ส่องนโยบายทรัมป์ 2.0 อุตสาหกรรมไหนรอด พร้อมคว้าโอกาสลงทุน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ส่องนโยบายทรัมป์ 2.0 อุตสาหกรรมไหนรอด พร้อมคว้าโอกาสลงทุน

icon-access-time Posted On 28 กันยายน 2568
By Krungsri The COACH
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนโยบาย “America First” สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนทั่วโลก สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสทำกำไรท่ามกลางความไม่แน่นอน Krungsri The COACH พร้อมชี้เป้าอุตสาหกรรมดาวรุ่ง และดาวร่วง ที่ได้รับผลกระทบจากแนวคิด America First เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนการลงทุนได้แบบทันเกม
 

America First เกี่ยวข้องกับการขึ้นภาษีอย่างไร

 
America First

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจแนวคิด “America First” กันก่อน เพราะหัวใจสำคัญของนโยบายทรัมป์คือ แนวคิด America First ซึ่งมองว่า การค้าโลกเป็นเหมือนเกมที่ต้องมีผู้ชนะ และผู้แพ้ หากสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับประเทศไหน ก็หมายความว่ากำลัง “พ่ายแพ้” หรือถูกเอาเปรียบ

ดังนั้น ภาษีนำเข้าจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการต่อรอง เพื่อกดดันให้ประเทศคู่ค้าต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าให้สหรัฐฯ ได้เปรียบมากขึ้น ซึ่งประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไทย จึงมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเป้าหมายโดยตรง ไม่ใช่แค่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนเหมือนที่ผ่านมา
 

3 นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ต้องจับตามอง

เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวม และเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างตรงจุด เรามาสรุป 3 นโยบายหลักของทรัมป์ 2.0 ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดโลกกันก่อน
 

1. มาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff)

นโยบายภาษีทรัมป์สำหรับข้อนี้คือหัวใจสำคัญของทรัมป์ 2.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “การค้าต้องเท่าเทียม” โดยเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ทรัมป์ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายความมั่นคง (IEEPA) ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เพื่อปูทางสู่การใช้ “ภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff)” อย่างเต็มรูปแบบ

มีหลักการคือ ประเทศที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้า จะถูกตั้งกำแพงภาษีพื้นฐานที่ 10% ขณะที่ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจำนวนมาก เช่น จีน หรือแม้แต่ไทย จะเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้นเป็นรายประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อกดดันคู่ค้า และปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งการใช้อำนาจพิเศษนี้ ทำให้นโยบายภาษีมีความไม่แน่นอน และคาดเดาได้ยาก สร้างความวิตกกังวลแก่นักลงทุนทั่วโลก
 

2. การลดกฎระเบียบ (Deregulation)

ทรัมป์มีแนวโน้มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม และการเงิน เพื่อลดต้นทุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานฟอสซิล และสถาบันการเงิน แม้จะส่งผลดีต่อบริษัทกลุ่มดังกล่าวในสหรัฐฯ แต่จะกระทบเชิงลบต่อเทรนด์การลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนทั่วโลก
 

3. การจำกัดผู้อพยพ (Immigration Restrictions)

นโยบายควบคุมผู้อพยพที่เข้มงวดอาจทำให้ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ขาดแคลน ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว แม้ระยะสั้นจะดูเหมือนเป็นการปกป้องแรงงานในประเทศ แต่ระยะยาวอาจส่งผลต่อกำลังการผลิต และการบริโภค ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
 

นโยบายทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกอย่างไร ?

 
นโยบายทรัมป์ 2.0

ในตอนแรกตลาดกังวลกันว่า นโยบายภาษีของทรัมป์จะทำให้ข้าวของแพงขึ้น (เกิดเงินเฟ้อสูง) แต่ผลกระทบกลับน้อยกว่าที่คิด เพราะหลายประเทศอย่างไทยมีนโยบายช่วยลดภาษีของตนเองลง แต่แล้วปัญหาใหม่ก็เข้ามาแทนที่คือตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอลง ซึ่งตัวเลขการจ้างงานที่ลดน้อยลงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ความกังวลของนักลงทุนจึงเปลี่ยนจากเรื่อง “ของแพง และดอกเบี้ยสูง” ไปเป็นเรื่อง “เศรษฐกิจอาจจะซบเซา” ซึ่งแม้จะมีโอกาสเห็นดอกเบี้ยลดลง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา เพราะเมื่อบริษัทต่าง ๆ เริ่มชะลอการจ้างงาน หรือปลดคนออก คนทั่วไปก็จะขาดความเชื่อมั่น และไม่กล้าใช้จ่าย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อยอดขายของธุรกิจที่ซบเซาลงนั่นเอง
 

3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ

จากนโยบายที่กล่าวมา มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
  1. กลุ่มผู้ผลิต และส่งออกทั่วโลก (Global Manufacturing & Exporters) : โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากกำแพงภาษี และเสี่ยงต่อมาตรการภาษีตอบโต้โดยตรง
  2. กลุ่มพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Clean Energy & Climate Tech) : ได้รับผลกระทบจากการลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายที่หันกลับไปสนับสนุนพลังงานฟอสซิล เช่น ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ หรือรถยนต์ไฟฟ้า
  3. บริษัทที่พึ่งพาจีนสูง (China-Exposed Companies) : มีความเสี่ยงสูงสุดจากกำแพงภาษีที่พุ่งเป้าไปที่จีนโดยตรง ทำให้ทั้งห่วงโซ่อุปทาน และยอดขายมีความไม่แน่นอนสูง เช่น บริษัทเทคโนโลยีหรือสินค้าฟุ่มเฟือย
 

3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต และน่าจับตามอง

ในอีกด้านหนึ่ง นโยบายของทรัมป์ก็สร้างประโยชน์ให้กับบางอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสที่น่าจับตาสำหรับนักลงทุน ได้แก่
 

1. พลังงาน และเชื้อเพลิงฟอสซิล (Energy & Fossil Fuels)

ทรัมป์หนุนการผลิตพลังงานในประเทศเต็มที่ ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน พร้อมลดข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเร่งอิสรภาพทางพลังงาน ส่งผลบวกโดยตรงต่อบริษัทขุดเจาะน้ำมัน โครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และกลุ่มผู้ให้บริการในสหรัฐฯ
 

2. โรงงานอัตโนมัติ และระบบหุ่นยนต์ (Industrial Automation & Robotics)

นโยบายย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Reshoring) จะจูงใจให้บริษัทย้ายโรงงานกลับสหรัฐฯ แต่ด้วยต้นทุนแรงงานที่สูง ทำให้ต้องพึ่งพาระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และซอฟต์แวร์ควบคุมการผลิตมากขึ้น จึงส่งผลดีต่อบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
 

3. โครงสร้างพื้นฐานในประเทศสหรัฐฯ (U.S. Infrastructure)

คาดว่าทรัมป์จะผลักดันงบประมาณมหาศาล เพื่อลงทุนด้านถนน ทางด่วน พลังงาน และโครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานในประเทศ บริษัทในกลุ่มก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และเครื่องจักรหนัก จึงมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์โดยตรง
 

Krungsri The COACH แนะนำ : กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจดาวเด่น โอกาสได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์

ท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายทรัมป์ การเลือกสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากเมกะเทรนด์การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนในประเทศสหรัฐฯ ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และมองหาโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอท่ามกลางความผันผวนจากนโยบายการค้า Krungsri The COACH ขอแนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลกอย่าง กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลคอลเล็คทีฟสมาร์ทอินคัม (KF-CSINCOME)
  • เหมาะกับใคร : นักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอจากตราสารหนี้ทั่วโลก สามารถรับความผันผวนของตลาดได้ปานกลาง และต้องการผู้เชี่ยวชาญคอยปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) : มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
  • นโยบายการลงทุน : เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ PIMCO GIS Income Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนที่กระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีหลากหลายประเภททั่วโลก โดยทีมผู้จัดการกองทุนจะปรับเปลี่ยนสัดส่วน และอายุตราสารหนี้เชิงรุกให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในทุกสถานการณ์

สัดส่วนสินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ก.ค. 68
  • PIMCO GIS Income Fund 99.84%
  • เงินฝาก หรือตราสารหนี้ที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก 1.73%
  • ทรัพย์สินอื่น 0.63%
  • หนี้สินอื่น -2.19%

จุดเด่นที่น่าสนใจในมุมของ Krungsri The COACH
“ในสภาวะที่นโยบายทรัมป์ 2.0 สร้างความไม่แน่นอนสูง กองทุน KF-CSINCOME ถือเป็นทางออกสำหรับนักลงทุนที่มองหาเสถียรภาพ และการเติบโต จุดเด่นคือการบริหารพอร์ตแบบ ‘ยืดหยุ่น และเชิงรุก (Flexible & Active)’ โดยผู้จัดการกองทุนระดับโลกอย่าง PIMCO ที่จะคอยปรับเปลี่ยนประเภท และอายุของตราสารหนี้ให้ทันเกม ไม่ว่าทิศทางดอกเบี้ย และเศรษฐกิจโลกจะผันผวนเพียงใด ช่วยให้นักลงทุนสามารถขยายโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากตราสารหนี้ทั่วโลกได้อย่างมั่นใจ”
 
กองทุนรวมกรุงศรี

ยุคของนโยบายทรัมป์ 2.0 สร้างสภาวะการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน และความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่โอกาสครั้งสำคัญ กุญแจสู่ความสำเร็จคือการทำความเข้าใจความเสี่ยง และจัดสรรเงินลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์อย่างชัดเจน เช่น กลุ่มเทคโนโลยี การแพทย์ และกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุนรวมของกรุงศรีที่แนะนำไปนั้น เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ให้เป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างชาญฉลาด

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน KF-CSINCOM อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วน หรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ

หมายเหตุ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.กรุงศรี เท่านั้น


อ้างอิง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา