หลายคนพอใกล้อายุเข้าเลขหลัก 30 ก็มีความกังวลเรื่องอนาคตของตัวเอง ยิ่งถ้าได้เห็นเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันเริ่มที่จะสร้างตัว มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีเงินเก็บกันบ้างแล้ว ถ้าใครเจอแบบนี้ ไม่ต้องคิดมากว่าเราจะรวยตามคนอื่นไม่ทัน เพราะตอนนี้มีช่องทางที่สามารถให้เราต่อยอดเงินเก็บที่มี โดยใช้เงินเก็บเริ่มต้นเพียงพันบาท ก็
เริ่มลงทุนง่ายได้ง่าย ๆ และถ้าเรามีวินัยกับการลงทุนมากเท่าไหร่ การเปลี่ยนเงินจากหลักพันให้เป็นเงินแสนก็ทำได้อย่างไม่ยากนัก แต่ถ้าเป็นเราเป็นมือใหม่ อยากเริ่มต้นลงทุน ได้ใช้ชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน จะเลือกลงทุนอะไรดีระหว่าง
ลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น ถึงจะประสบความสำเร็จ เชื่อได้เลยว่า ถ้าเราได้รู้ข้อมูลดี ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนครั้งแรก ความฝันที่อยากมีชีวิตที่ดีก็ไม่ไกลอีกต่อไป
ลงทุนในหุ้นกับกองทุนรวมหุ้น มันแตกต่างกันอย่างไร?
หุ้น (Stock)
หากพูดให้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ การซื้อหุ้นเหมือนกับการซื้อกิจการ คล้ายกับเราเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นเลย ถึงแม้เราจะซื้อหุ้นน้อยก็สามารถทำกำไร หรือรับเงินปันผล จากการลงทุน พูดง่าย ๆ ถ้าเรามีหุ้นมากก็มีโอกาสได้รับเงินมาก หากผลประกอบการของบริษัทดี แต่ถ้าบริษัทขาดทุน หุ้นที่เรามีอาจทำให้ขาดทุน เงินติดลบ การลงทุนในหุ้นจึงมีโอกาสที่จะได้กำไรเร็วกว่าลงทุนชนิดอื่น แต่ก็มีโอกาสที่จะ
ขาดทุนได้ง่ายเหมือนกัน หากไม่ศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
หากมือใหม่อยากเริ่มต้น
ลงทุนในหุ้น เริ่มแรกเราต้องทำการเปิดพอร์ตการลงทุนก่อน โดยเราต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ที่เราต้องการ เมื่อเลือกได้แล้วก็เตรียมเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่จะใช้เพื่อผูกกับพอร์ตลงทุน และหลักฐานการเงินย้อนหลัง 3 เดือนหากเตรียมเอกสารพร้อมก็ยื่นเอกสาร แล้วรอการติดต่อกลับ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็จะได้รับ Username และ Password สำหรับเข้าบัญชีพอร์ตลงทุน หลังจากนั้นก็เริ่มลงทุนได้เลย สิ่งที่เราอยากจะแนะนำอีกข้อก่อน
เริ่มลงทุนในหุ้นคือ ก่อนที่จะซื้อหุ้นทุกครั้ง ต้องรู้ว่าสิ่งที่เราจะลงทุนคืออะไร แล้วมีโอกาสเติบโตมากแค่ไหน อย่าหลงไปกับการซื้อหุ้นตามกระแส เห็นคนอื่นซื้อแล้วได้กำไรมาเยอะแยะ ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนลงทุนทุกครั้งไม่อย่างนั้น เราอาจกลายเป็นแมลงเม่าตัวน้อยที่บินเข้ากองไฟก็ได้
กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund)
สำหรับการซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นนั้นจะแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นรายตัวโดยตรง เพราะกองทุนรวมเป็นการนำเงินลงทุนของเรา และนักลงทุนคนอื่น ๆ มากองรวมกัน แล้วให้ผู้จัดการกองทุนนั้น นำเงินทั้งหมดไปจัดสรรการลงทุนในหุ้น ให้เป็นไปตามนโยบายของแต่ละกองทุน การลงทุนในกองทุนรวมหุ้น มีข้อดีคือ มีการ
กระจายลงทุนในหลายหลักทรัพย์ อย่างถ้าเราลงทุนในกองทุนรวมหุ้นดัชนี SET50 ก็เหมือนเราได้ลงทุนในหุ้น 50 ตัวตามดัชนี SET50 เลย แต่ความเสี่ยงของการทำธุรกิจหรือการดำเนินกิจการของหุ้นก็ยังคงมีอยู่ หมายความว่า หากหุ้นตัวไหนที่กองทุนถืออยู่ผลประกอบการไม่ดี ราคาหุ้นตก กองทุนรวมหุ้นที่ถือหุ้นตัวนั้นอยู่ก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพียงแต่กองทุนอาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากการกระจายการลงทุนนั่นเอง
หากใครสนใจอยากที่จะเริ่มต้นลงทุน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง สามารถสอบถามที่ปรึกษาทางการเงินผ่านบริการ
Plan Your Money จากธนาคารกรุงศรีได้เลย จะได้วางแผนการเงินกับการลงทุนได้ตรงกับเป้าหมายทางการเงิน และความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ด้วย ทำได้เองแค่ไม่กี่คลิก
ขั้นตอนต่อไปก็คือลงมือซื้อกองทุน ใครที่ยังไม่มีบัญชีกองทุนรวม ก็เปิดบัญชีได้เลยง่าย ๆ ผ่าน
KMA-Krungsri Mobile App ว่าแต่เริ่มต้นซื้อกองทุนครั้งแรกจะซื้อกองทุนตัวไหนดี อาจซื้อกองทุนที่ลงทุนตามความชอบของเราก็ได้ บางคนชอบหุ้นไทย ชอบลงทุนในทองคำ น้ำมัน หรือถ้าใครชอบ
กองทุนต่างประเทศ ใน KMA-Krungsri Mobile App ก็มีให้เลือกลงทุนมากมาย อย่างเช่น ถ้าเราสนใจในเรื่องของเทคโนโลยี ก็มีกองทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ที่สร้างผลตอบแทนในอดีตได้อย่างโดดเด่น อย่างกองทุน KFHTECH-A ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้นเทคโนโลยีที่ได้รับประโยชน์จาก Megatrend หลักของโลกอยู่ในเวลานี้ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หรือถ้าเราคิดว่าในอนาคตประเทศจีน จะมาแน่ในเรื่องของเศรษฐกิจอาจมองเป็นกองทุน KFACHINA-A ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของจีนที่มีศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะ
สุดท้ายแล้วคงบอกไม่ได้ว่าการลงทุนก่อนอายุ 30 ต้องเลือกอะไรระหว่าง
ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีเป้าหมายทางการเงิน หรือสไตล์ในการลงทุนแบบไหน รวมถึงยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีเวลาหาข้อมูล ศึกษาการลงทุน จัดการเองได้ จะลงทุนอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลมากนัก อยากให้ผู้เชี่ยวชาญนำเงินไปลงทุนให้ กองทุนรวมก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เลือกลงทุนให้เหมาะกับความชอบของตัวเองดีที่สุด และไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก่อนลงทุนทุกครั้งควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ และมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ทำได้แบบนี้คุณก็มีอนาคตทางการเงินที่มั่นคงอย่างแน่นอน