เมื่อกระแสสังคมไร้เงินสด (Cashless) กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหล่านักลงทุนเองจะเปลี่ยนเทรนด์นี้ให้เป็นโอกาสในการทำธุรกิจได้อย่างไร ลงทุนแบบไม่พึ่งพาเงินสดจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือมีอะไรที่ควรระวัง ก้าวนำคนอื่นด้วยการอ่านบทความนี้ เพื่อเตรียมธุรกิจของคุณให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
ในปัจจุบัน สังคมไร้เงินสดหรือ Cashless Society เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีข้อดีหลายแง่มุม ไม่ว่าจะช่วยลดต้นทุนในการปั๊มเหรียญและพิมพ์ธนบัตร การขนส่งเงินสดจากตู้เอทีเอ็มสู่ธนาคาร และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง เพราะเวลาที่โอนหรือจ่ายเงินก็สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอเคลียร์เช็คเวลาสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ ทำให้รอบหมุนของธุรกิจไปได้เร็วมากขึ้น จะรับเงินหรือจ่ายเงินก็คล่องตัว กลายเป็นตัวช่วยสนันสนุนธุรกิจได้เป็นอย่างดี
เชื่อได้เลยว่า เรื่องสังคมไร้เงินสดจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง อย่างประเทศจีน ณ ปัจจุบันก็มีหลาย ๆ มณฑลที่ไม่ค่อยใช้จ่ายเงินสดกันแล้ว แต่ใช้จ่ายผ่าน WeChat และ Alipay ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นแกนนำเรื่องสังคมไร้เงินสด และเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วยระบบ QR Code ที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถดึงเอกชนเข้ามาเล่นกับ QR Code ได้ ซึ่งแรงต้านน่าจะน้อยกว่า พร้อมเพย์ ที่รัฐบาลจีนเป็นผู้พัฒนา
และแน่นอน สังคมไร้เงินสดก็ส่งผลต่อวิธีในการลงทุนเช่นกัน ตัวอย่างง่าย ๆ ในช่วงปลายปีแบบนี้ หลายคนคงอยากลดหย่อนภาษีควบคู่ไปกับการลงทุน เราก็สามารถใช้ “
บัตรเครดิต ” มารูดซื้อกองทุนรวมอย่าง
LTF RMF ประกันชีวิต โดยไม่ต้องพกเงินสดไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ให้ยุ่งยาก โดยเฉพาะการลงทุนกับประกันแบบสะสมทรัพย์ ผู้ซื้อประกันก็จะได้รับเงินสมทบจากบริษัท หากไม่เวนคืนประกันก่อนเวลา ซึ่งก็ถือเป็นการลงทุนให้เงินงอกเงยได้อีกทางหนึ่ง
ที่ธนาคารกรุงศรีฯ เองก็มีโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่ใช้บัตรรูดซื้อ
กองทุนรวม และประกันชีวิต การใช้บัตรเครดิต นอกจากจะสะดวกแล้ว ยังสามารถเก็บคะแนนสะสมนำมาแลกของสมนาคุณ หรือจะเป็นการรูดบัตรเครดิตแล้วได้ Cash Back คืนทันที ก็จะประหยัดกว่าการใช้เงินสด
นอกจากนี้บัตรเครดิตหลายประเภท ยังอนุญาตให้เราผ่อน 0% ได้ ตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึง 24 เดือน ช่วยให้เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในการซื้อสินค้าและบริการทันทีที่ชำระเงิน
นอกจากการใช้บัตรเครดิตและโอนจ่ายผ่าน QR Code เรายังสามารถลงทุนแบบ Cashless Investment ในรูปแบบอื่น ๆ ผ่าน e-Payment ได้ด้วย เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เงินกู้จากธนาคาร ซึ่งความจริงแล้วเราจะต้องผ่อนจ่ายคืนรายเดือน 20-30 ปี ตามที่ตกลงไว้กับธนาคาร ด้วยวิธีนี้ หากคุณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือ e-Payment ก็สามารถได้รับ Cash Back คืนเช่นกัน หรือจะเปิดให้ผู้เช่ารายอื่น มาเช่าต่อในราคามากกว่าที่คุณต้องจ่ายธนาคาร ก็จะเป็นการลงทุนที่คุณได้ผลกำไร และยังได้อสังหาริมทรัพย์มาครอบครอง การโอนจ่ายระหว่างคุณและผู้เช่าก็สามารถทำผ่านออนไลน์ได้เช่นกัน ถือเป็นการลงทุนที่ทำให้ทรัพย์สินงอกเงย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทุนทั้งหมดของตัวเองด้วย
อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก คือ Crowdfunding ที่ตอนนี้ประเทศไทยกำลังให้ความสนใจ หลักการง่าย ๆ ของ Crowdfunding ก็คือ การระดมทุน โดยเจ้าของความคิดจะนำไอเดียหรือแผนงานมาเสนอ หากใครสนใจก็สามารถร่วมลงขันเป็นผู้ให้ทุนผ่านการโอนเงินบนเว็บไซต์ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ เกิดขึ้นจริง โดยเจ้าของไอเดียอาจจะตอบแทนเหล่านักลงทุนด้วยสินค้าที่กำลังจะผลิต หุ้นของบริษัท หรือผลกำไรตามแต่ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ หลายคนยังเลือกลงทุนแบบไม่ใช้เงินสด เพียงแค่เปิดเว็บไซต์ สร้างคอนเทนต์ที่ตัวเองชอบ หรือรวบรวมงานอดิเรก แล้วติด Google AdSense ซึ่งเป็นโฆษณาที่ทาง Google เลือกให้ไว้บนพื้นที่เว็บหรือบล็อกเมื่อมีผู้ชมคลิกอ่านโฆษณานั้น คุณก็จะได้รับเงิน เรียกว่าเป็นรูปแบบ Pay Per Click (จ่ายเมื่อคลิก) นั่นเอง แต่กระซิบบอกว่า วิธีนี้จะใช้เวลานานและได้เงินค่อนข้างน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่เข้าเว็บของคุณ และตำแหน่งในการวางโฆษณาด้วย หรือจะเป็นการใช้บริการ TrueMoney Wallet ที่สามารถเติมเน็ตหรือเติมเงินมือถือก็สามารถได้รับเงินคืน ไม่ต่างกับธนาคารที่ฝากเงินแล้วได้รับดอกเบี้ย เป็นการบริหารจัดการที่ทำให้เงินงอกเงยกลับมานั่นเอง
จะเห็นได้ว่า Cashless Investment นั้นเวิร์กขนาดไหน นอกจากเทคโนโลยีแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดของเหล่านักลงทุนว่า เรามองเห็นโอกาสและจะดัดแปลงต่อยอดไปได้ไกลแค่ไหน ถึงแม้ไม่มีเงินทุน แต่ก็สามารถลงแรงกายและสมอง และอย่าลืมทำความเข้าใจกับ
อีคอมเมิร์ซไทยในยุค Cashless Society ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ดีในวันที่สังคมไม่ง้อเงินสดอีกต่อไป