินโดนีเซีย 9.5% 


ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 66) เช่น

  1. TSMC – บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และเป็นผู้ผลิตชิป ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple
  2. Samsung Electronics - บริษัทลูกของ Samsung ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
  3. Reliance Industries – บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และกิจการโทรคมนาคม เป็นต้น
  4. Ping An Insurance – บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน
  5. Samsung SDI – บริษัทลูกของ Samsung ที่ทำหน้าที่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับสมาร์ตโฟน Samsung และแบตเตอรี่สำหรับรถยน


ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ

มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มเอเชีย และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ทั้ง 3 กองทุนรวม เน้นลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคา หรือมีโอกาสที่เงินต้น หรือเงินลงทุนของเราจะลดลง ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินฝาก และเป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงของปัจจัยต่างประเทศ ที่รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาด้วย
 
การเติบโตของกองทุนรวม

ดังนั้น การลงทุนใน 3 กองทุนรวมนี้จึงเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ มุ่งเน้นผลตอบแทนในระยะยาว และรับความเสี่ยงจากปัจจัยของต่างประเทศที่อาจมากระทบมูลค่ากองทุนรวมที่เราลงทุนได้ นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าทิศทางของตลาดหุ้นเหล่านี้จะเป็นอย่างไร หากเรามองว่าตลาดหุ้นเรานี้จะเติบโตได้ในระยะยาว และเราไม่มั่นใจในการจับจังหวะลงทุน การ DCA (Dollar Cost Average) หรือการทยอยลงทุนด้วยเงินที่เท่ากันแบบสม่ำเสมอในทุกเดือน หรือทุกไตรมาส ก็เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ ที่จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุน และช่วยให้เรามีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะลงทุนอะไร เราควรติดตามสภาวะตลาด และผลประกอบการของกองทุนที่เราถืออยู่อย่างน้อยทุกไตรมาส เพราะสถานการณ์ และสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอาจกระทบกับความน่าสนใจของตลาด หรือหุ้นที่กองทุนถืออยู่ และผลตอบแทนของกองทุนเหล่านั้นได้ นั่นเอง

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

  • ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • KFVIET-A, KF-INDIA ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • KFVIET-A ลงทุนกระจุกตัวในตราสารผู้ออกจึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา