รถเสียทำให้ไม่สามารถขับรถต่อไปได้ต้องโทรหาช่างซ่อมเพื่อแก้ไข
รอบรู้เรื่องรถ

รถเสีย มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นอย่างไร ?

icon-access-time Posted On 11 พฤศจิกายน 2568
By Krungsri The COACH
อาการรถเสียที่พบบ่อยในรถใช้น้ำมัน เช่น เครื่องสตาร์ทไม่ติด เครื่องยนต์ร้อนจัด ยางรั่วหรือเบรกเสื่อม ส่วนรถไฟฟ้ามักพบปัญหาแบตเตอรี่ ระบบชาร์จ และอาการผิดปกติจากไฟฟ้า การรู้จักสัญญาณเตือนและแก้ไขเบื้องต้นไม่เพียงช่วยป้องกันความเสียหายใหญ่ แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

ไม่ว่าคุณจะขับรถไปทำงานทุกวัน หรือใช้รถเดินทางไกลเป็นครั้งคราว สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็คือ รถเสียระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นรถสตาร์ตไม่ติด เครื่องยนต์ร้อนจัด หรือแม้แต่ยางรั่วกลางถนน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงทำให้เสียเวลาและเสียแผนการเดินทาง แต่บางครั้งยังหมายถึงค่าซ่อมแซมหลักหมื่น

การรู้ทันสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงช่วยบรรเทาอาการก่อนปัญหาจะบานปลาย บทความนี้จะพาไปดูอาการยอดฮิตที่ควรระวัง วิธีแก้ไขเบื้องต้น และเคล็ดลับการรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมถึงทางออกเรื่องค่าใช้จ่ายหากต้องซ่อมด่วนทั้งรถน้ำมันและรถยนต์ไฟฟ้า

ปัญหารถเสียที่พบบ่อยในรถน้ำมัน

สำหรับผู้ที่ใช้รถน้ำมันหรือรถสันดาป การสังเกตอาการเบื้องต้นและรีบซ่อมแซมจะช่วยป้องกันความเสียหายที่รุนแรง โดยปัญหารถยนต์ที่พบบ่อย ๆ มีดังต่อไปนี้
 

แบตเตอรี่เสื่อมและไฟไม่พอ

สัญญาณเตือน

  • เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือสตาร์ตไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่มีไฟไม่เพียงพอ
  • ไฟหน้ารถและระบบไฟต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ สว่างน้อยลง หรือไฟติด ๆ ดับ ๆ
  • กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง หรือเครื่องยนต์ทำงานช้ากว่าปกติ
 

วิธีแก้ไข

  • ตรวจสอบระดับไฟในแบตเตอรี่ หากหมดหรือเหลือน้อยให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
  • วิธีป้องกันแบตเตอรี่หมดไว ควรปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อดับเครื่อง
 

หัวเทียนบอดหรือเสื่อม

สัญญาณเตือน

  • รถสตาร์ตติดยาก
  • เร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้น
  • กินน้ำมันเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่เต็มที่
  • มีควันดำเหม็นมาจากท่อไอเสีย
 

วิธีแก้ไข

  • ตรวจสอบหัวเทียนว่ามีคราบเขม่าหรือไม่ ถ้ามีให้เช็ดออกหรือล้าง
  • เปลี่ยนหัวเทียนใหม่ เพื่อการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนตามระยะทางที่คู่มือรถกำหนด
 

เครื่องยนต์ร้อน

สัญญาณเตือน

  • ไฟเตือนความร้อนเครื่องยนต์ขึ้น
  • มีควันขึ้นบริเวณฝากระโปรง
  • เครื่องยนต์กระตุกหรือเร่งเครื่องไม่ขึ้น
  • พัดลมไม่ทำงาน
 

วิธีแก้ไข

  • จอดในที่ที่ปลอดภัย และดับเครื่องยนต์ทันที
  • เปิดฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อน และรอให้เครื่องเย็นลง
  • รอจนเครื่องยนต์เย็นลง แล้วเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็น (อย่าเปิดขณะเครื่องยนต์ร้อน)
  • เติมน้ำหล่อเย็นหรือน้ำสะอาดในหม้อน้ำ
  • เมื่อสัญญาณเตือนความร้อนดับลง ให้ขับรถกลับโดยที่ไม่เปิดแอร์ เพื่อลดภาระเครื่องยนต์
  • หลังจากนั้นควรนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถ เพื่อให้ช่างตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียด
 

ยางรั่วหรือแบน

สัญญาณเตือน

  • ยางลมอ่อนลงอย่างรวดเร็ว หรือต้องเติมลมบ่อย ๆ
  • รถอืด เร่งเครื่องไม่ขึ้น หรือรู้สึกหน่วง ๆ
  • รถควบคุมยาก พวงมาลัยสั่น
  • ยางแบน หรือมีสิ่งมีคมปักอยู่ที่ตะปู
 

วิธีแก้ไข

  • หากยางแบนไม่มาก ให้ขับช้า ๆ ไปยังร้านปะยาง เพื่อซ่อมแซมในเบื้องต้น
  • หากยางแบนมาก ควรเปลี่ยนเป็นยางสำรอง
 

เบรกไม่ทำงานหรือเสื่อมสภาพ

สัญญาณเตือน

  • เบรกเสียงดัง หรือได้ยินเสียงครืด ๆ
  • เบรกสั่นหรือพวงมาลัยสั่น
  • แป้นเบรกจม หรือลึกกว่าปกติ
  • เบรกไม่อยู่หรือระยะเบรกเพิ่มมากขึ้น
  • ไฟเตือนเบรกขึ้น
 

วิธีแก้ไข

  • ตรวจสอบน้ำมันเบรกและผ้าเบรก
  • หากเบรกไม่ทำงาน อย่าตกใจ ให้เปลี่ยนไปใช้เกียร์ต่ำ เมื่อความเร็วลดลงค่อย ๆ ดึงเบรกมือ
  • ควรตรวจสอบผ้าเบรกและน้ำมันเบรกตามระยะ
 
หน้าจอรถไฟฟ้าแจ้งว่ารถมีปัญหา ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ
 

ปัญหารถเสียที่พบบ่อยในรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

แม้ว่ารถไฟฟ้าจะไม่มีชิ้นส่วนมากเท่ากับรถยนต์น้ำมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเหตุการณ์รถเสียหรือเครื่องยนต์ขัดข้องเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกับแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้าเป็นหลัก โดยปัญหาหลัก ๆ ที่เจอ มีดังต่อไปนี้
 

ปัญหาแบตเตอรี่และระบบชาร์จไฟ

สัญญาณเตือน

  • ระยะทางการวิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ
  • ชาร์จไฟไม่เข้า หรือใช้เวลานานกว่าปกติ
  • ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่โชว์ เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบแบตเตอรี่แรงดันสูง หรือระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)
  • แบตเตอรี่ร้อนผิดปกติ หากมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขณะชาร์จหรือขับขี่ อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาภายในเซลล์แบตเตอรี่
 

วิธีแก้ไข

  • ตรวจสอบสายชาร์จและพอร์ต ตรวจสอบเบื้องต้นว่าสายชาร์จมีรอยแตกหรือเสียหายหรือไม่ และพอร์ตชาร์จสะอาดดีหรือเปล่า
  • ลองรีสตาร์ตรถ หากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์อาจแก้ไขได้ด้วยการปิดและเปิดรถใหม่
  • ปรึกษาศูนย์บริการ เนื่องจากระบบแบตเตอรี่และระบบชาร์จมีแรงดันไฟฟ้าสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากพยายามซ่อมเอง
 

รถสตาร์ตไม่ติดหรือขับเคลื่อนไม่ได้

สัญญาณเตือน

  • กดปุ่มสตาร์ตแล้วรถไม่ตอบสนอง
  • ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่หรือรูปประแจขึ้นบนหน้าจอ
  • เข้าเกียร์ไม่ได้
 

วิธีแก้ไข

  • ลองดับเครื่องแล้วพัก ก่อนกดสตาร์ตใหม่
  • ติดต่อศูนย์บริการ หรือโทรเรียกรถลากเพื่อนำรถเข้าศูนย์
 

ดึงสายชาร์จออกจากพอร์ตไม่ได้

สัญญาณเตือน

  • สายติดแน่น ไม่สามารถดึงออกจากพอร์ตได้ง่าย
  • ไม่มีเสียงปลดล็อกดังขึ้น
 

วิธีแก้ไข

  • ลองกดล็อกและปลดล็อกรถซ้ำ จากนั้นค่อยดึงหัวชาร์จออก (อาจจะต้องล็อกและปลดล็อกหลายครั้ง)
  • หากไม่ได้ให้ลองติดต่อเจ้าหน้าที่ อย่ากระชากสายเด็ดขาด
 

เสียงหรือกลิ่นผิดปกติระหว่างขับขี่

สัญญาณเตือน

  • ได้ยินเสียงหอน เสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดที่ดังกว่าปกติในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่
  • ได้กลิ่นฉุนคล้ายพลาสติกหรือยางไหม้
 

วิธีแก้ไข

  • นำรถเข้าจอดข้างทางทันทีที่ทำได้อย่างปลอดภัย
  • ติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ อย่าขับต่อโดยเด็ดขาด และให้โทรเรียกรถลากเพื่อนำรถเข้าอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการ
 

ประสิทธิภาพการเร่งความเร็วลดลง

สัญญาณเตือน

  • รถอืด หรือเร่งไม่ขึ้น
 

วิธีแก้ไข

  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ อาจเป็นผลมาจากปัญหาในระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) หรือมอเตอร์ไฟฟ้าที่ส่งกำลังได้ไม่เต็มที่
  • นำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างหาสาเหตุที่แท้จริง

ทำไมต้องรีบแก้ไขเมื่อรถมีปัญหา

ในกรณีที่เริ่มสังเกตถึงสัญญาณว่ารถมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเสียงดังที่ผิดปกติ กลิ่นไหม้ หรือไฟเตือนโชว์หน้าปัด พยายามค้นหาสาเหตุและรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด เพราะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะกลายเป็นค่าซ่อมจำนวนมหาศาลได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราควรซ่อมรถตั้งแต่สังเกตเห็นสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ
  • ป้องกันความเสียหายลุกลาม เพราะความเสียหายระบบหนึ่ง อาจจะส่งผลไปยังอีกระบบหนึ่งได้
  • ลดค่าใช้จ่ายค่าซ่อมในระยะยาว การแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ จะมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
  • เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะหากรถเสียระหว่างการขับขี่อาจจะทำให้รถเสียหลักและเกิดอุบัติเหตุได้

เบอร์โทรฉุกเฉินเมื่อรถเสียระหว่างการขับขี่

หากรถเสียหรือรถมีปัญหาระหว่างขับขี่ สามารถกดเบอร์ฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือได้ดังต่อไปนี้
  • 1193 ศูนย์บริการฉุกเฉินตำรวจทางหลวง
  • 1543 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
  • 1146 กรมทางหลวงชนบท
  • 1586 สายด่วนกรมทางหลวง
  • 1137 วิทยุจราจร จส.100
  • 02-711-9161 หรือ 02-711-9162 สายด่วนอุบัติเหตุ

รถเสียฉุกเฉิน ต้องการเงินด่วน Krungsri iFIN ช่วยได้

เงินซ่อมไม่พอ ต้องการกู้เงินด่วนถูกกฎหมาย สมัครสินเชื่อ Krungsri iFIN จากธนาคารกรุงศรี เรามีสินเชื่อให้เลือกหลากหลายรูปแบบตามความจำเป็น พร้อมซัปพอร์ตทุกความต้องการด้านการเงิน ซ่อมรถด่วน หมุนเงินไม่ทัน สมัครสินเชื่อออนไลน์ผ่าน krungsri app ได้เลย
กู้เงินออนไลน์ผ่าน krungsri app สะดวก
อนุมัติไวใน 1 วัน*
วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท**
ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน

*นับจากวันที่ธนาคารได้รับใบสมัครและเอกสารประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ **วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com/th/personal/loans/personal-loans
การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

ข้อมูลอ้างอิง :
  1. ชาร์จรถไฟฟ้าที่สถานีชาร์จแล้วไฟไม่เข้า-ดึงสายไม่ออก ต้องทำอย่างไร ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 จาก https://www.pptvhd36.com
  2. 9 อาการรถเสียที่เป็นบ่อย กับสาเหตุในเบื้องต้น. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 จาก https://car.kapook.com/
  3. แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมไว เกิดจากอะไร แล้วอาการรถแบตเสื่อมดูยังไง?. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 จาก plughaus.co/
 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหารถยนต์เสีย

ให้ตั้งสติและเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อส่งสัญญาณเตือน จากนั้นประคองรถเข้าจอดในบริเวณที่ปลอดภัยที่สุด โทรขอความช่วยเหลือที่เบอร์ฉุกเฉิน เช่น 1193 สำหรับตำรวจทางหลวง เพื่อแจ้งเหตุ และออกมาจากรถ เพื่อรอการช่วยเหลือ
สัญญาณเตือนรถพังมีทั้งที่โชว์บนหน้าปัดและอาการของรถ เช่น รถสั่นผิดปกติ มีเสียงดังผิดปกติ มีควันหรือกลิ่นเหม็นไหม้ หรือรถยนต์สตาร์ตไม่ติด
สาเหตุหลักที่ทำให้รถสตาร์ตไม่ติดมักจะเกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์หมดหรือเสื่อมสภาพ น้ำมันหมด หรือปัญหาที่ระบบเชื้อเพลิง
เสียงดังผิดปกติจากช่วงล่างมักเกิดจากลูกหมาก โชคอัปแตก ลูกปืนล้อมีปัญหา หรือนอตหลวม
มักเกิดจากน้ำยาแอร์ขาด ระบบแอร์รั่ว คอมเพรสเซอร์มีปัญหา หรือแผงคอยล์สกปรก
ขึ้นอยู่กับปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้น เริ่มจากหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น หรือหลักแสน หากว่าเป็นการซ่อมทั้งระบบ
วิธีเช็กปัญหารถยนต์เบื้องต้นคือการเช็คส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ เช่น ยางรถยนต์ และสภาพภายนอกและภายใน ให้นำรถไปตรวจเช็กระยะตามที่คู่มือกำหนด สังเกตไฟเตือนหน้าปัด และฟังเสียงหรืออาการผิดปกติระหว่างขับขี่
สังเกตได้จากดอกยางที่สึกหรอจนถึงจุดที่กำหนด (Tread Wear Indicator) รอยแตกลายงาหรือยางบวม หรือรู้สึกว่าพวงมาลัยสั่นผิดปกติขณะขับขี่
ตรวจสอบกับคู่มือว่าเป็นปัญหาเรื่องใด หากสามารถขับขี่ต่อได้ ให้ขับขี่ไปยังจุดหมายหรือที่ที่ปลอดภัย และนำรถเข้าเช็กโดยเร็วที่สุด แต่หากว่าไม่สามารถขับขี่ต่อได้ แนะนำให้เรียกรถลาก หรือศูนย์บริการ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา