ในทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยี และนวัตกรรมมีผลต่อการทำงานในปัจจุบันอย่างมากมาย เพราะเป็นส่วนช่วยเร่งให้การทำงานเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี ทำให้เกิดงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดแรง และระยะเวลาในการทำงาน
ปี 2024 แนวโน้มจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ยังคงส่งผลกระทบต่อการทำงานอย่างแน่นอน วันนี้เราจะพาทุกคนไปดู 4 เทรนด์การทำงานใหม่ ที่เราควรเตรียมพร้อมก่อนใคร เพื่อปรับตัว และรับมือทุกการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น
4 เทรนด์การทำงานใหม่ ๆ ปี 2024
1. Generative AI Skill
สำหรับ
Generate AI Skill คือ การทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI ซึ่งอย่างที่เราได้เห็นกันในปี 2023 ว่า มี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ใหม่ ๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีส่วนช่วยในการทำงานของมนุษย์ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ChatGPT, Vscode และ Typora ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และกราฟิกต่าง ๆ ที่ AI เข้ามาช่วยได้มากขึ้น แม้จะไม่สามารถนำเอาภาพที่ AI ออกแบบ มาใช้งานได้ 100% จากข้อกังวลด้านลิขสิทธิ์ของภาพ แต่เราสามารถนำมาเป็นไอเดียต่อยอดได้ เรียกได้ว่า AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นจริง ๆ แม้ว่า AI จะไม่ได้เข้ามาทำงานแทนคน แต่คนที่ไม่เรียนรู้เกี่ยวกับ AI ต่างหากที่จะถูกแทนที่ (Ref.
https://techsauce.co)
2. การทำงานภายใต้แนวคิด DEI
แนวคิดแบบ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ แนวคิดเกี่ยวกับความหลากหลายในการทำงาน รวมไปถึงความเสมอภาค และความเท่าเทียม ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ ตำแหน่งงานแบบไหน ก็มีสิทธิที่จะถูกยอมรับ การเห็นใจ และการชื่นชมในการทำงานได้อย่างภูมิใจเช่นเดียวกัน
แนวคิดการทำงานแบบ DEI นับเป็นอีกหนึ่ง
กุญแจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้พนักงานในองค์กร เกิดความผูกพันต่องาน และสังคมในองค์กร รวมถึงช่วยเสริมศักยภาพการทำงานอย่างเห็นได้ชัด และนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด
โดยแนวคิดการทำงานแบบ DEI จะมีด้วยกัน 3 เรื่องดังนี้
-
Diversity
คือ ความหลากหลายของผู้คนในสังคมการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเพศ เชื้อชาติ ความสนใจ ที่มีความแตกต่าง และหลากหลาย ก็สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีของคนในองค์กร
-
Equity
คือ ความเท่าเทียม และความเสมอภาค ที่คนในองค์กรนั้นมีสิทธิที่จะออกเสียงแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เห็นสมควรได้อย่างแท้จริง
-
Inclusion
คือ การไม่แบ่งแยก รวมไปถึงการยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในการทำงาน เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีสิทธิในการเป็นผู้นำในการทำงาน ซึ่งมาจากความสามารถโดยไม่แบ่งเพศแต่อย่างใด มีความเท่าเทียมกัน
(Ref. https://th.hrnote.asia)
3. การทำงานแบบ Hybrid Work
ในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้มี
การทำงานแบบ Hybrid Working มากยิ่งขึ้น โดยการทำงานแบบ Hybrid Work คือ การทำงานที่บ้านสลับกับการเข้าออฟฟิศ เช่น การทำงานที่บ้าน 2 วัน เข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งการทำงานเช่นนี้จะแตกต่างจากการทำงานภายในออฟฟิศเพียงอย่างเดียว และยังช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับความตึงเครียดในการทำงานของพนักงานได้มากกว่า
อีกทั้งยังเป็นการสร้างอิสระในการทำงานแก่พนักงานเพื่อเปิดโอกาสในการหาแนวคิดใหม่ ๆ ในการทำงานเข้ามาเสริมได้อีกด้วย (Ref.
https://www.codeskworkplace.com)
4. การมี Side Hustle ที่นอกเหนืองานประจำ
Side Hustle คือ การสร้างรายได้เสริมระหว่างการทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว้าในปัจจุบันที่เศรษฐกิจในประเทศไทย และโลกนั้นมีการผันผวนอยู่มาก จึงทำให้การทำงานในสายเดียว หรือทางเดียวไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน โดย
การสร้างรายได้เสริมนี้ก็สามารถที่จะนำเอาความสามารถที่ตนเองมีอยู่มาทำการต่อยอด และสร้างเสริมเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้อีกเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น เรามีสกิลในสายงานการออกแบบ หรือการเป็น Graphic Designer อยู่แล้ว ก็สามารถหารายได้เสริมผ่านช่องทางออนไลน์เป็นงานฟรีแลนซ์ ซึ่งก็จะมีกลุ่มต่าง ๆ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ได้รับงานเสริม และที่สำคัญรายได้จากช่องทางนี้ก็ยังเป็นรายได้ที่ดี และยังมีมาเรื่อย ๆ ไม่กระทบกับงานประจำอีกด้วย (Ref.
https://techsauce.co)
จาก 4 เทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนไป อาจทำให้การทำงานของเราแตกต่างไปจากเดิมพอสมควร แล้วเราจะต้องปรับตัวกันอย่างไรให้สามารถรับมือกับหลักการทำงานที่จะเปลี่ยนแปลงในปี 2024 นี้ ก็มาดูกันเลย
3 แนวทางการรับมือเทรนด์การทำงานใหม่ ๆ ในปี 2024
1. การมี Mindset เพื่อพัฒนาทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) อยู่เสมอ
เราควรต้องเริ่มเปิดใจเรียนรู้
ทักษะแห่งอนาคต หรือ Future Skill ซึ่งเป็นทักษะที่จะเข้ามาช่วยเสริมให้การทำงานของยุคของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีความรู้ และความสามารถเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะต้องใช้หลากหลายทักษะเข้ามาช่วยในเรื่องนี้อีกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น
-
Upskill
คือ การพัฒนาทักษะที่ที่มีอยู่แต่เดิมให้ดีมากยิ่งขึ้นเพื่อการพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จ
-
Soft Skill
คือ ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนในองค์กรเพื่อพัฒนา mindset และทัศนิคติในการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาบุคลิกและนิสัยใจคอต่าง ๆ ไปในตัว
-
Reskill
คือ การเปลี่ยนแปลงตนเอง หรือการเสาะหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. การหมั่นฝึกคิดแบบ Critical Thinking
คือ ทักษะทางด้านการคิดวิเคราะห์อย่างมีแบบแผนเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการลองมองมุมที่แตกต่าง การค้นหา และวิเคราะห์ข้อมูล สิ่งเหล่านี้ที่จะเข้ามาช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเทรนด์การทำงานแบบใหม่ จะช่วยให้เราทำงานได้รอบคอบมากขึ้น และเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
3. ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของระบบ AI ให้มากยิ่งขึ้น
หากใครที่อยากรู้เรื่องของการใช้งาน AI ให้มากขึ้น ก็สามารถทดลอง หรือศึกษาตามประเภทของ AI ที่ตัวเองสนใจ ตัวอย่างเช่น หากสนใจเกี่ยวกับ AI ที่ช่วยวาดภาพออกมาแบบตัวเองที่ต้องการ ก็มี Midjourney ให้ใช้งาน หรือต้องการ AI เข้ามาช่วยเหลือการทำงานทั่วไปก็สามารถทดลองใช้ ChatGPT แต่ AI ตัวนี้เหมาะกับคนที่มีสกิลภาษาอังกฤษสักเล็กน้อย แต่ถ้าใครอยากใช้งาน AI ที่ใช้ภาษาไทยแบบเก่ง ๆ ก็มี Google Bard ให้บริการ นอกจากตัวอย่าง AI ที่เราได้กล่าวไปแล้ว ยังมี AI อีกมากมายหลายชนิดให้เราได้ลองใช้งาน เราไม่ต้องกลัวเลยว่า AI จะเข้ามาแย่งงานของพวกเรา ถ้าเราศึกษา และได้ลองใช้งาน AI จนคล่อง รับรองได้เลยงานของเราจะมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งกว่าเดิม
สำหรับเรื่องของเทรนด์การทำงานใหม่ ๆ นอกจากจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมดีขึ้น ยังสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตได้อีกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสกิลการทำงานใหม่ ๆ หรือวิธีคิดที่เหตุผลมากขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายที่มากขึ้นในปี 2024 รับรองว่าไม่ว่าจะเผชิญกับอะไรในการทำงาน ถ้าเรามีสกิลเหล่านี้เอาไว้ จะงานแบบไหน ก็รับมือได้แบบสบาย ๆ