คู่มือลงทุนเงินดิจิทัลอย่างไรไม่ให้ติดดอย ฉบับนักเทรดมือโปร

คู่มือลงทุนเงินดิจิทัลอย่างไรไม่ให้ติดดอย ฉบับนักเทรดมือโปร

By อัครเดช เดี่ยวพานิช
เมื่อโลกดิจิทัลก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจกับ Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลกันมากขึ้น และเกิดคำถามกับเงินดิจิทัลในหมู่นักลงทุน จึงกลายเป็นปรากฎการณ์สำคัญในโลกของการลงทุนว่า Cryptocurrency คืออะไร? ราคาของ Cryptocurrency ขึ้นอยู่กับอะไร? และการที่ราคา Cryptocurrency ขึ้นลง เกิดจากอะไร? คำถามเหล่านี้ นักลงทุนมือใหม่หรือบุคคลทั่วไปที่อยากหาช่องทางการออมเงิน เข้ามาสู่วงจร Crypto ต้องรู้ เพราะการขาดความรู้ ความเข้าใจ หรือวิธีการลงทุนในเงินดิจิทัลที่ถูกต้อง อาจจะทำให้นักลงทุนมือใหม่กระโจนลงกองไฟแบบไม่รู้ตัว

Cryptocurrency คืออะไร

Cryptocurrency คือ สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างหนึ่ง โดยสินทรัพย์ดิจิทัลจะหมายถึง ทุกอย่างที่อยู่ในโลกดิจิทัล ทั้งเนื้อหา ภาพถ่าย และอื่น ๆ ซึ่ง Cryptocurrency เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายได้บนตลาดออนไลน์
 

สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมใน Cryptocurrency

Cryptocurrency ที่ได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล หรือสกุลเงิน Crypto แรกที่เกิดขึ้นในราว ๆ ปี 2008 ซึ่งเป็นรูปแบบทางการเงินดิจิทัล ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจบนโลกนี้ โดยการเปลี่ยนการทำธุรกรรมผ่านธนาคาร ไปเป็นการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน ที่มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัย โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงิน หรือใครมาเป็นตัวกลางในการดำเนินธุรกรรม ซึ่งนอกจาก Bitcoin แล้ว ยังมีเงินสกุลดิจิทัลอื่น ๆ มากกว่า 10,000 สกุลเงิน แต่ยังไม่มีเงินดิจิทัล สกุลใดได้รับความสนใจมากเท่ากับ Bitcoin

สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้ก่อนลงทุนใน Cryptocurrency

ปัจจุบัน มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency หรือสินทรัพย์ดิจิทัลกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมา มีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาลจากการลงทุนใน ในสกุลเงินดิจิทัล จึงทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ สนใจเข้ามาลงทุนกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมือใหม่ต้องทราบคือ ความไม่แน่นอนในการลงทุน เพราะถ้าถามว่า “ราคา Cryptocurrency ขึ้นลงจากอะไรนั้น” คำตอบคือ เกิดขึ้นจาก Demand หรืออุปสงค์ เพราะถ้ามีเครือข่ายของผู้ที่ใช้มากขึ้นเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นเท่านั้น

ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลส่วนหนึ่ง เป็นเพราะซื้อในช่วงที่ยังมีผู้เข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลไม่มาก ราคาจึงต่ำ แต่เมื่อต่อมามีบริษัทเอกชนเข้ามาลงทุน มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ทำให้มูลค่าของ Bitcoin สูงขึ้น เมื่อขายออกไปจึงได้กำไรมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนหน้าใหม่จึงต้องศึกษาข้อมูลในการลงทุนอย่างรอบคอบ และประเมินความเสี่ยงของตนเองว่าสามารถแบกรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ไม่ควรรีบร้อนเข้าไปลงทุน

แนะนำ 4 เทคนิคลงทุนใน Cryptocurrency ให้ไม่ติดดอย

Cryptocurrency เป็นสินทรัพย์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความผันผวน ด้วยกระแสความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุน และนักเก็งกำไรมุ่งเข้าสู่ตลาดคริปโตฯ เป็นจำนวนมาก วันนี้เราจึงได้รวบรวมเทคนิคการลงทุนในเงินดิจิทัลที่จะช่วยให้คุณไม่ติดดอย และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. ศึกษา White Paper อย่างละเอียด

หัวใจสำคัญของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม คือการศึกษาข้อมูลพื้นฐานอย่างละเอียด สำหรับหุ้น เราต้องวิเคราะห์งบการเงินและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท สำหรับกองทุนรวม เราต้องอ่านหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) ส่วนการลงทุนใน Cryptocurrency นั้น สิ่งที่เราต้องศึกษาอย่างเจาะลึกคือ เอกสารที่เรียกว่า "White Paper" ซึ่งเปรียบเสมือนแผนธุรกิจ และคู่มือของเหรียญหรือโปรเจกต์คริปโตฯ นั้น ๆ

White Paper เป็นเอกสารที่ทีมผู้สร้างเหรียญจัดทำขึ้น เพื่ออธิบายรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับโปรเจกต์ ตั้งแต่แนวคิด ปัญหาที่ต้องการแก้ไข เทคโนโลยีที่ใช้ กลไกการทำงานของเหรียญ แผนการพัฒนาในอนาคต ข้อมูลทีมงานผู้พัฒนา ไปจนถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของเหรียญ (Tokenomics)

การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินศักยภาพที่แท้จริง และความเสี่ยงของแต่ละโปรเจกต์ได้อย่างมีหลักการ ช่วยคัดกรองโปรเจกต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่มีพื้นฐานรองรับ ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุน “ติดดอย” เพราะลงทุนไปกับเหรียญที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง

2. ประเมินความเสี่ยงของตนเอง

นอกเหนือจากการศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่จะลงทุนแล้ว การทำความเข้าใจ และประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ (Risk Tolerance) ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการ ลงทุนใน Cryptocurrency ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนสูง ราคาเคลื่อนไหวรวดเร็ว สามารถขึ้นลงได้อย่างรุนแรงภายในระยะเวลาสั้น ๆ แถมตลาดยังเปิดทำการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีวันหยุดพักด้วย

สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มต้นประเมินความเสี่ยงของตนเองอย่างไร เรามีคำถามประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุนมาฝาก ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูก่อนได้เลย
  • คุณมีรายได้มั่นคงแค่ไหน มีภาระหนี้สินอะไรบ้าง หรือมีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอหรือไม่
  • เงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินเย็นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใช่หรือไม่
  • คุณลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไร (เช่น เพื่อเกษียณ, ซื้อบ้าน, เก็งกำไรระยะสั้น) และมีระยะเวลาการลงทุนของคุณนานแค่ไหน
  • คุณมีความเข้าใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน และตลาดคริปโตฯ มากน้อยเพียงใด
  • คุณมีประสบการณ์ในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงมาก่อนหรือไม่
  • คุณจะรู้สึกอย่างไร และจะทำอย่างไร หากมูลค่าเงินลงทุนของคุณลดลง 30%-50% หรือมากกว่านั้นในเวลาอันสั้น
  • คุณเป็นคนตัดสินใจด้วยอารมณ์ หรือเหตุผลเมื่อเผชิญกับแรงกดดัน

การเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะนำไปสู่การเลือกวิธีการลงทุน (เช่น เน้นถือยาว หรือเทรดระยะสั้น) และการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในคริปโตฯ ที่เหมาะสมกับพอร์ตโดยรวม เช่น หากคุณเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย การทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการเทรดคริปโตฯ ระยะสั้นอาจทำให้คุณเครียด และตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย ในทางกลับกัน หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง และมีเวลาศึกษาติดตามตลาด การจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อการเทรดก็อาจเป็นทางเลือกที่พิจารณาได้ เป็นต้น

3. เลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง

เมื่อเราเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองแล้ว ขั้นต่อไปคือการเลือกวิธีการ ลงทุนใน Cryptocurrency ที่สอดคล้องกับโปรไฟล์ความเสี่ยง ระยะเวลาลงทุน ความรู้ และเวลาที่เราสามารถทุ่มเทให้ได้ การลงทุนในคริปโตฯ ไม่ได้มีเพียงแค่การซื้อมาขายไปเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังมีหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีลักษณะ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป การเลือกวิธีที่ “ใช่” สำหรับตัวเองจึงเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ลองมาดูวิธีการลงทุนใน Cryptocurrency ที่น่าสนใจกัน
3.1. การลงทุนระยะยาว (Hodl)
Hodl เป็นศัพท์เฉพาะในวงการคริปโตฯ ที่เพี้ยนมาจากคำว่า Hold แต่มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น คือ “Hold On for Dear Life” หรือการถือเหรียญที่เลือกไว้ในระยะยาวเป็นหลักเดือน หรือหลักปี โดยไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของราคาในระยะสั้น
  • เหมาะสำหรับ : นักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มีความเชื่อมั่นในพื้นฐานของเหรียญที่เลือก (ผ่านการศึกษา White Paper มาอย่างดี) โดยไม่ต้องการติดตามราคา หรือซื้อขายบ่อย ๆ และมีความอดทนสูง สามารถทนเห็นพอร์ตติดลบในระยะสั้นได้
  • ข้อควรระวัง : ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการเลือกเหรียญที่มีพื้นฐานดีจริง และมีโอกาสเติบโตในอนาคต หากเลือกผิดเหรียญ อาจหมายถึงการถือสินทรัพย์ที่มูลค่าลดลงเรื่อย ๆ ในระยะยาว

3.2. การเทรด (Trading)
การเทรดคือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาในระยะสั้น โดยอาศัยความผันผวนของตลาด นักเทรดจะซื้อขายคริปโตฯ บ่อยครั้งกว่านักลงทุนระยะยาว โดยอาจมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป เช่น Scalping (เทรดในกรอบเวลาสั้นมาก ๆ หลักนาที), Day Trade (ซื้อขายจบภายในวัน) หรือ Swing Trade (ถือครองหลายวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อรอจังหวะราคา)
  • เหมาะสำหรับ : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีเวลาในการติดตามข่าวสาร และกราฟราคาอย่างใกล้ชิด มีทักษะในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และเข้าใจจิตวิทยาตลาด รวมถึงมีวินัยในการตัดขาดทุน (Cut Loss) และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี
  • ข้อควรระวัง : เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงมาก ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และวินัยอย่างสูง การเทรดโดยขาดความเข้าใจอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว

3.3. การสเตกกิ้ง (Staking)
Staking เป็นวิธีการสร้างรายได้แบบ Passive Income จากการถือครองเหรียญคริปโตฯ บางประเภทที่ทำงานบนระบบ Proof-of-Stake (PoS) โดยการนำเหรียญไป “ล็อก” ไว้ในระบบ เพื่อช่วยตรวจสอบ และยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมบนบล็อกเชนนั้น ๆ ผู้ที่ทำการ Staking จะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญเพิ่มเติม คล้ายกับการได้รับดอกเบี้ยจากการฝากเงิน
  • เหมาะสำหรับ : นักลงทุนที่ต้องการถือเหรียญ PoS ในระยะยาวอยู่แล้ว และต้องการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมจากเหรียญที่ถืออยู่ โดยทั่วไปถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการเทรด
  • ข้อควรระวัง : เหรียญที่นำไป Stake อาจถูกล็อกไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ไม่สามารถนำออกมาขายได้ทันทีหากต้องการ (ลดสภาพคล่อง) นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเหรียญที่นำไป Stake และความเสี่ยงของแพลตฟอร์มที่ให้บริการ Staking ด้วย

4. เริ่มลงทุนที่ 1% แล้วค่อยขยายไปที่ 10%

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการ ลงทุนใน Cryptocurrency การเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ ถือเป็นกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ชาญฉลาด โดยแนวคิด “เริ่มต้นด้วย 1% แล้วค่อยขยายไปที่ 10%” นับเป็นแนวทางที่น่าสนใจ และปฏิบัติได้จริง
ขั้นที่ 1 : เท้าจุ่มน้ำ ด้วย 1%
การแบ่งเงินลงทุนเพียง 1% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวม (ไม่ใช่เงินออมทั้งหมด) มาเริ่มต้นลงทุนใน Cryptocurrency อาจฟังดูน้อย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป้าหมายของขั้นตอนนี้ไม่ใช่การทำกำไรมหาศาล แต่เป็นการ “ทดสอบตลาด” และ “เรียนรู้” ด้วยเงินจำนวนน้อยที่หากสูญเสียไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวม โดยนักลงทุนจะได้สัมผัสประสบการณ์จริงในการใช้งานแพลตฟอร์มซื้อขาย การส่งคำสั่งซื้อขาย การดูความเคลื่อนไหวของราคา รวมถึงการสังเกตปฏิกิริยาทางอารมณ์ของตนเองเมื่อเห็นราคาผันผวนด้วย

ขั้นที่ 2 : ครึ่งแข้ง ขยายเป็น 10%
หลังจากที่ได้ทดลองลงทุนด้วยสัดส่วน 1% ไปสักระยะหนึ่ง จนเริ่มคุ้นเคยกับกลไกตลาด แพลตฟอร์ม และสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้นแล้ว หากยังคงมีความสนใจ และมั่นใจมากขึ้น อาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนขึ้นเป็นระดับ 5-10% ของพอร์ตการลงทุนรวม ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่จำกัดความเสี่ยงโดยรวมได้อยู่ เช่น จากพอร์ต 20,000 บาท อาจเพิ่มเงินลงทุนในคริปโตฯ เป็น 2,000 บาท (10%) เป็นต้น

เริ่มต้นลงทุนใน Cryptocurrency ให้ปังไปกับนักเทรดมือโปร

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจเริ่มลงทุน Cryptocurrency หรือสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นยังไง ควรลงทุนในตอนนี้ไหม? หรือควรจะรอไปสักพัก และมีความเสี่ยงแค่ไหน? ผู้ก่อตั้งเพจ Coinman คุณอัครเดช เดี่ยวพานิช พร้อมแล้วจะมาเปิดความลับที่หลาย ๆ คนอยากรู้ "Crypto เริ่มยังไงให้ปัง" รับรองว่าฟังแล้วหายงง!

ติดตามได้ใน Krungsri Plearn เพลิน Episode นี้
ติดตาม Krungsri Plearn เพลิน Podcast เรื่องเงินย่อยง่าย ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้
 
soundcloud
spotify
apple podcasts
youtube podcast
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา