สำหรับใครที่มีสินเชื่อบ้านครบ 3 ปีแล้วคงเกิดคำถามที่ว่า
รีไฟแนนซ์บ้าน ดีไหม? เพื่อดอกเบี้ยที่ถูกกว่า ผ่อนหมดไว หรือเราจะลองขอลด
ดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมดี? คำถามเหล่านี้ บทความนี้มีคำตอบ
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับคำว่า รีไฟแนนซ์ (Refinance) ว่าคืออะไร?
โดย รีไฟแนนซ์ หรือ Refinance คือ การที่เราขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโด และเมื่อเราผ่อนชำระครบ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยก็จะขยับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งทำให้เราต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น และผู้ขอสินเชื่อจึงต้องผ่อนชำระเป็นจำนวนเงินที่มากขึ้นนั่นเอง ทำให้การรีไฟแนนซ์บ้านจึงเป็นทางเลือกที่ยอดนิยมในการลดอัตราดอกเบี้ย โดยผู้ขอสินเชื่อจะผ่อนชำระกับธนาคารใหม่ และได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า รวมถึงค่าผ่อนบ้านต่อเดือนที่น้อยลงอีกด้วย
รีไฟแนนนซ์บ้าน เตรียมตัวอย่างไร?
หลัก ๆ แล้ววิธีรีไฟแนนซ์บ้าน แบ่งออกเป็น 7 ขั้นตอน
1. ตรวจสอบสัญญากู้
หากเรามั่นใจแล้วว่าต้องการ
รีไฟแนนซ์บ้าน สิ่งต่อมาที่ต้องทำ คือ เราต้องตรวจสอบสัญญาว่า กำหนดการที่สามารถให้รีไฟแนนซ์ได้เมื่อไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะอนุญาตให้รีไฟแนนซ์ได้หลังผ่อนชำระครบ 3 ปี แต่หากต้องการรีไฟแนนซ์ก่อน เราก็จะต้องชำระค่าปรับให้กับทางธนาคาร
2. ตรวจสอบข้อมูลยอดหนี้คงเหลือ
เราต้องมาตรวจสอบข้อมูลยอดหนี้คงเหลือ โดยเราสามารถทำได้ผ่านการติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อสรุปยอดหนี้สินที่ต้องการผ่อนชำระ โดยข้อมูลยอดคงเหลือ และข้อมูลการผ่อนชำระของเราจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเราในการเลือกธนาคารใหม่ เพื่อทำการรีไฟแนนซ์บ้านผ่านการนำยอดหนี้ที่คงเหลือไปคำนวณกับข้อเสนอที่ธนาคารมอบให้
3. มองหาธนาคารที่เหมาะสม
และหลังจากที่เรามีข้อมูลอยู่ในมือแล้ว อีกหนึ่งขั้นตอนของ
วิธีรีไฟแนนซ์บ้านสำคัญต่อมาเลย คือ การมองหาธนาคารใหม่ที่เหมาะสมในการรีไฟแนนซ์บ้าน โดยเราอาจจะลองพิจารณาจากข้อเสนอดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อน รวมไปถึงระยะเวลาในการชำระหนี้ ซึ่งแต่ละธนาคารจะมีโปรโมชั่นให้เลือกมากมาย และถ้าหากใครที่สนใจการรีไฟแนนซ์บ้าน เราขอแนะนำ
สินเชื่อรีไฟแนนซ์จากธนาคารกรุงศรี เพื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกดี ๆ สำหรับคุณ
4. เตรียมเอกสารในการรีไฟแนนซ์บ้านให้พร้อม
โดยการรีไฟแนนซ์เราต้องมีการเตรียมเอกสารหลายส่วนเพื่อใช้ในการทำสัญญา เพราะการรีไฟแนนซ์จะคล้าย ๆ กับการยื่นกู้เพื่อซื้อบ้านใหม่อีกรอบ โดยเอกสารที่ต้องเตรียมแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ยกตัวอย่างเอกสารที่ธนาคารกรุงศรีให้เตรียมมีดังนี้
- เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล
- สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรข้าราชการ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของคู่สมรส (ถ้ามี)
- สำเนาทะเบียนสมรส / หย่า / ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- สำเนาใบมรณบัตรและทะเบียนสมรสของคู่สมรส (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
- เอกสารแสดงรายได้
กรณีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ประจำ
- หนังสือรับรองการทำงาน หรือสำเนาสลิปเงินเดือน (ฉบับล่าสุด) (สำเนาสลิปเงินเดือนย้อนหลัง 12 เดือน กรณีมีรายได้เป็น commission)
- หนังสือรับรองโบนัสประจำ (ถ้ามี)
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ย้อนหลัง 12 เดือน กรณีมีรายได้เป็น commission)
- แบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (50 ทวิ และ ภงด.90/91) พร้อมใบเสร็จการชำระภาษีย้อนหลัง 2 ปี
กรณีบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน / ใบทะเบียนการค้า ไม่เกิน 3 เดือน
- สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้ / ผู้กู้ร่วม ไม่เกิน 3 เดือน
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ทั้งในนามบุคคลและกิจการ)
- สำเนา ภ.พ.30 พร้อมใบเสร็จ (ถ้ามี)
- สำเนา ภ.พ.20 (ถ้ามี)
- สำเนาบริคณห์สนธิ ไม่เกิน 3 เดือน
- เอกสารด้านหลักประกัน
- สำเนาเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (ขนาดเท่าตัวจริงทุกหน้า)
- ใบอนุญาตปลูกสร้าง / หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง เช่น สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน (ทด.13) หรือหนังสือสัญญาให้ที่ดิน (ทด.14)
- สำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน (กรณีถ้ามีสัญญาเงินกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอื่นและอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ)
- แผนที่ตั้งหลักประกันโดยสังเขป
- สำเนาสัญญากู้เงินกับสถาบันการเงินเดิม
- สำเนาใบเสร็จเงินกู้เดือนล่าสุด
5. ยื่นขอสินเชื่อสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้าน
เอกสารพร้อมแล้ว เราก็ลุยขอสินเชื่อได้เลย โดยเราสามารถเข้าไปขอสินเชื่อกับทางธนาคารได้โดยตรง และเมื่อธนาคารรับเรื่องแล้ว ก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประเมินราคาหลักประกันเพื่อประกอบการอนุมัติ โดยต่อมาเมื่อได้รับการอนุมัติแล้วทางธนาคารใหม่ที่เรายื่นรีไฟแนนซ์บ้านไว้จะติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อสอบถามหนี้คงเหลือ และนัดวันไถ่ถอนต่อไป
6. เตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
ต่อมาเมื่อธนาคารใหม่อนุมัติสินเชื่อแล้ว สิ่งที่เราต้องเตรียม คือ การเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์จะน้อยกว่าการซื้อบ้านแบบปกติ
7. ทำสัญญาและจดจำนองที่กรมที่ดิน
เราก็มาถึง
วิธีรีไฟแนนซ์บ้านขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว โดยทางธนาคารจะมีเจ้าหน้าที่ถือสัญญาไปให้เซ็นที่กรมที่ดิน พร้อมกับการทำสัญญาจดจำนองในวันเดียวกัน หลังทำสัญญาและจดจำนองเรียบร้อยแล้ว ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการรีไฟแนนซ์บ้าน
สำหรับใครที่ยังลังเลว่า รีไฟแนนซ์บ้าน ดีไหม? เราขอตอบเลยว่านอกจากการรีไฟแนนซ์แล้ว ยังมีอีกวิธีที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย คือ รีเทนชั่นบ้าน หรือที่เรียกว่า Retention
ทำความรู้จักกับการรีเทนชั่นบ้าน คืออะไร?
เทนชั่นบ้าน (Retention) คือ การที่เราไปต่อลองขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม โดยหลัก ๆ แล้วการรีเทนชั่นบ้านมีข้อดีอยู่ที่ความสะดวกสบาย เพราะเป็นการดำเนินธุรกรรมกับธนาคารเดิมที่มีเอกสารและข้อมูลของเราอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารต่าง ๆ มาก โดยเราจะเตรียมแค่เอกสาร สัญญาเงินกู้ ทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชนของเราเท่านั้น ส่วนระยะเวลาในการพิจารณาก็ไม่นาน เพราะธนาคารมีประวัติการผ่อนชำระของเราอยู่แล้ว
รีเทนชั่น VS รีไฟแนนซ์ แตกต่างกันอย่างไร?
รีเทนชั่นบ้าน คือ การติดต่อขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ในขณะที่รีไฟแนนซ์เป็นการนำที่อยู่อาศัยที่ผู้กู้ผ่อนชำระอยู่มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อขอสินเชื่อใหม่มาปิดหนี้ยอดเงินกู้เดิมที่ยังเหลืออยู่ โดย
วิธีรีไฟแนนซ์บ้าน มีหลายขั้นตอนกว่าการรีเทนชั่น แต่การรีไฟแนนซ์บ้านนั้นจะทำให้หนี้ของเรากับธนาคารเดิมนั้นสิ้นสุดลงพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของหนี้ใหม่กับธนาคารใหม่ที่เราเลือกรีไฟแนนซ์
หรือถ้าหากเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายมากขึ้นคือ รีเทนชั่นบ้านเองมีความสะดวกในการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่า ส่วนการรีไฟแนนซ์จะทำให้เรามีโอกาสในการเลือกอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้หลากหลายกว่า โดยเราควรเลือกอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในเงื่อนไขที่ดีที่สุด
อ่านมาถึงตรงนี้เราคงได้รู้กันแล้วว่า การรีไฟแนนซ์อย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ และถ้าหากคุณต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์มากขึ้น เราขอแนะนำ Krungsri The COACH “ดอกถูก ผ่อนบ้านหมดไว ๆ รีไฟแนนซ์คือคำตอบสุดท้ายจริงหรือ?”
ท้ายที่สุดในความเป็นจริงแล้ว ใคร ๆ ก็ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่การผ่อนบ้านนั้นกลับเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ในระยะยาว และแผนการเงินระยะยาวของเราต่อจากนี้ต้องมีความหมาย รวมถึงความสบายในการผ่อนที่ทำให้ไม่เกิดผลกระทบกับการเงินของเราอีกด้วย เราเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเลือกจัดการกับสินเชื่อบ้านอย่างไร แต่ทุกการตัดสินใจของคุณมีค่าเสมอ เลือกทางเดินที่จะทำให้แผนการเงินระยะยาวของคุณมีความหมาย