6 วิธีพลิกเกมจ่ายประกันไม่ไหว ให้ยังได้ความคุ้มครองแบบไม่หลุดมือ
เพื่อคุ้มครองคุณและครอบครัว

6 วิธีพลิกเกมจ่ายประกันไม่ไหว ให้ยังได้ความคุ้มครองแบบไม่หลุดมือ

icon-access-time Posted On 12 พฤศจิกายน 2568
By Krungsri The COACH
หนึ่งในความท้าทายของการทำประกันชีวิต คือ การจ่ายเบี้ยประกันในขณะที่ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงิน จนทำให้บางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าจ่ายประกันไม่ไหวแล้ว และต้องการยกเลิกกรมธรรม์ก่อนครบกำหนดสัญญา อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะตัดสินใจยกเลิกกรมธรรม์หรือไม่ Krungsri The COACH อยากขอให้คุณอย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะในบทความนี้ เรามีทางออกดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณรักษาความคุ้มครองไว้ได้ พร้อมก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง

ทำไมการจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอถึงสำคัญ ?

 
จ่ายเบี้ยสม่ำเสมอ

หัวใจสำคัญของการทำประกันคือการได้รับความคุ้มครองที่ต่อเนื่อง การชำระเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองตามสัญญา หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่สำหรับประกันบางประเภท เช่น ประกันสะสมทรัพย์ การจ่ายเบี้ยครบถ้วนยังหมายถึงการสะสมมูลค่าของเงินในกรมธรรม์ตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันการสูญเสียเงินที่จ่ายไปแล้ว เพราะหากกรมธรรม์ขาดอายุไปก่อนเวลาอันควร ก็อาจจะทำให้เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง

ถ้าไม่จ่ายเบี้ยประกันจะเกิดอะไรขึ้น ?

หากไม่ชำระเบี้ยภายในระยะเวลาที่กำหนด กรมธรรม์จะยังไม่สิ้นสุดความคุ้มครองในทันที แต่จะเข้าสู่ช่วงผ่อนผัน มีระยะเวลา 31 วัน หากเกินจากช่วงเวลาผ่อนผันที่กำหนด จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องเสียผลประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น
  • สูญเสียความคุ้มครอง : เมื่อกรมธรรม์ขาดอายุ สัญญาความคุ้มครองทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ หรืออุบัติเหตุ จะสิ้นสุดลงทันที ไม่สามารถเคลมค่ารักษาหรือทุนประกันได้
  • อาจสูญเสียเงินที่จ่ายไปแล้ว : ในกรณีที่กรมธรรม์ยังไม่มีมูลค่าเงินสดเวนคืน (Cash Value) หรือมีมูลค่าน้อยมาก การปล่อยให้กรมธรรม์ขาดอายุอาจหมายถึงการสูญเสียเบี้ยประกันที่เคยจ่ายมาทั้งหมด
  • เสียสิทธิ์สะสมระยะยาว : เช่น เงินปันผล หรือเงินคืนเมื่อครบสัญญา หากเป็นประกันสุขภาพ ถ้ากลับมาทำใหม่ อาจต้องตรวจสุขภาพใหม่และจ่ายเบี้ยแพงกว่าเดิม

6 ทางออกแก้ปัญหาจ่ายประกันไม่ไหว

 
ทางออกจ่ายประกันไม่ไหว

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเผชิญปัญหาจ่ายประกันไม่ไหว อย่าเพิ่งตัดสินใจยกเลิกกรมธรรม์ในทันที เพราะยังมีทางเลือกอีกหลายวิธีที่ช่วยรักษาความคุ้มครองไว้ได้ ซึ่งสามารถแบ่งตามสถานการณ์ทางการเงินได้ 2 รูปแบบหลัก

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเผชิญปัญหาจ่ายประกันไม่ไหว อย่าเพิ่งตัดสินใจยกเลิกกรมธรรม์ในทันที เพราะยังมีทางเลือกอีกหลายวิธีที่ช่วยรักษาความคุ้มครองไว้ได้ ซึ่งสามารถแบ่งตามสถานการณ์ทางการเงินได้ 2 รูปแบบหลัก
 

กรณีที่จ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวในระยะสั้น

หากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว และคาดว่าจะกลับมาจ่ายเบี้ยตามปกติได้ในไม่ช้า คุณสามารถพิจารณาทางเลือกเหล่านี้
 

1. ขอชำระเบี้ยในระยะเวลาผ่อนผัน


โดยปกติแล้ว บริษัทประกันจะมีช่วงเวลาผ่อนผันให้ประมาณ 31 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ย ในระหว่างนี้ กรมธรรม์ของคุณจะยังคงมีผลคุ้มครองทุกประการ ถือเป็นทางเลือกแรกที่ช่วยให้คุณมีเวลาในการเตรียมเงินสดให้พร้อมโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของกรมธรรม์
 

2. ขอเปลี่ยนรูปแบบงวดการชำระเบี้ย


หากการจ่ายเบี้ยแบบรายปีเป็นภาระหนักเกินไป เพราะต้องจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ คุณสามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอเปลี่ยนงวดชำระเป็นราย 6 เดือน 3 เดือน หรือรายเดือนได้ วิธีนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระให้คุณจ่ายเบี้ยในยอดที่น้อยลงในแต่ละครั้ง แม้ว่ายอดรวมทั้งปีอาจสูงกว่าการจ่ายรายปีเล็กน้อย แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยรักษาความคุ้มครองไว้ได้ดี
 

กรณีที่จ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวในระยะยาว

จ่ายเบี้ยไม่ไหวระยะยาว

หากประเมินแล้วว่าภาระค่าเบี้ยประกันสูงเกินกว่าจะรับไหวในระยะยาว และต้องการหาทางหยุดส่งประกันชีวิตไม่ให้ขาดทุน เรายังมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่าการเวนคืนกรมธรรม์ ยกเลิกกรมธรรม์ก่อนครบกำหนดสัญญาซึ่งจะช่วยให้คุณยังมีความคุ้มครองติดตัวอยู่
 

3. ขอลดจำนวนวงเงินคุ้มครอง


คุณสามารถขอลดวงเงินคุ้มครอง (ทุนประกัน) ลงได้ ซึ่งจะส่งผลให้เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายในงวดถัดไปลดลงตามไปด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ยังต้องการความคุ้มครองอยู่ แต่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายรายงวดให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินในปัจจุบัน
 

4. เปลี่ยนกรมธรรม์เป็นแบบ “ใช้เงินสำเร็จ”


ถ้าคุณจ่ายเบี้ยประกันมาหลายปีจนมีมูลค่าเงินสะสมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่สามารถจ่ายเบี้ยต่อไปได้อีก วิธีนี้จะช่วยให้คุณหยุดจ่ายเบี้ยได้แบบถาวร โดยที่ยังมีความคุ้มครองประกันชีวิตต่อไปจนจบสัญญาเดิม เพียงแต่วงเงินคุ้มครองจะถูกปรับลดลงตามเงินสะสมที่มีอยู่ แต่บริษัทประกันจะรับประกันวงเงินที่ปรับใหม่นี้ไปจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา
 

5. ใช้สิทธิ์ “ขยายเวลา” กรมธรรม์


นี่คืออีกทางเลือกสำหรับคนที่หยุดจ่ายเบี้ย โดยนำเงินสะสมที่มีอยู่มาใช้ วิธีนี้จะยังคงวงเงินคุ้มครองเท่าเดิม ไม่ลดลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ ระยะเวลาคุ้มครองจะสั้นลง เหมาะกับคนที่อยากเก็บวงเงินคุ้มครองก้อนใหญ่ไว้ ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต
 

6. เวนคืนกรมธรรม์


ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ควรพิจารณา การเวนคืน คือ การขอยกเลิกกรมธรรม์เพื่อรับเงินสดตามมูลค่าเวนคืน ณ ขณะนั้นกลับมา ซึ่งจะทำให้ความคุ้มครองทั้งหมดสิ้นสุดลงทันที วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดฉุกเฉิน และไม่ต้องการความคุ้มครองจากกรมธรรม์ฉบับนั้นอีกต่อไป

ตารางสรุป : เลือกวิธีแก้ปัญหาจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวอย่างไรให้เหมาะสม

เพื่อให้เห็นภาพ และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น Krungsri The COACH ได้สรุปทางเลือกต่าง ๆ ไว้ในตารางเปรียบเทียบดังนี้
 
ทางเลือก เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน ข้อดี ข้อควรพิจารณา
1. ขอชำระเบี้ยในระยะเวลาผ่อน ขาดสภาพคล่องระยะสั้นมาก (ไม่เกิน 1 เดือน) ความคุ้มครองเท่าเดิมทุกประการ มีเวลาจำกัดเพียง 31 วัน
2. ขอเปลี่ยนรูปแบบงวดชำระ ต้องการแบ่งชำระเบี้ยประกันจากรายปี เปลี่ยนเป็นราย 6 เดือน หรือ ราย 3 เดือน หรือ รายเดือน ทำให้จ่ายเบี้ยต่อครั้งน้อยลง จัดการเงินง่ายขึ้น เบี้ยประกันรวมต่อปีอาจสูงขึ้นเล็กน้อย
3. ขอลดวงเงินคุ้มครอง ภาระค่าใช้จ่ายสูง ต้องการลดเบี้ยในระยะยาว ยังมีความคุ้มครองอยู่ และจ่ายเบี้ยน้อยลง วงเงินคุ้มครองลดลง
4. เปลี่ยนกรมธรรม์เป็นแบบใช้เงินสำเร็จ ไม่สามารถจ่ายเบี้ยได้อีก แต่ต้องการคุ้มครองจนครบสัญญา ไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีกต่อไป วงเงินคุ้มครองลดลงอย่างมาก
5. ใช้สิทธิ์ขยายเวลากรมธรรม์ ไม่สามารถจ่ายเบี้ยได้อีก แต่ต้องการความคุ้มครองสูงเท่าเดิม วงเงินคุ้มครองเท่าเดิม ระยะเวลาคุ้มครองสั้นลง
6. เวนคืนกรมธรรม์ ต้องการเงินสดฉุกเฉิน และไม่ต้องการความคุ้มครองอีกแล้ว ได้รับเงินก้อนทันที สูญเสียความคุ้มครองทั้งหมด

5 ขั้นตอนวางแผนป้องกันปัญหาจ่ายประกันไม่ไหวอีก

วางแผนจ่ายเบี้ยประกัน

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่การวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำคือสิ่งที่ดียิ่งกว่า เพื่อให้การจ่ายเบี้ยประกันของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น ลองทำตาม 5 ขั้นตอนนี้
 

ขั้นตอนที่ 1 : ประเมินความสามารถในการจ่ายเบี้ย

ก่อนตัดสินใจทำประกัน ควรประเมินรายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียด และกันเงินสำหรับเบี้ยประกันไม่ให้เกิน 10-15% ของรายได้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ได้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน
 

ขั้นตอนที่ 2 : เลือกซื้อประกันรูปแบบที่เหมาะกับเรา

เมื่อคุณรู้ความสามารถในการจ่ายเบี้ยแล้ว ข้อต่อไปที่ควรพิจารณาคือ ประกันรูปแบบไหนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด สำหรับคนที่ต้องการสร้างหลักประกัน แต่ไม่อยากสร้างภาระผูกพันทางการเงินที่ยาวนานเกินไป ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะสั้นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ที่ไม่นาน ทำให้วางแผนการเงินได้ง่าย และคล่องตัวมากขึ้น Krungsri The COACH ขอเสนอประกันสะสมทรัพย์ระยะสั้น ดังนี้  
ประกันสะสมทรัพย์ กรุงศรี
 

ขั้นตอนที่ 3 : ศึกษาข้อกำหนด และเงื่อนไขอย่างละเอียด

ทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเฉพาะเงื่อนไขเมื่อเกิดปัญหาจ่ายประกันไม่ไหว เช่น ตารางมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ หรือสิทธิ์ในการใช้เงินสำเร็จ และขยายเวลา การรู้ข้อมูลเหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเลือกทางออกที่เหมาะสมที่สุดได้
 

ขั้นตอนที่ 4 : สร้างแผนสำรองเมื่อเกิดปัญหา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต การวางแผนล่วงหน้าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรหากรายได้ลดลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ส่วนหนึ่งสำหรับจ่ายเบี้ยประกันโดยเฉพาะ อย่างน้อย 3-6 เดือน จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากขึ้น
 

ขั้นตอนที่ 5 : ทบทวนแผนประกันสม่ำเสมอ

ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เช่น การแต่งงาน มีบุตร หรือเปลี่ยนงาน ควรกลับมาทบทวนแผนประกันที่มีอยู่ว่ายังเหมาะสมหรือไม่ การปรับแผนให้เข้ากับสถานการณ์ชีวิตในปัจจุบัน จะช่วยให้ประกันของคุณตอบโจทย์ และไม่สร้างภาระเกินความจำเป็น

การจ่ายประกันไม่ไหวไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการทำประกันเสมอไป หากเลือกวิธีแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้คุณสามารถรักษาความคุ้มครองไปได้จนครบสัญญา ดังนั้น การทำความเข้าใจทางเลือกต่าง ๆ ตั้งแต่การใช้ระยะเวลาผ่อนผันไปจนถึงการใช้สิทธิ์ในกรมธรรม์ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเองได้ดีที่สุด

อ้างอิง
 
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา