ลงทุนซื้อสมาร์ทโฟนอย่างไรให้คุ้มค่าราคาไม่ตก

ลงทุนซื้อสมาร์ทโฟนอย่างไรให้คุ้มค่าราคาไม่ตก

By Krungsri Society

เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่คนยุคใหม่พกติดตัวไว้ไม่ยอมห่าง แถมยังออกรุ่นใหม่ ๆ ให้เหล่าสาวกต้องคอยวิ่งตามกันหน้าตั้ง แล้วการลงทุนซื้อสมาร์ทโฟนจะคุ้มค่าหรือไม่ มาเรียนรู้วิธีหมุนตามเทรนด์อย่างเข้าใจและไม่ขาดทุนด้วยกัน

ตอนนี้ต้องบอกว่าถ้าเราจะเลือกอะไรมาให้เป็นปัจจัยที่ 5 ที่ขาดไม่ได้เลยในชีวิต ต่อจากอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย คงไม่น่าจะมีอะไรเหมาะไปกว่า "โทรศัพท์มือถือ" อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ "สมาร์ทโฟน" ที่ฉลาดสมชื่อ เป็นผู้ช่วยที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและทำหน้าที่แทนอุปกรณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตประจำวันได้แทบทุกอย่าง ถึงขนาดมีคนเปรียบเทียบกันเล่น ๆ ว่า ถ้าลืมกระเป๋าตังค์กับมือถือ การลืมมือถือดูจะเป็นเรื่องแย่กว่าเห็น ๆ
นอกจากอำนวยความสะดวกในด้านการเงิน สมาร์ทโฟนก็ยังเปลี่ยนวิถีชีวิตคนยุคใหม่ไปมากมาย เช่น เมื่อก่อนเวลาจะโอนเงินหรือจ่ายบิลอะไรสักอย่าง เราก็ต้องออกจากบ้านไปธนาคารหรือเคาน์เตอร์เซอร์วิส แต่เดี๋ยวนี้การโอนเงินก็ง่าย ๆ สามารถทำได้ผ่านมือถือหรือชอปปิงออนไลน์ผ่านระบบ PromptPay (พร้อมเพย์) ก็ช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมได้ด้วย แต่สิ่งที่แลกมากับความฉลาดแบบสุด ๆ ของมือถือของเราก็คือ "ราคา" ที่ขยันขยับปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วแบบนี้เราจะซื้อสมาร์ทโฟนยังไงให้คุ้มค่าล่ะ ?
จริง ๆ แล้วสมาร์ทโฟนเป็นสินทรัพย์ตัวหนึ่งที่มีแต่จะเสื่อมค่าเหมือนกับรถยนต์ที่เราซื้อนี่แหละ ถ้าเราหวังว่าการซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งแล้วมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นอะไรที่ยาก เพราะโทรศัพท์มือถือไม่ใช่สินทรัพย์การลงทุน ดังนั้น ถ้าเราจะมองหาความคุ้มค่าที่สุด เป็นมุมเดียวกับรถยนต์ก็คงจะอยู่ที่ "ราคาขายต่อ" เป็นหลัก
โดยธรรมชาติของสินค้าทั่วไปรวมถึงสมาร์ทโฟน เราต้องดูว่ามือถือรุ่นนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดหรือมีความต้องการมากน้อยขนาดไหน ถ้าเป็นรุ่นที่มีความต้องการมาก อะไหล่มีพร้อม ซ่อมง่ายไม่มีปัญหาก็จะทำให้ราคาขายต่อดี ซึ่งตอนนั้นต้องยอมรับว่าราคาขายต่อของโทรศัพท์มือถือไม่มีอะไรดีไปกว่า iPhone แล้วล่ะ
พอถึงช่วงเดือนกันยายนของทุกปี เดี๋ยวนี้คงมีคนจำนวนไม่น้อยรอลุ้นกันไปว่า “iPhone” รุ่นใหม่ที่ออกมาจะหน้าตาเป็นยังไง ? ออกแล้วจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดี บางคนอาจจะไม่เปลี่ยนก็เพราะว่ากลัวเปลือง เครื่องเก่าก็ยังใหม่อยู่ว่ากันไป แต่ก็เชื่อว่าจะมีสาวกจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะเปลี่ยนเครื่องทุกปีตามเทคโนโลยีรุ่นใหม่ตลอดเช่นกัน
ถ้าลองมาคำนวณ จริงๆ แล้วการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone ทุกปี ซื้อใหม่ทุกปี เปลี่ยนใหม่ทุกรุ่น ก็อาจจะไม่ได้เปลืองอย่างที่เราคิดก็ได้ เราลองมาดูตัวอย่างประกอบกันดีกว่า อันนี้จากข้อมูล iPhone 7 ความจุ 128 GB อายุการใช้งาน 1 ปี ขายที่ร้านตู้มือถือต่าง ๆ ที่ร้านรับซื้อกัน
สรุปว่าราคารับซื้ออยู่ที่แถว ๆ 16,000 บาทโดยเฉลี่ย ในขณะที่ราคามือหนึ่งตอนที่ซื้อมานั้นก็อยู่ที่ 26,500 บาท นั่นหมายความว่า เมื่อผ่านมา 1 ปี เรามีค่าใช้จ่ายของมือถือเครื่องนี้อยู่ที่ 12,500/12 = 875 บาทต่อเดือน
ทีนี้ลองมองต่อไปว่า กรณี iPhone 6s ความจุ 128 GB ผ่านการใช้งานมาแล้ว 2 ปี สรุปว่าราคา iPhone 6s ผ่านไป 2 ปี ราคาขายจะอยู่ที่ 11,000 บาท แปลว่าค่าใช้จ่ายสำหรับกรณีที่เราใช้ iPhone ไป 2 ปี อยู่ที่ 15,500/24 = 654 บาทต่อเดือน
เอาล่ะ ลองย้อนกลับไปรุ่นเก่ากว่านี้อีกสักหน่อย แล้วถ้าเป็น iPhone 6 ความจุ 128 GB อายุการใช้งาน 3 ปี ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของกรณีนี้จะเท่ากับ 21,500/36 = 597 บาทต่อเดือน
จะเห็นได้ว่าการใช้งาน iPhone ระหว่าง 2 ปี กับ 3 ปีมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ไม่แตกกันมาก แล้วถ้าใครมีโอกาสได้ลองใช้สมาร์ทโฟนตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปน่าจะมีความรู้สึกประมาณว่าแบตหมดเร็ว เครื่องช้า โหลดแอปฯ ใหม่ ๆ มาก็เริ่มกระตุกเล่นไม่ไหวก็มี เลยขออนุญาตตัดกรณี 3 ปีออกไปจากการวิเคราะห์ก่อน
คราวนี้เราต้องคำนวณดูความคุ้มค่าระหว่าง “เปลี่ยนทุกปีจัดทุกปี” กับ “ซื้อใหม่ปีเว้นปี” แบบไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน ลองดูค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันระหว่าง 2 กรณี ก็คือ 221 บาทหรือประมาณ 200 บาทต่อเดือน
สิ่งที่เราได้รับมาคุ้มค่ากว่าหรือไม่ เช่น การได้ประกันเครื่องใหม่ตลอดเวลา มีโอกาสได้ลองเล่น Feature ใหม่ ๆ ก่อนใคร รวมไปถึงไม่ต้องห่วงเรื่องแบตหมดเร็ว แบตเสื่อมที่กำลังเป็นปัญหาของคนใช้สมาร์ทโฟนจนตอนนี้ต้องถือ Power Bank หรืออุปกรณ์ชาร์จไฟแบตเตอรี่ควบคู่กันแทบทุกคน
ทีนี้ก็อยู่ที่เราเลือกแล้วล่ะว่าแบบไหนคุ้มค่าที่สุดสำหรับตัวเรา บทความนี้ไม่เชียร์ให้สิ้นเปลืองเปลี่ยนมือถือกันตลอดเวลา แต่จุดประสงค์ต้องการให้เห็นความจริงว่าบางทีการเปลี่ยนมือถือทุกปีก็อาจจะไม่ได้เปลืองอย่างที่เราคิดก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อ ลักษณะการใช้งานและการดูแลรักษาของคุณด้วย แน่นอนหากจะลงทุนเพื่อขายให้ราคาไม่ตก คุณอาจจะต้องเลือกซื้อสเปคเครื่องที่ตลาดทั่วไปต้องการ รวมถึงกำหนดช่วงเวลาขาย เช่น รีบขายก่อนราคาจะตกไปมากเกินไป แม้ราคาจะได้คืนกลับมาไม่เท่ากับตอนซื้อใหม่หรือไม่ได้กำไรเพิ่ม แต่ส่วนต่างก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างการใช้งาน ซึ่งคำนวณแล้วสมเหตุสมผลนั่นเอง
หมายเหตุ: ราคาขายต่อขึ้นอยู่กับสภาพของสมาร์ทโฟนของเรา และถ้าเราสามารถขายตรงให้กับผู้ใช้ได้โดยตรงเลยก็อาจจะได้ราคาที่ดีกว่านำไปขายกับร้านค้า ประมาณ 10-20% เลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา