วิธีปั้นธุรกิจขายของออนไลน์ สำหรับมือใหม่ (ฉบับอัปเดต)

วิธีปั้นธุรกิจขายของออนไลน์ สำหรับมือใหม่ (ฉบับอัปเดต)

By Krungsri Plearn Plearn
การสร้างธุรกิจในโลกดิจิทัลเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ง่ายกว่าที่เคย โดยเฉพาะการขายของออนไลน์ที่กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลัก และรายได้เสริมยอดนิยม แต่การจะประสบความสำเร็จท่ามกลางการแข่งขันที่สูงนั้นจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ และการวางแผนที่ดี บทความนี้ รวบรวมทุกขั้นตอน และเคล็ดลับสำคัญมาให้แล้ว ตั้งแต่การเริ่มต้นนับหนึ่งไปจนถึงการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การขายของออนไลน์

ทำความเข้าใจการขายของออนไลน์

การขายของออนไลน์ หมายถึง การดำเนินกิจกรรมซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ เป็นหน้าร้าน เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram) หรือ E-commerce Marketplace (Shopee, Lazada) ซึ่งแตกต่างจากการค้าขายแบบดั้งเดิมตรงที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง ทำให้สามารถเริ่มต้นได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางทั่วประเทศ หรือทั่วโลก

6 ขั้นตอนการเริ่มต้นขายของออนไลน์ ฉบับมือใหม่

สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เราได้สรุปเส้นทางสู่การเป็นเจ้าของร้านออนไลน์มาเป็น 6 ขั้นตอนพื้นฐานที่ทำตามได้จริง เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจของเรา

1. เลือกสินค้าที่สนใจ มีความเข้าใจ และเป็นที่ต้องการของตลาด

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการเลือกสินค้าที่จะขาย ควรเริ่มจากสิ่งที่เรามีความชอบ ความสนใจ หรือมีความรู้ความเข้าใจเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เราสามารถให้ข้อมูล และตอบคำถามลูกค้าได้อย่างมั่นใจ นอกจากการเลือกจากความชอบแล้ว การศึกษาเทรนด์สินค้าน่าขายก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าของเราเป็นที่ต้องการของตลาด และมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว

2. ศึกษาคู่แข่งในตลาดให้ดี

หลังจากเลือกสินค้าได้แล้ว ให้ลองสำรวจร้านค้าอื่น ๆ ที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง และจุดอ่อนของคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา คุณภาพสินค้า วิธีการโปรโมต และการบริการลูกค้า การศึกษาข้อมูลจากรีวิวของลูกค้าคู่แข่งจะช่วยให้เราเห็นโอกาสในการสร้างความแตกต่าง และนำมาปรับปรุงพัฒนาร้านของตัวเองให้โดดเด่นกว่า

3. กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

การระบุว่า “ใครคือลูกค้าของเรา” เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ให้ชัดเจน ทั้งในเชิงประชากรศาสตร์ (เพศ, อายุ, อาชีพ) และความสนใจ (ไลฟ์สไตล์, พฤติกรรมการซื้อ) ยิ่งเราเข้าใจลูกค้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถวางแผนการตลาด สื่อสาร และนำเสนอสินค้าได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น

4. คำนวณต้นทุน และตั้งราคาสินค้าให้เหมาะสม

ต้นทุนในการขายของออนไลน์ไม่ได้มีเพียงแค่ค่าสินค้า แต่ยังรวมถึงต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าแพ็กเกจจิง ค่าจัดส่ง ค่าการตลาด และค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม (GP) ควรคำนวณต้นทุนทั้งหมดให้ครอบคลุม เพื่อนำไปตั้งราคาขายที่สามารถสร้างกำไร และแข่งขันในตลาดได้ โดยอาจสำรวจราคาของคู่แข่งประกอบการตัดสินใจด้วย

5. เลือกช่องทางขายออนไลน์ที่ใช่ และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ปัจจุบันมีช่องทางขายของออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม มือใหม่ควรเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับสินค้า และกลุ่มเป้าหมายของเรา ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือแม้กระทั่งการขายของใน TikTok Shop ที่กำลังมาแรง ในช่วงแรกอาจเริ่มต้นจาก 1-2 ช่องทางที่ถนัดที่สุดก่อน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างทั่วถึง เมื่อมีความชำนาญแล้วจึงค่อยขยายไปยังช่องทางอื่น ๆ

6. พัฒนาสินค้า และแผนการตลาดอย่างสม่ำเสมอ

โลกออนไลน์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การหยุดนิ่งเท่ากับถอยหลัง เราควรหมั่นอัปเดตสินค้าให้มีความน่าสนใจ ติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ และรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุง นอกจากนี้ แผนการตลาดก็ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การโปรโมตร้านผ่าน Social Media การทำโปรโมชัน หรือการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ จะช่วยให้ร้านค้าของเราเติบโต และอยู่ในใจลูกค้าได้เสมอ

8 เคล็ดลับขายออนไลน์ให้ปัง เพิ่มโอกาสจับเงินล้าน มือใหม่ก็ทำได้

เมื่อวางรากฐานทั้ง 6 ขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาติดอาวุธเสริมให้ร้านของเราปังยิ่งขึ้น นอกจากการพึ่งพา บทสวดคาถาเงินล้าน แล้วการใช้ 8 เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จได้จริง

1. ชื่อร้านต้องปัง

หลักการตั้งชื่อร้านไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือ ต้องอ่านง่าย สั้นกระชับ ฟังแล้วติดหู ตั้งแต่ครั้งแรก นอกจากนี้ ควรตั้งชื่อร้านให้มีความเกี่ยวโยงกับสินค้าที่ต้องการขายในร้านของเราเองด้วย เช่น ร้านขายกระเป๋าผ้า ก็ควรมีคำว่า Bag หรือ Clutch อยู่ในชื่อร้าน แบบนี้เป็นต้น

2. ช่องทางการชำระเงินยิ่งเยอะยิ่งดี

เทคนิคสำคัญอีกอย่างที่จะช่วยทำให้การขายของออนไลน์ของเรามียอดขายเพิ่มมากขึ้น นั่นคือการมีช่องทางการชำระเงินให้ลูกค้าได้เลือกหลายช่องทาง เราเรียกว่า การชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Payment) ซึ่งมีหลากหลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
 

การโอนเงิน

จะเป็นการตัดบัญชีเงินฝากผ่านบริการ Internet Banking ของธนาคาร เป็นวิธีที่ร้านค้าออนไลน์นิยมใช้มากที่สุด สามารถใช้ได้ทุกแพลตฟอร์มการขาย ทั้ง Facebook, Line, IG, Twitter หรือแม้แต่เว็บไซต์
 

การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตบนเว็บไซต์ของร้านค้า

การชำระเงินด้วยวิธีนี้ ใช้ได้ในกรณีที่ร้านค้าออนไลน์ของเรามีหน้าร้านในเว็บไซต์เท่านั้น โดยจะมีหน้าชำระเงินให้กรอกรายละเอียดบัตรเครดิต/เดบิต
 

การชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ด้วย e-Money

วิธีการนี้คุณต้องมีแอปพลิเคชัน e-Money จากนั้นเติมเงินเข้าบัญชีให้เพียงพอก่อนจึงจะชำระเงินได้ ผู้ให้บริการ e-Money ที่เราคุ้นเคยก็อย่างเช่น TrueMoney, Rabbit LinePay, Smart Purse หรือ mPay เป็นต้น
 

การชำระเงินผ่าน Paypal ด้วยบัตรเครดิต

วิธีนี้เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ขายของออนไลน์ และไม่มีเว็บไซต์หน้าร้าน การชำระเงินด้วยวิธีนี้ เห็นได้จากร้านค้าใน IG และใน Facebook เป็นส่วนใหญ่ เป็นการชำระเงินออนไลน์ด้วยบัตรเครดิต ซึ่งเมื่อลูกค้าตกลงซื้อสินค้ากับเจ้าของร้านแล้วจะทำการชำระเงิน ทางร้านค้าจะส่ง Link PayPal เพื่อให้ลูกค้ากดเข้าไปกรอกหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อทำการชำระค่าสินค้าออนไลน์ได้เลย

จะเห็นว่า การที่เรามีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในการเลือกชำระเงินออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อยิ่งขึ้นด้วย

3. เงินทุนหมุนเวียน

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการเปิดร้านค้าออนไลน์ไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรเลย แต่ถ้าเราต้องสต๊อกสินค้า นั่นหมายความว่า เราต้องมีเงินทุนอยู่แล้ว ดังนั้น หากใครอยากเปิดร้านขายสินค้าออนไลน์ หรืออยากขายเสื้อผ้าออนไลน์แต่ไม่มีเงินทุน อย่ารอช้า รีบศึกษาวิธีหาเงินลงทุน ทั้งในช่วงเริ่มต้นกิจการ และทุนหมุนเวียน ในการจัดการเติมสต๊อกสินค้า หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ตาม

นอกจากนี้ หากเราเป็นร้านค้าที่ขายของผ่านช่องทางเว็บไซต์หรือมีหน้าร้านบนโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ ก็ควรทำการตลาดเพื่อโปรโมตร้านค้าออนไลน์ของคุณด้วย เป็นต้น รวม ๆ แล้วก็ไม่ใช่น้อย ๆ โดยในช่วงเริ่มต้นแบบนี้ เราจึงต้องมีเงินทุนไว้หมุนเวียนและเงินสำรองจ่ายไว้ในกิจการของเราด้วย

4. มีแผนการขายและการตลาดที่รัดกุม

เราควรมีความชัดเจนในสินค้าที่ขาย เพื่อให้การวางแผนการตลาดง่ายขึ้น เพราะบางคนจับทุกอย่างมาขายยำรวมกันหมดเลย เช่น ขายทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์ไอทีก็ขาย เครื่องเขียนก็ขาย อยู่ในช่องทางเดียวกัน ลูกค้าก็จะงงว่านี่เว็บไซต์ขายของออนไลน์หรือเพจจับฉ่ายหรือเปล่า ฉะนั้นเราจำเป็นต้องมีจุดยืนของสินค้า จากนั้นให้วางแผนการตลาดดังนี้
  • กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน : เช่น ภายใน 1 ปี ต้องขายสินค้าหรือทำยอดขายเสื้อผ้าให้ได้ 5,000 ชิ้น เป็นต้น
  • กำหนดทิศทางร้านค้าออนไลน์อย่างชัดเจน : เช่น ขายสินค้าให้ได้มากที่สุดในช่องทางใด ช่องทางหนึ่งหรือเลือกที่จะทำให้เพจเป็นที่รู้จักบนแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มากที่สุด
  • ตั้งงบประมาณให้กับแต่ละขั้นตอนก่อนไปถึงเป้าหมาย : เช่น ขั้นที่ 1 กำหนดงบประมาณในการสร้างเว็บไซต์ ขั้นที่ 2 กำหนดงบประมาณในการโปรโมตเว็บไซต์ออนไลน์ของคุณ
  • มีการประเมินผล หรือการวัด KPI : โดยการตรวจสอบประเมินผลงาน และมีการปรับปรุงแผนการตลาดบนร้านค้าออนไลน์ทุก 2 เดือน เป็นต้น
มีหลากหลายช่องทางการขาย

5. มีหลากหลายช่องทางการขาย

ต้ต้องบอกเลยว่าช่องทางการขายสินค้า (Channel) ของร้านเราจะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่เรามี ถ้าต้องการให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณมีช่องทางการขายที่ครบวงจร ควรเริ่มต้นจากการมีเว็บไซต์เป็นเหมือนหน้าร้าน แล้วจึงมีช่องทางออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เพื่อซัพพอร์ต ในขณะที่หลายคนอาจจะเลือกโฟกัสหรือขายของออนไลน์ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้นก็ได้ ซึ่งแต่ละช่องทางก็จะมีเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป เหมาะกับผู้ขายของออนไลน์ที่ทำคนเดียว เพราะจะสะดวกในการบริหารจัดการ โดยที่ช่องทางการขายมี ดังนี้
 

Facebook

แพลตฟอร์มออนไลน์ช่องทางนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีผู้ใช้งานมากที่สุด กลุ่มลูกค้าจะมีวงกว้าง และมีปริมาณมาก ง่ายต่อการทำการตลาดผ่าน Facebook Ads มีเงินลงทุนตั้งต้นเพียง 100 บาท เราก็สามารถ Boost Post หรือซื้อ Page Like AD ได้แล้ว ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นด้วย

ขั้นตอนก็ง่ายแสนง่าย ซื้อแอดได้ด้วยตัวเองผ่านสมาร์ตโฟน โดยการตั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เราต้องการ เลือกเวลา และใส่จำนวนเงิน โดย Facebook จะหักเงินค่าโฆษณาจากบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่เราลงทะเบียนไว้

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการขายของออนไลน์หลายแบบที่สามารถนำไปใช้เพิ่มยอดขายได้ เช่น การ Live ขายสินค้า หรือเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าด้วยการเขียนแคปชั่นที่สื่อสารได้ชัดเจน กระชับ โดนใจ และเป็นคำที่อยู่ในกระแส เป็นต้น

ตัวอย่างการขายของออนไลน์ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กที่ประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ "บังฮาซัน" จากร้านอาหารทะเลตากแห้ง จ. สตูล ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลายผ่านการ Live สดบน Facebook เทคนิคสำคัญของเขาคือการสร้างเรื่องราว (Storytelling) ให้กับสินค้า และตัวเอง ประกอบกับการไลฟ์ด้วยสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทุกวัน ทำให้เกิดการแชร์ต่อจนกลายเป็นไวรัล และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

จากกรณีศึกษานี้จะเห็นว่า หัวใจสำคัญคือการสร้างคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ และความน่าเชื่อถือ แม้จะใช้เพียงกล้องมือถือ แต่การมีความรู้ในสินค้าอย่างลึกซึ้งทำให้ตอบคำถามลูกค้าได้ทุกแง่มุม แน่นอนว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ต้องอาศัยความอดทน การลองผิดลองถูก และความจริงใจ ซึ่งเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในการขายของออนไลน์นั่นเอง
 

Instagram

ยังคงเป็นช่องทางขายของออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอินสตาแกรมเน้นกลุ่มคนฮิป ๆ ที่ถ่ายรูปต้องสวย ฉะนั้นถ้าคุณเลือกช่องทางนี้เพื่อขายสินค้า ควรต้องมีทักษะการถ่ายภาพในระดับหนึ่ง และควรมี Follower อยู่จำนวนหนึ่ง บางคนประสบความสำเร็จจากการขายของออนไลน์ในอินสตาแกรม จนต่อยอดไปมีหน้าร้านรับลูกค้าเลยก็มีให้เห็นเยอะทีเดียว
 

Line

ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่นิยมมี Line@ ไว้สนทนาซื้อขายสินค้ากับลูกค้าแบบตัวต่อตัว เพราะมีความเป็นส่วนตัว และสะดวกในการคุยตอบคำถามเรื่องสินค้า ช่วงเริ่มต้นคุณอาจเลือกใช้แบบฟรี ที่สามารถตอบข้อความได้ 1,000 ข้อความ แล้วค่อยขยับเป็นแพ็คเกจ Starter ที่มีผู้ติดตามได้ถึง 200 คน ราคาต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 200 บาท เป็นต้น โดยเราสามารถโพสต์สินค้าบนช่องทางออนไลน์นี้เองได้ในหน้า Timeline
 

X (Twitter)

ในสมัยก่อนเป็นช่องทางขายของออนไลน์ของวัยใส สายเกาหลีโดยเฉพาะ ช่องทางโซเชียลขายของออนไลน์ช่องทางใหม่นี้ มักเน้นไปที่สายติ่งเกาหลีจ๋า แต่ทราบไหมว่า ปัจจุบันมีผู้หันมาเล่น X เพิ่มมากขึ้น และมีหลากหลายกลุ่ม หลากหลายช่วงวัย ไม่จำกัดเพียงแฟนคลับของดารานักร้องเท่านั้น การซื้อขายของออนไลน์ผ่าน X นั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกี่ยวกับกลุ่มศิลปิน หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอางและของน่ารัก ๆ ไปจนถึงการส่งต่อของมือสองก็เป็นที่ต้องการสูงมากในช่องทางออนไลน์นี้

หากเราต้องการขายของออนไลน์ผ่าน X ข้อความของเราจะต้องสั้น และกระชับมาก รู้จักติดแฮชแท็ก บอกรายละเอียดการชำระเงิน และการติดต่อให้ครบถ้วน และส่วนใหญ่จะไปจบการขายที่ Direct Message หรือ Line
พร้อมอุทิศเวลาให้ลูกค้า

6. พร้อมอุทิศเวลาให้ลูกค้า

ขึ้นชื่อว่าขายของแล้วละก็ สิ่งสำคัญเลยที่คุณควรต้องมีคือ Service Mind นั่นหมายความว่า คุณควรพร้อมขายตลอดเวลา ขยันตอบคอมเมนต์ ขยันลงรีวิวสินค้า เมื่อคิดจะขายของออนไลน์แล้วจะคิดว่าเราทำงานแค่วันละ 8 ชั่วโมง เข้า 9 โมงเลิก 6 โมงเหมือนงานออฟฟิศไม่ได้ ลูกค้าส่วนใหญ่อาจมาตอนดึกหลัง 6 โมงไปแล้ว เพราะเป็นเวลาที่เขาสะดวกหลังเลิกงาน แต่คุณก็ควรมีกำหนดเวลาในการตอบด้วยเช่นกัน เช่น ตอบไม่เกินสี่ทุ่ม เริ่มตอบตั้งแต่ 8 โมงเช้าเป็นต้น หรือตอบเกินเวลาในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ เพื่อให้เราเองได้มีเวลาพักผ่อน และเป็นการกำหนดเวลาให้ลูกค้าไปในตัว

7. ภาพถ่ายสินค้าต้องโดดเด่น

ในโลกออนไลน์ที่ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสสินค้าจริงได้ รูปภาพจึงเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจ และสร้างความประทับใจ การลงทุนถ่ายภาพสินค้าให้สวยงาม คมชัด ใช้แสงธรรมชาติ และถ่ายให้เห็นรายละเอียดหลาย ๆ มุม จะช่วยให้สินค้าของคุณดูน่าซื้อ และมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น อาจแสดงภาพสินค้าขณะใช้งานเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

8. เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยรีวิวจากลูกค้าตัวจริง

รีวิวจากลูกค้าเปรียบเสมือนการบอกต่อที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความน่าเชื่อถือ (Social Proof) ควรสนับสนุนให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้วกลับมารีวิว เช่น การมอบส่วนลดเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการซื้อครั้งถัดไป และนำรีวิวดี ๆ มาโปรโมตในเพจ ส่วนรีวิวเชิงติชมก็ควรรับฟัง และตอบกลับอย่างมืออาชีพ เพื่อแสดงความใส่ใจและรับผิดชอบต่อลูกค้า

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขายของออนไลน์

สำหรับคำถามที่พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่มักสงสัย เราได้รวบรวมคำตอบที่สำคัญมาไว้ที่นี่แล้ว

สินค้าอะไรที่คนนิยมซื้อออนไลน์ ?

สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงมักจะเป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า, กระเป๋า) เครื่องสำอาง และสกินแคร์ ของใช้ในบ้าน และของตกแต่ง อุปกรณ์ Gadget และสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง

ข้อควรรู้ก่อนขายออนไลน์มีอะไรบ้าง ?

สิ่งที่สำคัญคือเรื่องต้นทุนแฝง เช่น ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม (GP) ค่าการตลาด และที่สำคัญคือเรื่องภาษี ซึ่งผู้ขายต้องศึกษาทั้งเรื่องภาษีร้านค้าออนไลน์ และการยื่นภาษีขายของออนไลน์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง

จะทำอย่างไรให้สามารถดึงดูดลูกค้าออนไลน์ได้?

สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ การยิงโฆษณา (Ads) ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ การจัดโปรโมชันลด แลก แจก แถม และการทำ Affiliate Marketing โดยให้บุคคลอื่นช่วยโปรโมตสินค้าเพื่อขยายการรับรู้

สินค้าที่ขายออนไลน์ได้ตลอดมีอะไรบ้าง ?

สินค้าที่มีความต้องการสม่ำเสมอ (Evergreen Products) มักเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ของใช้ส่วนตัว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อาหารแห้ง สินค้าสำหรับแม่และเด็ก และอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นตลาดที่มั่นคง และมีความต้องการตลอดทั้งปี

อยากเป็นแม่ค้าออนไลน์ต้องเริ่มจากอะไร ?

เริ่มต้นจากการเลือกสินค้าที่เราสนใจ และมีความเข้าใจเป็นอย่างดี จากนั้นศึกษาตลาดและคู่แข่ง กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ตั้งชื่อร้าน และเลือกช่องทางขายที่ถนัดที่สุดก่อน 1-2 ช่องทาง เพื่อให้สามารถโฟกัส และบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่ในช่วงแรก

สรุปบทความ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว การที่จะยืนหนึ่งในโลกการค้าขายออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องยากเลย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เตรียมจะเปิดร้านขายของออนไลน์ แล้วต้องการเงินลงทุนทำธุรกิจ เราสามารถหาแหล่งทุนเพื่อขายของออนไลน์ และปฏิบัติตามเทคนิคที่ได้แนะนำไปได้เลย การจะประสบความสำเร็จจากการขายของออนไลน์นั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก แต่หากเรามีร้านค้าอยู่แล้วอยากจะประสบความสำเร็จในการขายออนไลน์ก็ควรทำการปรับแผนการตลาดตามที่ได้แนะนำไปข้างต้น และที่สำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือเราต้องหูตาไว อัปเดตข่าวสาร และคอยติดตามเทรนด์ตลอดเวลานั่นเอง

อ้างอิง
ขอบคุณข้อมูลจาก: page365.net ,salesmatchup.com ,iurban.in.th ,bot.or.th ,1213.or.th
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา