การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะมีโอกาสเติบโตสูงจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ที่เติบโต และจากธุรกิจที่หลากหลาย และมีศักยภาพในการเติบโต ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปดูกองทุนรวมจาก 3 ประเทศที่กำลังน่าสนใจ และมีศักยภาพในการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยกองทุนรวมจากทั้ง 3 ประเทศนี้จะมีความน่าสนใจอย่างไร? มาดูไปพร้อมกันเลย
โดยประเทศที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการเติบโตในการเข้าไปลงทุนผ่านกองทุนรวม คือ ประเทศเวียดนาม, ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศอินเดีย
1. ประเทศเวียดนาม
ประเทศที่ถูกขานว่า จะเป็น
เสือตัวใหม่ของเอเชีย เพราะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ ทำให้มีเม็ดเงินจากชาวต่างชาติไหลเข้า
ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ตลอด โดยระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมีการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ล่าสุดในปี 2565 GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 8% ไปแตะที่ระดับ 6.5%
สาเหตุหลักนั้นมาจาก การบริโภคภายในที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเวียดนามยังเป็นฐานการผลิตให้กับธุรกิจสำคัญของโลก เช่น อุตสาหกรรม IT ที่ภาคการผลิตจะเติบโตขึ้น จากการที่เป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Samsung หรือ อุตสาหกรรมเหล็ก ที่เวียดนามเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. ประเทศอินโดนีเซีย
เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจุดแข็งที่สำคัญคือ มีแหล่งนิกเกิลธรรมชาติ คิดเป็น 52% ของแหล่งนิกเกิลทั่วโลก ทำให้ประเทศอินโดนีเซียนี้กำลังจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ EV ที่กำลังเติบโต ของอาเซียน เช่น การตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของ Tesla หรือ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ที่ปัจจุบันบรรลุข้อตกลง เรื่องทำเหมือง และการแปรรูปนิกเกิล วัสดุแบตเตอรี่ EV จนถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่แล้ว
3. ประเทศอินเดีย
ถือเป็น
อีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งคาดว่าในปี 2024 นี้ อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ด้วยมูลค่า GDP กว่า 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ สืบเนื่องจากศูนย์การค้าทางทะเลจะย้ายจากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย จึงส่งผลให้จีน และอินเดียจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 อีกด้วย
และเนื่องจากอินเดียมีเศรษฐกิจที่แข็งแรง ธุรกิจที่น่าลงทุนอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นกลุ่มธุรกิจพวกระบบสาธารณูปโภค หรือภาคการเงิน นั่นเอง
หลายคนคงเริ่มสนใจการลงทุนใน 3 ประเทศนี้บ้างแล้ว เรามาดูกันต่อว่า
ตัวอย่างกองทุนรวมที่น่าสนใจ ที่มีนโยบายลงทุนใน 3 ประเทศนี้ จะมีกองทุนไหนบ้าง
1. KFVIET-A กองทุนเปิดกรุงศรีเวียดนามอิควิตี้-สะสมมูลค่า
กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน หรือ ETF ของประเทศเวียดนาม โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV)
โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) กองทุนลงทุนในกองทุนทุนหลักคือ JP Morgan Vietnam Opportunities Fund 62% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และ Trackers FTSE Vietnam Swap UCITS ETF 18% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี : 19.95% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) เช่น
- Hoa Phat Group - บริษัทผลิตเหล็กชั้นนำของประเทศเวียดนาม
- Vietnam Dairy Products – บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม และทำฟาร์มโคนม
- Vinhomes (VHM ) - บริษัทจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 ของประเทศเวียดนาม
- Vietcombank (VCB ) - สถาบันการเงินที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของประเทศเวียดนาม (Bank)
- Vingroup (VIC ) - บริษัทค้าปลีก และโรงแรม และเป็นบริษัทใหญ่สุดของเวียดนาม (Hotel)
ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ
มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
2. KF-INDIA กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้-สะสมมูลค่า
มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ FSSA IndianSubcontinentFund (Class III USD) ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในทวีปอินเดีย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี :10.19 % (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 66) เช่น
- HDFC Bank (HDFC) - ผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในอินเดีย
- Colgate-Palmolive (India) Limited (COLPAL) - บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน
- ICICI Bank - บริษัททางการเงินของอินเดีย โดยเป็นธนาคารอันดับสองของอินเดีย
- Godrej Industries Limited - เป็นบริษัท โฮลดิ้ง ขนาดใหญ่ของประเทศอินเดีย
- Tata Motors Limited - บริษัทรถยนต์ชื่อดังของประเทศอินเดีย
ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ
มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศอินเดีย และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3. KFHASIA-A กองทุนเปิดกรุงศรีเอเชียนอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า
มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักคือ Baillie GiffordPacificFund (Class B Acc) ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่อยู่ในทวีปเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม : เสี่ยงระดับ 6
มีผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี : -2.15% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ส.ค. 66)
(สาเหตุหลักมาจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงมาอย่างมาก)
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.66) มีสัดส่วนการลงทุนในประเทศ
- จีน 33.3%
- อินเดีย 19.8%
- เกาหลีใต้ 15.2%
- ไต้หวัน 10.3%
- อินโดนีเซีย 9.5%
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนเป็น 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 66) เช่น
- TSMC – บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และเป็นผู้ผลิตชิป ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple
- Samsung Electronics - บริษัทลูกของ Samsung ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
- Reliance Industries – บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และกิจการโทรคมนาคม เป็นต้น
- Ping An Insurance – บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน
- Samsung SDI – บริษัทลูกของ Samsung ที่ทำหน้าที่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับสมาร์ตโฟน Samsung และแบตเตอรี่สำหรับรถยน
ความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ
มีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มเอเชีย และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ทั้ง 3 กองทุนรวม เน้นลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคา หรือมีโอกาสที่เงินต้น หรือเงินลงทุนของเราจะลดลง ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินฝาก และเป็น
กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงของปัจจัยต่างประเทศ ที่รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาด้วย
ดังนั้น การลงทุนใน 3 กองทุนรวมนี้จึงเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ มุ่งเน้นผลตอบแทนในระยะยาว และรับความเสี่ยงจากปัจจัยของต่างประเทศที่อาจมากระทบมูลค่ากองทุนรวมที่เราลงทุนได้ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าทิศทางของตลาดหุ้นเหล่านี้จะเป็นอย่างไร หากเรามองว่าตลาดหุ้นเรานี้จะเติบโตได้ในระยะยาว และเราไม่มั่นใจในการจับจังหวะลงทุน
การ DCA (Dollar Cost Average) หรือการทยอยลงทุนด้วยเงินที่เท่ากันแบบสม่ำเสมอในทุกเดือน หรือทุกไตรมาส ก็เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ ที่จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุน และช่วยให้เรามีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะลงทุนอะไร เราควรติดตามสภาวะตลาด และผลประกอบการของกองทุนที่เราถืออยู่อย่างน้อยทุกไตรมาส เพราะสถานการณ์ และสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอาจกระทบกับความน่าสนใจของตลาด หรือหุ้นที่กองทุนถืออยู่ และผลตอบแทนของกองทุนเหล่านั้นได้ นั่นเอง
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- KFVIET-A, KF-INDIA ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- KFVIET-A ลงทุนกระจุกตัวในตราสารผู้ออกจึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก