กริ๊งง กริ๊งงง~
“สวัสดีค่ะ เราติดต่อจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร คุณมียอดค้างชำระจากบัตรเครดิต…”
บทสนทนาแบบนี้คุ้นเคยกันใช่ไหม ? ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีประสบการณ์ตรง หรือได้ยินเหตุการณ์มาจากคนใกล้ตัวแน่ ๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่เคยระบาดอยู่ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2564 โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐบ้าง หรือเจ้าหน้าที่ขนส่งและหนักที่สุดก็คือปลอมเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อหลอกว่าคุณมียอดค้างชำระจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและเข้าใจผิด จนเกิดความเสียหายหลายล้านบาท
ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไม่หมดไป และจำนวนผู้เสียหายจากการหลอกลวงยังคงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการหลงเชื่อกลโกงของมิจฉาชีพหรืออาจจะไม่รู้ทันเหตุการณ์ก็ตาม แต่ไม่ต้องกังวลไป
วันนี้เราจะมาบอกวิธีเช็ก
เบอร์มิจฉาชีพหรือวิธีตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้เราและคนใกล้ตัวรู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ ไม่ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป
วิธีเช็กเบอร์มิจฉาชีพเบื้องต้น เช็กง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที
เมื่อเจอเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา อย่าเพิ่งรีบร้อนรับหรือให้ข้อมูลใด ๆ ลองนำเบอร์โทรศัพท์นั้นมาตรวจสอบเบื้องต้นผ่านช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ก่อน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันตัวเองจากมิจฉาชีพในยุคดิจิทัล
1. นำเบอร์ไปเช็กบน Google หรือ Facebook
วิธีที่ง่ายแต่ทรงพลังที่สุด คือการใช้ Search Engine ที่เราคุ้นเคยกันดี แค่คัดลอกเบอร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัย แล้วนำไปวางในช่องค้นหาของ Google หรือ Facebook หากเบอร์ดังกล่าวเคยถูกใช้หลอกลวงผู้อื่นมาก่อน ก็มักจะมีคนโพสต์เตือนภัย หรือสร้างรายงานไว้ในเว็บบอร์ดสาธารณะ ทำให้เราเห็นข้อมูลและไหวตัวได้ทันก่อนที่จะหลงเชื่อ
2. หาเบอร์จากแอปพลิเคชันในไลน์
อีกหนึ่งวิธีตรวจสอบที่ทำได้ง่าย ๆ คือการใช้ฟังก์ชัน “เพิ่มเพื่อน” ในแอปพลิเคชัน LINE โดยเลือกที่หัวข้อ “ค้นหา” จากนั้นเลือก “หมายเลขโทรศัพท์” แล้วลองใส่เบอร์ที่น่าสงสัยลงไป หากเบอร์นั้นผูกกับบัญชี LINE อยู่ เราอาจจะได้เห็นชื่อและรูปโปรไฟล์ของเจ้าของเบอร์ ซึ่งพอจะช่วยให้ประเมินได้ว่าเป็นบุคคลที่เรารู้จักหรือเป็นบัญชีที่น่าสงสัยหรือไม่
3. เช็กผ่านแอปพลิเคชันตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพ
การมีผู้ช่วยคอยสกรีนเบอร์ให้ก็เป็นเรื่องที่ดี ลองติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับระบุเบอร์โทรที่ไม่รู้จัก เช่น Whoscall ซึ่งเป็นแอปฯ ที่มีฐานข้อมูลเบอร์โทรศัพท์จำนวนมหาศาลจากผู้ใช้งานทั่วโลก เมื่อมีสายเรียกเข้า แอปฯ จะแสดงข้อมูลทันทีว่าเป็นเบอร์ของใคร มาจากที่ไหน หรือเป็นเบอร์ที่เคยถูกผู้ใช้งานคนอื่น ๆ รายงานว่าเป็นมิจฉาชีพหรือสแปมหรือไม่ ช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับสายดีหรือเปล่า
4. ติดต่อสอบถามกับค่ายมือถือโดยตรง
หากได้รับการติดต่อจากเบอร์ที่น่าสงสัยและก่อกวนบ่อยครั้ง เราสามารถแจ้งเรื่องไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือที่เราใช้งานอยู่ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น AIS (โทร 1185), TRUE (โทร 9777) หรือ DTAC (โทร 1678) เพื่อให้ทางค่ายช่วยตรวจสอบและดำเนินการบล็อกเบอร์ดังกล่าว ซึ่งนอกจะเป็นการแก้ปัญหาให้ตัวเองแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำเบอร์นั้นไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ๆ ต่อไปได้อีกด้วย
5. เช็กผ่านเว็บไซต์ Blacklistseller
สำหรับใครที่กังวลเรื่องการหลอกลวงผ่านการซื้อขายของออนไลน์ เว็บไซต์ Blacklistseller.com ถือเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี เพราะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่รวบรวมข้อมูลของมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล เลขบัญชีธนาคาร หรือเบอร์โทรศัพท์ จากผู้เสียหายที่เคยถูกหลอกลวงมาก่อน เราสามารถนำเบอร์โทรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปตรวจสอบในเว็บไซต์นี้ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการเช็กให้ชัวร์อีกชั้น
6. โทรสอบถามหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมิจฉาชีพโดยเฉพาะ
หากรู้สึกว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงสูง หรือต้องการความมั่นใจ สามารถโทรศัพท์เพื่อตรวจสอบและขอคำปรึกษาจากหน่วยงานของภาครัฐที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงได้เลย เช่น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ที่สายด่วน 1441 หรือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) โทร. 081-866-3000 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสามารถให้ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องได้
ความแตกต่างระหว่าง “เจ้าหน้าที่ตัวจริง” กับ “มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์”
มาจับความต่างระหว่าง “มืออาชีพ” กับ “มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์” เพื่อให้คุณสามารถเช็คเบอร์มิจฉาชีพได้ เวลาเจอเบอร์มิจฉาชีพ เบอร์แปลกโทรมาแอบอ้าง…จริงอยู่ที่ว่าการไม่รับเบอร์แปลก อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความสบายใจ แต่บางครั้งก็อาจมีเบอร์ที่ต้องการแจ้งเรื่องสำคัญเข้าจริง ๆ ก็ได้
กลยุทธ์แรกที่เราสามารถตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพได้ก่อนก็คือ “มีสติ” ก่อนรับสาย เวลาเราเจอเบอร์แปลกโทรมาก็มักจะเกิดอาการตกใจ จนเผลอให้ข้อมูลทุกอย่างไป ดังนั้นเราต้องมีสติก่อนเพื่อไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวเผลอหลุดไปถึงมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์…
วิธีสังเกตเจ้าหน้าที่ตัวจริง กับมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์
1. “เจ้าหน้าที่ตัวจริง” จะใช้เบอร์ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ที่ได้ลงทะเบียนไว้จริง
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบอร์โทร 4 ตัวอักษร ไม่ใช่เบอร์ติดต่อส่วนตัว หรือเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 08X, 09x หรือ 02 ซึ่งส่วนมากหากเป็น “เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ” ตัวจริงก็จะไม่ติดต่อหาเราก่อนแน่นอน เช่น กรมสรรพากร การโทรคมนาคม ไปรษณีย์ไทย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นต้น แต่หากเป็นกรณีเบอร์มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์มักจะใช้เบอร์ส่วนตัว แล้วมีเสียงอัตโนมัติเพื่อให้เรากดหมายเลข 9 ถัดไปเพื่อรับข้อมูลต่อ
2. “เจ้าหน้าที่ตัวจริง” จะไม่ใช้เสียงอัตโนมัติรับสายหลัง
แต่จะเป็นเสียงพูดของคนจริง ๆ พร้อมยืนยันข้อมูลของผู้รับสาย เช่น ชื่อจริง นามสกุลจริง เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่สามารถตรวจสอบได้ แต่ถ้าเป็นเบอร์มิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็มักจะหลอกแอบถามข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น “ดิฉันกำลังเรียนสายกับใครคะ”
3. เมื่อรับสายแล้ว “เจ้าหน้าที่ตัวจริง” จะต้องพูดเข้าประเด็นที่ติดต่อเข้ามา
ไม่เหมือนกับเบอร์มิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะถามหลังโอนสายต่อว่า “คุณต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ” เพราะมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย หากเราได้รับเบอร์ติดต่อว่ามียอดค้างชำระ… แต่เจ้าหน้าที่กลับถามว่าต้องการติดต่อเรื่องอะไร? แบบนี้คิดไว้เลยว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพชัวร์
4. เบอร์มิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักส่งลิงก์มาทาง SMS
โดยใช้คำหลอกล่อ เช่น “คุณเป็นผู้โชคดีได้รับเงินรางวัล xxx คลิกลิงก์นี้เพื่อกรอกข้อมูล” หรือ “คุณมียอดเงินเข้าจำนวน… โปรดกดยืนยัน” ซึ่งหากเป็น “เจ้าหน้าที่ตัวจริง” จากธนาคาร จะไม่มีการส่งลิงก์มาทาง SMS อย่างแน่นอน
ทริคหนึ่งในการตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพและเช็คเบอร์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ การสังเกตลักษณะการพูดของพวกมิจฉาชีพที่มักใช้คำพูดข่มขู่ให้คนฟังรู้สึกกลัว เช่น การบอกว่า ตอนนี้คุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิต หรือคุณมีค่าปรับจราจรผ่าไฟแดง ซึ่งเป็นหลักการอย่างหนึ่งของจิตวิทยาเมื่อเรารับเบอร์แปลกที่ไม่รู้จักก็มักจะเกิดความหวาดระแวง สับสน และสงสัยก่อนอยู่แล้ว หลังรับสายเมื่อเจอการใช้ถ้อยคำข่มขู่ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการตื่นตระหนกใจได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
ในช่วงแรก ๆ ที่มีการระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะหลอกถามชื่อและหมายเลขบัตรประชาชนของเหยื่อ ทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มตระหนักและ
รู้ทันกลโกงเหล่านี้ แต่ช่วงหลังแก๊งมิจฉาชีพพวกนี้ก็อัปเกรดขึ้น รู้ชื่อนามสกุล และหมายเลขบัตรประชาชนของผู้เสียหายโดยไม่ต้องถาม ทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริง
หากเจอเบอร์มิจฉาชีพหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อัปเกรดที่รู้ข้อมูลของเรา ควรตั้งสติเยอะ ๆ แล้วไล่ลำดับความคิดในหัวว่าเรื่องที่เจอเป็นเรื่องจริงไหม? เช่น มีเบอร์มิจฉาชีพแอบอ้างว่าติดต่อจากเจ้าหน้าที่ธนาคารเรื่องบัตรเครดิต แต่ถ้าเราไม่ได้เปิดบัตรเครดิตอยู่แล้วก็ให้วางใจได้เลย ถ้าเป็นกรณีหลอกโอนเงิน อย่างเรื่องค่าปรับ หรือการลงทุน ให้มั่นใจไว้ว่าเรากำลัง “ถูกหลอก” เพราะเจ้าหน้าที่ราชการ หรือธนาคารตัวจริงจะไม่มีทางให้เราทำการโอนเงินโดยตรงไปยังบัญชีอย่างเด็ดขาดหากมีเรื่องค่าปรับ หรือจำเป็นต้องโอนเงินใด ๆ เจ้าหน้าที่ก็ต้องให้ทำธุรกรรมภายในหน้าสาขาของธนาคารเท่านั้น
รับมือ “เบอร์แปลก” จัดการแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์
หลังจากที่เรารู้กลโกงของพวกมิจฉาชีพแล้ว ก็มารับมือกับ
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในแบบฉบับที่เราเริ่มลงมือทำเองได้เลยกันดีกว่า เพราะยิ่งระวังตัวไว้ก็เป็นผลดีกว่าปล่อยให้ถูกเบอร์มิจฉาชีพโทรมาหลอก หรือเป็นหูเป็นตาแทนคนรอบข้างได้อีกด้วย ดังนั้นการตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่าเราสามารถรับมือและเช็กเบอร์มิจฉาชีพได้อย่างไรบ้าง
1. ติดตั้งแอปพลิเคชันเช็คเบอร์มิจฉาชีพ บล็อกเบอร์แปลก
การตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพเริ่มต้นได้จากการการติดตั้งแอปพลิเคชันที่สามารถช่วยกรองเบอร์แปลก หรือเบอร์ที่น่าสงสัย เช่น Whoscall มีฟังก์ชันให้ผู้ใช้งานสามารถรายงาน หรือกดสแปมเบอร์มิจฉาชีพได้ ทำให้เบอร์โทรนั้น ๆ จะถูกจัดเข้าในระบบ และจะเด้งที่หน้าจอโทรศัพท์ทันทีหากเบอร์แปลกนั้นเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่เคยถูกรายงานไว้
2. ไม่โอนเงินให้เบอร์ที่น่าสงสัยทุกกรณี
รูปแบบการหลอกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือหลอกให้ผู้เสียหายจ่ายค่าปรับ ด้วยการบอกเลขบัญชีแล้วให้โอนเงินเข้าทางนั้นพร้อมกับหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยในทุกการทำธุรกรรม หากสงสัยให้ตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพกับทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน หรือ เดินทางไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เองโดยตรง อีกทั้งยังเป็นการช่วยยืนยันได้อีกด้วยว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์
3. ไม่กดลิงก์หรือดาวน์โหลดจากเบอร์แปลก
หลีกเลี่ยงการลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ถูกส่งมาจากเบอร์แปลก อาจมีไวรัสที่สามารถควบคุมการทำงานทุกอย่างจากระยะไกลได้ ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการโอนเงินได้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรกดลิงก์ที่ถูกส่งมาใน SMS เลยเด็ดขาด
4. บล็อกเบอร์ต่างประเทศที่ไม่น่าเชื่อถือ
แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักใช้เบอร์โทรมา 2 แบบก็คือ
- เบอร์โทรต่างประเทศ ซึ่งถ้าเราเจอเบอร์แปลกที่เป็นหมายเลขจากต่างประเทศอย่าง +66 แล้วโทรมาซ้ำ ๆ หลายครั้งโดยที่เราเองก็ไม่รู้จัก สามารถกดบล็อกได้เองโดย กด *138*1# แล้วโทรออก
- เบอร์ส่วนตัวในไทย เช่น 08X ซึ่งถ้าเป็นเบอร์ในไทยก็อาจเป็นได้ทั้ง 2 อย่างคือเบอร์มิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์กับเบอร์คนทั่วไปอย่างพนักงานขนส่ง เราสามารถเช็กเองได้ด้วยแอปฯ Whoscall เป็นต้น
5. เผลอโอนเงินไปแล้ว ควรทำอย่างไร?
ถ้าเราเผลอกดโอนเงินไปก่อน สามารถรายงานแจ้งไปยังช่องทางต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ติดต่อ Hotline ของธนาคารกรุงศรีโทร. 1572 กด 5 ตลอด 24 ชั่วโมง
- แจ้งสายด่วน สอท. 1441
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 1599
- แจ้งความออนไลน์ https://www.thaipoliceonline.go.th/
- ศูนย์ PCT โทร 081-866-3000
ที่สำคัญคือ การเช็คเบอร์มิจฉาชีพและตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพที่ไม่รู้จักก่อนตอบรับหรือทำธุรกรรมใด ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกได้อย่างมาก เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีความต่อไป ทั้งนี้ หากเรารู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกโดยมิจฉาชีพ ให้รีบดำเนินการติดต่อธนาคารแล้วแจ้งความทันที เพื่อนำหมายศาลจากตำรวจไปยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อติดตามเงินของเรากลับคืนมา
นอกจากวิธีรับมือเบอร์แปลกที่อาจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว การเช็คเบอร์มิจฉาชีพและตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพก่อนรับสายก็เป็นวิธีที่ช่วยให้เรา
รู้ทันกลโกงอื่น ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยิ่งรู้เยอะไว้ก่อนก็ยิ่งดีกว่า เพื่อที่เราจะได้มีวิธีรับมือ และไม่ตกใจตอนที่เจอปัญหานั้นเข้าจริง ๆ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าบางครั้งการมีเบอร์แปลกติดต่อเข้ามาก็อาจจะไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เสมอไป ดังนั้นสิ่งที่จำเป็น และสำคัญไม่แพ้กันคือ “ตั้งสติ” เพื่อไม่ให้ถูกหลอกถามข้อมูลได้ และทุกการสนทนา ไม่ควรให้ข้อมูลใด ๆ กับปลายสาย เท่านี้ก็ช่วยป้องกันเราจากพวกแก๊งมิจฉาชีพได้ระดับหนึ่งแล้ว