หากเปรียบเทียบระยะเวลา 128 ปี กับอายุบ้าน บ้านหลังนี้คงมีเรื่องราวมากมายจากรุ่นสู่รุ่น กว่าจะก่อร่างสร้างตัวยืนหยัดได้จนถึงปัจจุบัน ย่อมผ่านร้อนผ่านหนาว เจอทั้งฝนปรอย ๆ ไปจนถึงพายุซัด แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่บ้านถูกรื้อทิ้ง ซ้ำยังต่อเติมเสริมแต่ง ขยายพื้นที่ให้กว้างขวางเพื่อรองรับสมาชิกที่เพิ่มขึ้น คงไม่ผิดเพี้ยนนักหากจะเปรียบเทียบโอสถสภาเป็นบ้านหลังใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์และอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน
เริ่มต้นจากร้านขายยาเก่าแก่ “เต๊กเฮงหยู” ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2434 สร้างชื่อด้วย ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ด้วยสรรพคุณรักษาโรคท้องร่วง จากนั้นธุรกิจก็ค่อย ๆ ขยับขยายจนเป็น ‘บริษัท โอสถสภา จำกัด’ เมื่อปี พ.ศ. 2538 ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ และในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียง
ธุรกิจครอบครัวอีกต่อไป เมื่อผู้บริหารได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จนมีสถานะเป็น “บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)” และเตรียมบุกตลาดโลก ภายใต้การนำของ เพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหารหัวใจศิลปิน
พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต
วิสัยทัศน์ของโอสถสภามาพร้อมกับแนวคิด “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ที่มุ่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและสังคมด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดผ่านกลุ่มธุรกิจหลัก เช่น M-150, ลิโพวิตัน-ดี, เปปทีน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เช่น เบบี้มายด์ และทเวล์ฟพลัส เป็นต้น
ในบรรดาผลิตภัณณ์เครื่องดื่มของ โอสถสภา M-150 ยังครองยอดขายอันดับหนึ่งของประเทศไทย และได้รับมอบรางวัล Thailand’s Most Admired Brand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในฐานะที่แบรนด์ได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจมากที่สุดในหมวดอาหารและเครื่องดื่มบำรุงกำลัง
ชูยุทธศาสตร์เติบโตแบบยั่งยืน
ภายใต้บริษัทมหาชน การระดมทุนจากสาธารณะเป็นแนวทางการเติบโตแบบยั่งยืนที่สุด ซึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญคือแผนการดำเนินธุรกิจแบบ Multi-Brand Portfolio ไม่ใช่การเติบโตแบบ One Brand หรือเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จึงเป็นสาเหตุให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ออกมามากมายในท้องตลาด รวมไปถึงการดำเนินโครงการ Fitness First ที่มุ่งบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้โอสถสภายังเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างยอดขายให้แก่บริษัท เช่น ร้านค้าปลีก ร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อในท้องถิ่น พร้อมกันนี้ก็ยังใส่ใจกับช่องทางการจัดจำหน่ายแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น เทสโก้โลตัส และบิ๊กซี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ “โอสถสภา” เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ประสบ
ความสำเร็จในการทำตลาดภายในประเทศ
ขับเคลื่อนด้วยผู้บริหารสุดติสต์
ภายใต้การบริหารของทายาทเจเนอเรชั่น 4 โดย “เพชร โอสถานุเคราะห์” ที่วางเป้าหมายสำคัญว่าต้องการให้โอสถสภาอยู่ต่อไปอีก 200 ปี พร้อม ๆ กับตั้งใจออกอัลบั้มใหม่ทุก 20 ปี ผู้บริหารหัวใจศิลปินคนนี้เป็นเจ้าของบทเพลงรักโรแมนติก “เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)” สะท้อนผ่านภาพลักษณ์และสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้าน ทั้งยังครองตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วันนี้ธุรกิจในนามโอสถสภาที่บริหารโดย เพชร ได้นำเอาประสบการณ์จากงานโฆษณาและแรงบันดาลใจของศิลปะมาปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ เห็นได้จากหลายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ เช่น M-150 ใช้กลยุทธ์ Music Marketing ผ่านบทเพลง นักผจญเมือง ขับร้องโดยศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจ อย่างตูน บอดี้แสลม ต่าย อรทัย ไมค์ ภิรมย์พร และไผ่ พงศธร มาเป็นผู้ถ่ายทอดพลังฮึดสู้ไปยังผู้คน ทำให้ M-150 สามารถเข้าถึงคนทำงานในเมืองและคนใช้แรงงานได้ จากเพลงพลังฮึดสู้ ก็ต่อยอดแคมเปญด้วยการจัดคอนเสิร์ต M-150 ลูกทุ่งซุปเปอร์โชว์, M-120 Power Concert รวมวงดนตรีชั้นนำของไทย
นอกจากนี้เขายังไม่ยึดติดกับแนวคิด
บริหารธุรกิจแบบเดิม เพชร อยู่ในฐานะ Shareholder ที่ต้องการให้บริษัทมีความยั่งยืน รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจอยู่ตลอดเวลา อย่างกรณีการยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายให้กับ Unicharm รวมทั้งการขายหุ้นในธุรกิจสื่อ เช่น Future Group หรือ Spahakuhodo แม้จะทำให้รายได้หายไปส่วนหนึ่ง แต่ก็มุ่งเน้นไปที่
การลงทุนกับธุรกิจหลัก 4 กลุ่มที่มีอยู่
เดินหน้าลุยตลาดอาเซียน
ในไตรมาสแรกของปี พศ. 2562 โอสถสภา ทำกำไรสุทธิ 888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.0% ซึ่งมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ยอดขายโดยรวมขยายตัวมากขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และขยายโรงงานขวดแก้ว
ในไตรมาสที่สอง โอสถสภาจะให้ความสำคัญกับการสร้างแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญแต้มเอ็ม ใช้สะสมคะแนนเพื่อลุ้นรางวัล หรือแลกรับของสมนาคุณผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่นไลน์ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ซีวิตแบบกล่อง เพื่อขยายตลาด โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปัจจุบันบริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 25 ประเทศ เป้าหมายต่อไปคือการเดินหน้าไปสู่ภูมิภาคอาเซียน ในตลาดกัมพูชา ลาว พม่า และอินโดนีเซีย ซึ่งมีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจของโอสถสภามีข้อได้เปรียบอยู่ที่ความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมายาวนาน แต่ความท้าทายใหม่ก็คือการส่งมอบธุรกิจไปยังรุ่นหลัง รอยต่อระหว่างผู้บริหารปัจจุบันและรุ่นถัดไป ถือได้ว่าเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยสำหรับการคิดหายุทธ์ศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไปพร้อม ๆ กับการรักษาองค์กรให้พัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจก็สามารถนำแนวคิดของโอสถสภามาปรับใช้ได้ในแง่ของการสร้าง Multi-Brand Portfolio กระจายการลงทุนไปยังหลาย ๆ แบรนด์ โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เพิ่มโอกาสในการขยายกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและสร้างรายได้ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้ได้มากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก :
Forbes,
Post Today,
Brand Inside,
Osotspa,
Read The Cloud,
Brand Buffet,
Moneay and Banking