[How to] ปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

[How to] ปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป

icon-access-time Posted On 23 มีนาคม 2565
by Krungsri The COACH
ท่ามกลางความผันผวนจากสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน การปล่อยพอร์ตของคุณให้อยู่เฉยๆ อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงอาจทำให้คุณขาดทุน หรือเสียโอกาสในการทำกำไรจากสินทรัพย์ต่างๆ การปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไปควรทำอย่างไรบ้าง Plan Your Money มีคำตอบให้กับคุณ


การปรับพอร์ตคืออะไร

การปรับพอร์ต (Rebalancing) คือ การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนหรือสัดส่วนของสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีการวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถทำได้ทั้งการซื้อ ขาย และการสลับสินทรัพย์ต่างๆ ตามความเหมาะสม


ความสำคัญของการปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป

ทำไมนักลงทุนควรทำการปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง? เรื่องนี้มีเหตุผลหลักด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่
  1. ลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสภาวะตลาด
    ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่นักลงทุนหลายคนถืออยู่ลดลงอย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องรวมถึงการตัดสินใจต่างๆ ของตัวนักลงทุนเอง การปรับพอร์ตจะมีส่วนช่วยให้การลงทุนสมดุลได้มากขึ้น ไม่ให้ตัวนักลงทุนต้องเจ็บหนักมากนัก
  2. เพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
    นอกจากการช่วยลดความเสี่ยงแล้ว การปรับพอร์ตอย่างเหมาะสมยังช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนมากขึ้นจากสภาวะตลาดรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนบางตัวที่น่าสนใจและราคาลดลงมาในระดับที่เอื้อมถึง หรือการขายกองทุนบางกองทุนที่ได้กำไรจากสภาวะนั้นๆ
  3. เพิ่มรูปแบบการลงทุน
    สภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปมีโอกาสทำให้หลายต่อหลายคนเห็นช่องทางการลงทุนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนรูปแบบใหม่ที่เติบโตขึ้น ตัวอย่างที่ดี คือ ในช่วงของ Digital Disruption ที่นักลงทุนชื่อดังหลายคนได้ขยับเข้าหาหุ้นและกองทุนกลุ่มดิจิทัลก่อนบุคคลทั่วไป ทั้งๆ ที่พอร์ตของนักลงทุนเหล่านั้นในอดีตไม่ได้มีกองทุนที่เกี่ยวกับดิจิทัลมากนัก
ปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป


รูปแบบการปรับพอร์ตเพื่อรับมือสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

การปรับพอร์ตเพื่อรับมือสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงมีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้การปรับของแต่ละคนนั้นไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ การลงทุนภายในพอร์ต รวมถึงเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของผู้ถือครองพอร์ตด้วย
  • ตลาดขาขึ้น
    เมื่อสภาวะตลาดเริ่มเป็นขาขึ้น การปรับสัดส่วนพอร์ตไปทางกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงปานกลางและความเสี่ยงสูงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากเม็ดเงินมีโอกาสไหลไปยังกองทุนรวมหุ้นและกองทุนรวมผสมต่างๆ มากขึ้น โดยมีกองทุนที่น่าสนใจอย่างเช่น KFGROWTH-A และ KFHAPPY-A เป็นต้น
  • ตลาดขาลง
    ช่วงเวลาของตลาดขาลงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโต อัตราดอกเบี้ย รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตัวเลือกการปรับพอร์ตสำหรับช่วงนี้จึงควรเน้นไปยังกองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น KFCASH-A และ KFSMART เพื่อรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยจากความผันผวนรวมถึงการแพนิคต่างๆ ภายในตลาด

แน่นอนว่า สถานการณ์ของตลาดอาจมีปัจจัยที่แตกต่างออกไป เช่น เมื่อสภาวะตลาดถดถอยในช่วงวิกฤตโรคระบาด มูลค่าการลงทุนในส่วนเทคโนโลยีและการแพทย์ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแตกต่างจากการลงทุนแบบอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดจะเป็นขาลง แต่ก็มีโอกาสที่กองทุนบางตัวจะยังยืนหยัดและเติบโตอยู่ได้เช่นกัน


การปรับพอร์ตที่คุณควรรู้

สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยังไม่เคยปรับพอร์ตมาก่อน เบื้องต้นควรปรับสัดส่วนราว 10%-20% ก่อน ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่ยอมรับได้ภายในพอร์ตต่างๆ หากเป็นตลาดขาขึ้นควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีโอกาสทำกำไร หากเป็นตลาดขาลงก็ควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการแนะนำตามตารางด้านล่าง ดังนี้

ปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป


กรณีอื่นๆ ที่ควรปรับพอร์ต

นอกจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง นักลงทุนควรปรับพอร์ตเมื่อไรบ้าง นี่คือ 3 กรณีหลักที่ควรให้ความสำคัญ
  1. ระยะเวลาผ่านไป 6 เดือน - 1 ปี คำแนะนำด้านการลงทุนส่วนใหญ่มักระบุให้ปรับพอร์ตทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไปสำหรับการลงทุนในแต่ละครั้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ต่างๆ แน่นอนว่า สำหรับนักลงทุนที่ปรับพอร์ตรายไตรมาสอยู่แล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้ารูปแบบการลงทุนดังกล่าวมีประสิทธิภาพเพียงพอ
  2. การลงทุนสร้างผลผลตอบแทนได้ตรงเป้า การลงทุนล้วนมีเป้าหมาย แต่เราควรทำอย่างไรเมื่อกองทุนของเราสามารถทำผลตอบแทนได้ตรงตามเป้า คำตอบ คือ การปรับเปลี่ยนพอร์ตเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรที่ดียิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนนั้นๆ ด้วย
  3. การลงทุนมีผลตอบแทนต่ำ-สูงกว่าการคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้จะสอดคล้องกับสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง จุดต่างอยู่ที่นักลงทุนบางท่านจะให้ความสนใจกับการลงทุนที่ตัวเองลงทุนอยู่เป็นหลักมากกว่า หากกองทุนที่นักลงทุนถืออยู่ได้รับผลตอบแทนต่ำหรือสูงกว่าการคาดการณ์ ตัวเลือกในการปรับเปลี่ยนพอร์ตเพื่อรับมือ เช่น การปรับสัดส่วนการขายเพื่อ Cut Loss หรือช้อนเพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคตก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

สิ่งสำคัญ คือ อย่าลืมว่าสถานการณ์ในตลาดคาดเดาได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีนักลงทุนมากมายและมีสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตลาดอาจมีช่วงเวลาหยุดนิ่ง แพนิค ไปจนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วจากปัจจัยต่างๆ ดังนั้น นักลงทุนควรมีสติและพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้งที่ลงทุนหรือปรับพอร์ต

สรุป
การปรับพอร์ตเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลงควรหมั่นสังเกตแนวโน้มของตลาดอยู่เสมอว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง รวมถึงมีปัจจัยใดบ้างที่มาเกี่ยวข้องกับการลงทุนในตลาด เพื่อให้การปรับพอร์ตดังกล่าวทรงประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับพอร์ตหรืออยากปรึกษาการลงทุนเชิงลึกเพื่อผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น สามารถปรึกษาทีม Plan Your Money ผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับที่ บริการที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรี
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา