มนุษย์เงินเดือนแต่ละคนมีสไตล์การใช้เงินเดือนของตัวเองที่แตกต่างกันไป เช่น
สายออม/ลงทุน
“เงินเดือนออกปุ๊บ แบ่ง 10% มาลงทุนในหุ้นทุกเดือน”
“สะสมค่าสมาชิก Netflix มาซื้อทองดีกว่า”
“เปลี่ยนเงินที่จะซื้อเสื้อผ้า มาลงทุนในกองทุนรวม”
หรือ
สายกิน ช้อป ใช้
“ต้องฉลองก่อน ไม่ได้อยากเล่นหุ้นสักหน่อย”
“เราติ่งเกาหลี ไม่ใช่นักสะสมทอง”
“คอลเลคชั่นใหม่มาแล้ว ของมันต้องมี กองทุนรวมใส่อวดใครได้?”
VIDEO
จะเป็นสายไหนก็ไม่ผิดทั้งนั้น เพราะความสุขจากการใช้จ่ายของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่รู้มั๊ยว่า...มีค่าใช้จ่ายอยู่อย่างนึงที่ไม่ว่าสายไหนก็ต้องจ่าย ทั้งๆ ที่ก็ไม่อยากจะจ่ายนะ นั่นก็คือ
“ภาษี” และรู้อีกด้วยรึป่าวว่า ....มันมีวิธีช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลงได้นะ ทำให้เรามีเงินมาออม หรือมากิน ช้อป ใช้ เพิ่มได้อีกตามใจเรา
วันนี้ Krungsri Payroll ขอแนะนำวิธี
“ลดหย่อนภาษี” แบบที่ถูกใจสายลงทุนชัวร์เลย ส่วนสายกิน ช้อป ใช้ ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ อยากฉลองหรือจ่ายค่าสมาชิกอะไร ก็ทำต่อไปได้ตามใจเพราะเราจะไม่อยากให้คุณมีความสุขน้อยลงไป แต่ถ้าสนใจวิธีเก็บเงินแบบง่ายๆ แถมได้จ่ายภาษีน้อยลงด้วย ก็ตามอ่านกันต่ออีกนิด ตัวช่วยลดหย่อนภาษีนี้ ที่ชื่อว่า
RMF (กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ - Retirement Mutual Fund) ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีการลงทุนที่เน้นให้เราค่อยๆ สะสมเงินในวันที่เรายังทำงานมีรายได้อยู่ เพื่อจะได้มีเงินก้อนโตไว้ใช้ตอนเกษียณ และยังมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี และที่สำคัญอีกอย่าง คือ ช่วยให้เราจ่ายภาษีในแต่ละปีน้อยลงด้วย* ลดได้แค่ไหน เราลองมาดูรายละเอียดกัน
หมายเหตุ:
*ตัวอย่างการคำนวณนี้เป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้น โดยนำเงินได้ (เงินเดือน) มาหักค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย (50% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท) และใช้เพียงสิทธิ์ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาทเท่านั้น บนสมมติฐานว่า เป็นบุคคลธรรมดา สถานภาพโสด อายุ 20 – 59 ปี ไม่ทุพพลภาพ ไม่มีมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายเหมา และไม่มีค่าลดหย่อนอื่นๆ เช่น คู่สมรส, บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรม, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป, ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ, ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป), ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส, เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ, ดอกเบี้ยกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น, ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ, กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และเงินบริจาค
** เมื่อรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆและกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี
***โดยลงทุนเพียง 50,000 บาท ก็สามารถประหยัดภาษีได้ทั้งจำนวน
รู้คร่าวๆ แล้วว่าเราน่าจะลงทุน RMF ได้สูงสุดปีละเท่าไหร่ ทีนี้ ก็มาดูกันว่าจะลงทุนแบบไหน เมื่อไหร่ดี
ลงทุนทั้งก้อน ปีละครั้ง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักลงทุนแบบนี้ คือ ซื้อ RMF ครั้งเดียวตอนช่วงปลายปี มีเงินพอซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อเท่านั้น และราคากองทุนอยู่ที่เท่าไหร่ สูงหรือต่ำ ก็ซื้อที่ราคานั้นทั้งก้อน
ทยอยลงทุนเป็นประจำในระยะเวลาที่เท่าๆ กัน เช่น ทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน หรือที่เรียกว่า ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA : Dollar-Cost Averaging) วิธีนี้ จะมีข้อดีหลายอย่าง คือ
ใช้เงินน้อย ค่อยๆ ลงไปเรื่อยๆ ช่วยสร้างวินัยในการเก็บออม ไม่เผลอใช้ไปก่อน
เป็นการถัวเฉลี่ยราคาต้นทุน ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคากองทุน
เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่า การหาจังหวะราคาที่เหมาะเข้าซื้อกองทุนด้วยตัวเอง
และวันนี้ กรุงศรีขอแนะนำ RMF กองเด็ด ที่มีนโยบายการลงทุนที่น่าจะโดนใจตามสไตล์แต่ละคน
ถึงตอนนี้ อาจอยากจะเริ่มลงทุนใน RMF แล้วล่ะสิ? ถ้าใช่ล่ะก็ หยิบมือถือของคุณขึ้นมาเลย แล้วเข้าไปในแอป krungsri app ก็เปิดบัญชีกองทุนได้เลย แล้วลองเริ่มลงทุนแบบ DCA ตามขั้นตอนด้านล่าง หรือถ้ายังไม่แน่ใจหรือมีคำถามที่อยากได้คนแนะนำให้เข้าใจมากขึ้นอีกนิดก่อน ที่กรุงศรีก็มีทีม Plan Your Money คอยให้คำแนะนำการลงทุนแบบส่วนตัวด้วยนะ ติดต่อรับคำแนะนำได้ที่ 02-2965959 หรือฝากชื่อของเราเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้
คลิก
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
RMF เป็นกองทุนที่ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
KFCLIMARMF, KFGBRANRMF กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
KFAFIXRMF อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วน หรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ