บทนำ
การลงทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar rooftop) ในบริบทของประเทศไทยปัจจุบันไม่เพียงแต่เป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการผสมผสานระหว่างผลตอบแทนที่สูง ความเสี่ยงต่ำ และผลประโยชน์ที่หลากหลายทั้งในระดับส่วนบุคคลและสังคม ซึ่งสะท้อนจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากนโยบายภาครัฐ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานสูงขึ้นแต่ราคาถูกลง และความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ของพลังงานสะอาด
ในอนาคต คาดว่าการลงทุนใน Solar rooftop จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับอาคารใหม่ และจะมีการปรับปรุงอาคารเก่าให้รองรับระบบนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และ Smart grid จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้มากขึ้นไปอีก
บทวิเคราะห์นี้นำเสนอปัจจัยและข้อเสนอแนะที่สะท้อนถึงโอกาสที่หลากหลายในแต่ละประเภทธุรกิจที่จะได้รับจากการติดตั้ง Solar rooftop ซึ่งเป็นตัวเลือกการลงทุนที่มีความคุ้มค่า ทั้งจากมุมมองด้านการลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และการตอบสนองความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ Environment Social และ Governance (ESG) ที่สำคัญ การเติบโตของตลาด Solar rooftop ยังเป็นแหล่งกำเนิดของโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่หลากหลาย อาทิ ธุรกิจรับเหมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ การพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการระบบเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ไฟฟ้า รวมไปถึงการลงทุนสร้าง Data center ในประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยเร่งนำ Solar rooftop มาใช้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
ระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของไทย
ระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของไทย
การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย แบ่งตามการเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า ได้ดังนี้
1) ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (On-grid) จำแนกเป็น
กลุ่มที่ 1: กลุ่มที่มีการขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐ ผู้ผลิตไฟฟ้าในกลุ่มนี้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ภาครัฐตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่มีสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed in Tariff (FiT) โดยแบ่งตามประเภทการติดตั้งได้เป็น (1) ระบบที่ติดตั้งบนพื้นดิน (2) ระบบที่ติดตั้งบนหลังคา และ (3) ระบบที่ติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ
กลุ่มที่ 2: กลุ่มที่ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ ผู้ผลิตไฟฟ้าในกลุ่มนี้มีการเชื่อมต่อระบบกับโครงข่ายไฟฟ้า เช่นเดียวกับในกลุ่มที่ 1 แต่พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนำมาใช้เอง (Self-consumption) หรือจำหน่ายให้ลูกค้าอื่นโดยตรงโดยไม่ผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้า ซึ่งอาจถูกเรียกว่า “การผลิตไฟฟ้านอกระบบ” (Independent Power Supply: IPS) โดยกำลังการผลิตติดตั้งในกลุ่มนี้สามารถแบ่งตามประเภทการติดตั้งเช่นเดียวกับกลุ่มแรก (คือ ติดตั้งบนพื้นดิน บนหลังคา และบนทุ่นลอยน้ำ) การติดตั้งโซลาร์เซลล์ระบบนี้เป็นที่นิยมในไทย เนื่องจากอุปกรณ์มีเพียงแผงโซลาร์เซลล์ และอินเวอร์เตอร์
2) ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบไม่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Off-grid)
ผู้ผลิตไฟฟ้าในกลุ่มนี้ไม่มีการเชื่อมต่อระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับโครงข่ายของการไฟฟ้า เหมาะสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมักใช้งานร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ เช่น ระบบสูบน้ำเพื่อการเกษตร ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่เกาะ อุปกรณ์ที่ใช้จะมีแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่
นอกจากนี้ ระบบ Off-grid ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเกษตรอัจฉริยะ (Smart agriculture) โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ระบบดังกล่าวสามารถขับเคลื่อนเซ็นเซอร์ตรวจสอบความชื้นในดิน ระบบชลประทานอัตโนมัติ และอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) ระบบ Hybrid เป็นการผสมผสานระหว่างระบบ On-grid และ Off-grid โดยสามารถใช้ไฟฟ้าจากทั้งระบบโซลาร์เซลล์และระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าหากไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ เหมาะสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการความมั่นคง ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่ผ่านมา (ปี 2565-2566 ) มีการใช้งานในระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ในกลุ่มที่ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐจะเป็นแบบ On-grid และสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงจะเป็นแบบ Off-grid โดยปี 2566 Off-grid มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2561 (ภาพที่ 2) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้า ขณะที่ต้นทุนของราคาแผงโซลาร์เซลล์ปรับลดลง เอื้อให้ผู้บริโภคติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อใช้งานเองในบ้านเรือนและในอาคาร/โรงงานอุตสาหกรรม


รูปแบบการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในไทยจากพัฒนาการที่ผ่านมา
การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) ของไทย จำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1) การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนพื้นดิน หรือโซลาร์ฟาร์ม (Ground-mounted) อยู่ภายใต้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร
2) การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar rooftop) เริ่มจากการรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา พ.ศ. 2556 และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2562– 2565 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติปลดล็อค "โซลาร์รูฟท็อป" ทุกกำลังการผลิต ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ซึ่งเป็นการปลดล็อคเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในทุกภาคส่วนระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบไม่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Off-grid)
3) การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนทุ่นลอยน้ำ (Floating solar) ตัวอย่างการพัฒนาระบบลอยน้ำ เช่น ระบบโซลาร์เซลล์ลอยน้ำขนาด 1.8 เมกะวัตต์พีค ที่ Total Energies ENEOS1/ ได้ดำเนินการในไทยร่วมกับ ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (จังหวัดขอนแก่น) บนแหล่งน้ำของสถานประกอบการ ซึ่งระบบนี้มีแผงโซลาร์กว่า 3,000 แผง ผลิตไฟฟ้าได้ 2,650 เมกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อย CO2 ได้ 1,125 ตัน เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 16,800 ต้น ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฝผ.) ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี (Solar Floating Hybrid) ขนาด 45 เมกะวัตต์ (จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อ 31 ตุลาคม 2564)2/ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 47,000 ตัน/ปี
เมื่อพิจารณาข้อมูลตามรูปแบบการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของไทย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นระบบการผลิตไฟฟ้าแบบเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (On-grid) ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ ซึ่งอยู่ภายใต้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยคิดเป็นสัดส่วน 93% ของระบบการผลิตไฟฟ้าแบบเชื่อมต่อระบบโครงข่าย ส่วนการติดตั้งบนหลังคาและทุ่นลอยน้ำมีสัดส่วนเพียง 5% และ 2% ตามลำดับ ขณะที่การติดตั้งแบบเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (On-grid) ที่ไม่มีสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Self-consumption) หรือจำหน่ายลูกค้าตรง หรือเรียกว่าเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ (IPS) โดยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ 90% เป็นการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา (ภาพที่ 3) ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศ

สถานการณ์และแนวโน้มการติดตั้ง Solar Rooftop ของภาคธุรกิจและประชาชน
ผลกระทบจากมาตรการภาษีโซลาร์เซลล์ของสหรัฐฯ ต่อผู้ผลิตไทย
อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในไทยที่เคยส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในปริมาณมาก
โดยในเดือนเมษายน 2568 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีขั้นสุดท้ายสำหรับการนำเข้าโซลาร์เซลล์และโมดูลจาก 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม และไทย โดยประเทศไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวในหลายมิติ ดังนี้

โอกาสที่เกิดขึ้นสำหรับตลาด Solar rooftop ไทย: แม้จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออก แต่สถานการณ์นี้ก็สร้างโอกาสใหม่สำหรับตลาด Solar rooftop ภายในไทยเช่นกัน เนื่องจาก
-
การปรับทิศทางการขาย: ผู้ผลิตที่เคยพึ่งพาตลาดส่งออกจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศมากขึ้น
-
ราคาที่แข่งขันได้: ผู้ผลิตอาจเสนอราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขายในประเทศ
-
การส่งเสริมนวัตกรรม: การแข่งขันในตลาดภายในประเทศอาจนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคไทย
-
การสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ: เป็นโอกาสในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานโซลาร์เซลล์ที่สมบูรณ์ในประเทศ
ดังนั้น มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทย โดยอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการเติบโตของตลาด Solar rooftop ภายในประเทศให้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยการสูญเสียในตลาดส่งออกได้ในระดับหนึ่ง
ปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการลงทุน Solar Rooftop
การติดตั้ง Solar rooftop เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างความคุ้มค่าให้กับภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว หนึ่งเพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และสองเป็นการเสริมภาพลักษณ์ความยั่งยืนขององค์กร ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาธุรกิจที่ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งนี้ นอกเหนือจากนโยบายสนับสนุนค่าไฟฟ้าภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) ของภาครัฐที่สะท้อนถึงต้นทุนแท้จริงในภาวะปัจจุบัน รวมถึงการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเหลือใช้ขายเข้าระบบในโครงการโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชนที่อยู่อาศัย เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย ซึ่งช่วยหนุนระยะเวลาคืนทุนของการติดตั้ง Solar rooftop ให้เร็วขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการ Solar rooftop ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่
-
ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้น โดยราคาค่าไฟฟ้าขายปลีกเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 3.61 บาทต่อหน่วยในปี 2564 มาอยู่ที่เฉลี่ย 4.57 บาทต่อหน่วย และ 4.18 บาทต่อหน่วยในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ แม้ในปี 2568 รัฐบาลจะประกาศตรึงค่าไฟฟ้าไม่เกิน 4 บาทต่อหน่วยก็ตาม แต่ก็ยังสูงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบยังต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายดำเนินการ เนื่องจากค่าไฟฟ้ามีสัดส่วนสูงในต้นทุนการผลิต เช่น โรงงานอุตสาหกรรมมีค่าไฟฟ้าคิดเป็น 10-30% ของต้นทุนการผลิต และห้างสรรพสินค้ามีค่าไฟฟ้าคิดเป็น 15-20% ของต้นทุนการดำเนินงาน การติดตั้ง Solar rooftop จึงเป็นตัวเลือกที่จะบรรเทาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวนดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ต้นทุนของแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังช่วยให้โซลาร์เซลล์เข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จึงส่งเสริมให้มีการนำโซลาร์เซลล์มาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในระดับครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง
-
ราคาเฉลี่ยที่ลดลงของแผงโซลาร์เซลล์ โดยราคาแผงโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านอยู่อาศัยลดลงจาก 16 บาทต่อวัตต์สูงสุด (Wp) ในปี 2562-2563 มาอยู่ที่ 10.5 บาท/Wp ในปี 2566 ส่วนต้นทุนติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาสำหรับบ้านอยู่อาศัยลดลงจากเฉลี่ย 40 บาท/Wp ในปี 2562-2563 มาอยู่ที่เฉลี่ย 39 บาท/Wp ในปี 2566 ขณะที่การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับอาคารธุรกิจ/โรงงาน เฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 บาท/WP ในปี 2566-2567 ลดลงจาก 27.5 บาท/Wp ในปี 2563 (Thai PV Status 2022, DEDE) สะท้อนถึงต้นทุนการติดตั้งที่จูงใจยิ่งขึ้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุนรวมของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เชิงพาณิชย์ อันได้แก่ ชนิดและยี่ห้อของแผงโซลาร์เซลล์ การจัดวางและโครงสร้างหลังคา ต้นทุนการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า กฎระเบียบและข้อบังคับท้องถิ่น (ตารางที่ 1)
การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างครบถ้วนจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินต้นทุนที่แท้จริงและวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเลือกผู้รับเหมาและซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

การประเมินผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจสำหรับ การติดตั้ง Solar Rooftop ของไทย
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
จากการประเมินผล พบว่า การติดตั้ง Solar rooftop เป็นการลงทุนที่สร้างประโยชน์ได้ครบทั้ง 3 มิติ คือ ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่วัดได้ และการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งประโยชน์เหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยการประหยัดเงินช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมรักษาความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ แม้ต้นทุนเริ่มต้นจะสูง แต่ผลประโยชน์ทั้ง 3 ด้าน (ตารางที่ 2) จะสะสมและเพิ่มขึ้นตลอดอายุการใช้งาน 25-30 ปี จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน
การติดตั้ง Solar rooftop ยังต้องคำนึงถึงต้นทุน6/ และผลตอบแทนที่จะได้รับด้วย โดยหากคำนวณค่าไฟฟ้ารายเดือนที่ประหยัดได้และรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกินให้กับการไฟฟ้า มาคำนวณอัตราผลตอบแทนการลงทุนต่อปี พบว่า หากลงทุนติดตั้งระบบ Solar rooftop ขนาด 10 กิโลวัตต์ ราคา 500,000 บาท จะสามารถประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 75,000-100,000 บาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อเงินลงทุนราว 15-20% ต่อปี และมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5-8 ปี โดยธุรกิจหรืออาคารที่ใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงกลางวันจะได้ประโยชน์สูงสุด สรุปได้ดังนี้

ภาคครัวเรือน: สำหรับครัวเรือนทั่วไป การตัดสินใจลงทุนควรเริ่มจากการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน หากครัวเรือนใดมีค่าไฟฟ้าเกิน 3,000 บาทต่อเดือน แปลว่าการใช้พลังงานอาจอยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งระบบ Solar rooftop เพราะปริมาณการใช้งานที่สูงจะช่วยให้การประหยัดค่าไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยระบบขนาด 3-10 กิโลวัตต์ (ต้นทุนติดตั้งราว
1.7-4.3 แสนบาท) เป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานไฟฟ้าของครัวเรือนทั่วไปได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไปจนกระทบกระแสเงินสด ขณะเดียวกันยังคงสามารถสร้างรายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าส่วนเกินได้
ภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม: โอกาสในการได้รับประโยชน์จาก Solar rooftop จะมีมากกว่าภาคครัวเรือน เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งตรงกับช่วงที่ระบบโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้มากที่สุด ทำให้สามารถใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาการกักเก็บในแบตเตอรี่ โดยระบบขนาดใหญ่เกิน 100 กิโลวัตต์ (ต้นทุน 3.3 ล้านบาท) เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับภาคธุรกิจ เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economies of scale) ทำให้ต้นทุนการลงทุนต่อหน่วยลดลง และระยะเวลาคืนทุนสั้นลงเหลือเพียง 3-5 ปี เมื่อเทียบกับภาคครัวเรือนที่ใช้เวลา 5-8 ปี
ธุรกิจที่เหมาะสมและมีศักยภาพในการลงทุนสำหรับประเทศไทย
จากปัจจัยด้านต้นทุนและผลตอบแทน ดังที่กล่าวไปแล้ว อาจสรุปได้ว่าการติดตั้ง Solar rooftop นับเป็นการลงทุนที่มีศักยภาพสูงสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว ควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ Environment Social และ Governance (ESG) ซึ่งปัจจุบันเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้ง Solar rooftop ควรมีลักษณะเฉพาะตัวคือ เป็นธุรกิจที่มีการใช้พลังงานสูงในช่วงเวลากลางวัน มีพื้นที่หลังคาขนาดใหญ่เพียงพอ และมีสัดส่วนค่าไฟฟ้าต่อต้นทุนการผลิตหรือการดำเนินงานในระดับสูง เมื่อพิจารณาจำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Sector) เพื่อประเมินถึงโอกาสและความคุ้มค่าต่อการลงทุนติดตั้งระบบ Solar rooftop โดยใช้การวิเคราะห์ด้วย SWOT analysis สะท้อนถึงจุดแข็ง/โอกาส และจุดอ่อน/ข้อจำกัด จะพบว่ามีหลายภาคส่วนที่สามารถติดตั้ง Solar rooftop ได้โดยจะได้รับประโยชน์แตกต่างกันไปตามลักษณะของการใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกด้านระเบียบ/กฎหมาย และนโยบายของรัฐยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อสนับสนุนการลงทุนติดตั้งระบบ Solar rooftop ในแต่ละอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง



จากตารางที่ 4 สามารถสรุปได้ว่า ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม อาทิ โรงงานผลิตสินค้า อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี จัดเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพและเหมาะที่จะติดตั้ง Solar rooftop ในเกณฑ์สูงที่สุด เนื่องจากมีการใช้พลังงานในปริมาณมากและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การลงทุนเริ่มต้นก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่อุตสาหกรรมบางประเภทที่ต้องใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางคืน จำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในระบบแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน
ขณะที่ภาคธุรกิจบริการ อาทิ โรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน สามารถใช้ระบบ Solar rooftop เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน (ESG) ให้แก่องค์กร เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนพลังงานแล้ว ยังเป็นการสร้างจุดขายและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาคเกษตรกรรม ถึงแม้ปัจจุบันการติดตั้ง Solar rooftop ในฟาร์มปศุสัตว์หรือโรงเรือนเกษตรจะยังน้อยอยู่ แต่เทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญเพื่อพัฒนาสู่เกษตรอัจฉริยะ (Smart farming) และช่วยให้เกษตรกรมีแหล่งพลังงานที่เสถียรและประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับการขับเคลื่อนระบบเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เช่น ระบบชลประทานอัตโนมัติ ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือน และอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม เป็นต้น
โดยในภาพรวมแล้ว จุดแข็งร่วมที่โดดเด่น คือ การประหยัดต้นทุน ซึ่งเป็นจุดแข็งหลักของการใช้ Solar rooftop ในทุกภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงกลางวัน เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า และสำนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน ยังเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแตกต่างทางการตลาด ในขณะที่อุปสรรคหลักของทุกภาคธุรกิจ คือ ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นที่สูง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ประกอบกับความซับซ้อนในการติดตั้งและบำรุงรักษา ที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐ ที่อาจส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว สำหรับการลงทุนในอนาคต ทุกภาคธุรกิจต่างมองเห็นโอกาสจากนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดของรัฐบาล และความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการสีเขียวที่เพิ่มขึ้นจากผู้บริโภค นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการติดตั้งและเพิ่มประสิทธิภาพยังเป็นโอกาสสำคัญในการขยายการใช้งาน เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในระยะยาว (รายละเอียด Box A)



บทบาทของภาคการเงินในการสนับสนุนธุรกิจ Solar Rooftop
ภาคการเงินจัดเป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนตลาด Solar rooftop ในรูปแบบของการจัดสรรเงินทุน ดังนี้
1) ผลิตภัณฑ์การเงินสีเขียว เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด โดยสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สนับสนุน เช่น:
-
สินเชื่อพลังงานสะอาด ที่มีดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป 1-2% พร้อมระยะเวลาผ่อนชำระยืดหยุ่นถึง 15-20 ปี และเงื่อนไขการประเมินโครงการที่อิงตาม Cash flow จากการประหยัดค่าไฟฟ้า โดยสถาบันการเงินที่ออกผลิตภัณฑ์นี้ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เสนอ SCB Solar Loan เฉพาะสำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ธนาคารออมสินมีสินเชื่อพลังงานสะอาด (Green Energy Loan) สำหรับการลงทุนในพลังงานสะอาด และลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) ร่วมกับ Huawei Digital Power เสนอสินเชื่อผ่อนโซลาร์เซลล์ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 2.99% ต่อปี (ข้อมูลบริษัท)
-
สินเชื่อ ESG ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กร มีดอกเบี้ยที่ปรับลดตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม และโบนัสสำหรับการรายงานความยั่งยืนที่โปร่งใส โดยสถาบันการเงินที่ออกผลิตภัณฑ์นี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีเสนอ "สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคช เพื่อติดตั้ง Solar Roof" ธนาคารกรุงเทพมี "สินเชื่อบัวหลวงพูนผลกรีน" ธนาคารกรุงไทยมี "สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (ESG)" และธนาคารกสิกรไทยเสนอ "สินเชื่อบ้านเพื่อติดแผงโซลาร์" ร่วมกับ SCG (ข้อมูลบริษัท)
-
บัตรเครดิตสีเขียว เน้นกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ของธนาคารพาณิชย์ที่เน้น ESG และ Carbon Neutrality เมื่อมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์พลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่เก็บพลังงาน จะได้สิทธิพิเศษส่วนลด และโปรแกรมผ่อน 0% นาน 6-24 เดือนสำหรับการซื้ออุปกรณ์ Solar rooftop โดยธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม เช่น SCB Green Ecosystem ร่วมกับผู้จำหน่ายแผงโซลาร์ Krungthai-Go Green สำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและ Solar rooftop บางรายการ (ข้อมูลบริษัท เปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลา)
2) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนโครงการ Solar rooftop ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเชิงพาณิชย์ (เช่น โรงงาน ห้างสรรพสินค้า หรือโครงการรัฐ) ที่ต้องการระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยโดยไม่ต้องใช้เงินทุนของตนเอง ได้รับผลตอบแทนจากการขายไฟ ตัวอย่างโครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า เช่น บริษัท PRIME BCPG และ GUNKUL เคยใช้โมเดลนี้สำหรับโซลาร์ฟาร์ม และปัจจุบันเริ่มขยายมาสู่ Solar rooftop
มุมมองวิจัยกรุงศรี: โอกาสทางธุรกิจใหม่และนโยบายภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนตลาด Solar Rooftop
อุตสาหกรรม Solar rooftop จะช่วยสร้างธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง เป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business ecosystem) ที่เชื่อมโยงและพึ่งพาซึ่งกันและกันแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การติดตั้ง การจัดการ จนถึงการบำรุงรักษา ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจในหลายมิติ อาทิ
1) ธุรกิจรับเหมาติดตั้งและบำรุงรักษา: จะมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งและบำรุงรักษา Solar rooftop เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่างที่มีใบประกอบวิชาชีพ ตลอดจนบริการบำรุงรักษาระยะยาวที่จะช่วยสร้างรายได้ค่อนข้างมั่นคงตลอด 20-25 ปี และการรับประกันประสิทธิภาพ (Performance Warranty) ว่าแผง Solar rooftop จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามสัดส่วนที่กำหนด (มักจะอยู่ที่ 80-90% ของประสิทธิภาพเดิม) ตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
2) ธุรกิจซอฟต์แวร์และระบบจัดการพลังงาน: โอกาสเติบโตสูง เนื่องจากทุกระบบ Solar rooftop ต้องการซอฟต์แวร์ในการจัดการ และมีแนวโน้มที่องค์กรจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องรายงานการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และความยั่งยืนขององค์กร ทำให้ความต้องการซอฟต์แวร์และระบบจัดการพลังงานเพิ่มขึ้น เช่น แพลตฟอร์มการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามปริมาณการผลิตพลังงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ AI ช่วยให้คาดการณ์และปรับแต่งประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศในแต่ละวัน แอปพลิ เคชันติดตามการใช้พลังงานที่ช่วยในการวิเคราะห์ต้นทุนและคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุนแบบเรียลไทม์ และระบบจัดการข้อมูลสำหรับการปฏิบัติตาม ESG
3) ธุรกิจระบบเก็บพลังงาน: ได้ปัจจัยหนุนจากราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ประสิทธิภาพการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายรัฐที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและแนวโน้มการพัฒนา Smart grid ในอนาคต รวมถึงความต้องการระบบสำรองไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นจากธุรกิจและครัวเรือน โดยการพัฒนาระบบแบตเตอรี่ที่เหมาะกับสภาพอากาศไทย บริการจัดการพลังงานครบวงจร การรวมเข้ากับ Smart Grid และโซลูชันสำหรับการใช้งานในภาวะฉุกเฉิน มีโอกาสเติบโตสูง
4) ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านพลังงาน: โอกาสการเติบโตมาจากการที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Solar rooftop และต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินศักยภาพและความคุ้มค่า การออกแบบระบบที่เหมาะสม และการให้คำปรึกษาด้านแหล่งเงินทุน ขณะที่กระบวนการขออนุญาตยังซับซ้อน ทำให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
5) ธุรกิจ Community Solar และการเช่าพื้นที่ ในรูปแบบโมเดลการเช่าพื้นที่หลังคาที่เจ้าของอาคารได้ค่าเช่ารายเดือน โครงการ Community Solar สำหรับชุมชน กลไกการแบ่งปันพลังงานแบบ Peer-to-Peer และแพลตฟอร์ม Crowdfunding สำหรับโครงการขนาดเล็ก ธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตจากการที่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีเงินลงทุนหรือหลังคาที่เหมาะสมสำหรับติดตั้ง Solar rooftop แต่ต้องการเข้าถึงพลังงานสะอาดที่ราคาถูก ขณะที่รัฐกำลังพัฒนากฎระเบียบให้รองรับการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประชาชน (Peer-to-Peer) และมีแนวโน้มที่จะเปิดให้มีการลงทุนแบบกลุ่มมากขึ้นในอนาคต
การเติบโตของตลาด Solar rooftop ได้สร้างโอกาสทางธุรกิจในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ผลิตต้องปรับตัวจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และหันมาให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศมากขึ้น โดยภาครัฐสามารถใช้เครื่องมือทางด้านนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนได้ ดังนี้
-
การสนับสนุนมาตรการทางการเงิน ได้แก่ มาตรการด้านภาษี อาทิ ให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้ง Solar rooftop ยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์โซลาร์ และปลดล็อคข้อจำกัดเกี่ยวกับขนาดหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar rooftop ในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยจัดตั้งกองทุนพลังงานสะอาด หรือสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยให้ธุรกิจจัดหาแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินสีเขียวที่หลากหลาย การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านการประกันหรือการอุดหนุน และจัดตั้งกองทุนพัฒนาพลังงานสะอาดระดับชาติ
-
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยนำระบบการขายไฟฟ้าย้อนกลับ (Net metering) มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับสู่ระบบ Grid โดยมีกลไกการคำนวณที่โปร่งใส รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าจาก Solar rooftop อย่างมีประสิทธิภาพ
-
การส่งเสริมความรู้และเทคโนโลยี อาทิ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมที่ได้มาตรฐานสากลพร้อมการออกใบประกอบวิชาชีพ ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาผ่านความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ตรงความต้องการ และส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น แผงโซลาร์ประสิทธิภาพสูง หรือแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน
-
การปรับปรุงกรอบกฎหมายและระเบียบ อาทิ ปรับปรุงขั้นตอนการขออนุญาตให้รวดเร็วและโปร่งใสด้วยระบบดิจิทัล กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพที่ชัดเจน พัฒนากลไกการซื้อขายไฟฟ้าย้อนกลับที่เป็นธรรม และสร้างความสอดคล้องระหว่างหน่วยงาน
แม้จะมีโอกาสมากมาย แต่การพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรม Solar rooftop ยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
-
ด้านเทคนิค: ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศเป็นอุปสรรคหลัก โดยเฉพาะฤดูฝนที่ยาวนาน อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลดลง นอกจากนี้ ยังมีความซับซ้อนในการปรับปรุงโครงสร้างหลังคาอาคารเก่า ไปจนถึงการออกแบบระบบให้เหมาะสมกับแต่ละประเภทอาคาร ขณะที่การขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความต้องการพัฒนามาตรฐานให้สอดคล้องกับระดับสากล ยังเป็นประเด็นที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
-
ด้านกฎระเบียบ: ความไม่ชัดเจนของขั้นตอนการขออนุญาตยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ขาดความต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาว นอกจากนี้ ความซับซ้อนของระเบียบการขายไฟฟ้าย้อนกลับ (Net metering) ที่ยังขาดความชัดเจนในรายละเอียด และการขาดความสอดคล้องระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ล้วนเป็นอุปสรรคที่บั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุน
-
ด้านตลาด: ความไม่แน่นอนของราคาอุปกรณ์ภายใต้ผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า ทำให้ต้นทุนของการลงทุนผันผวน ในขณะที่การแข่งขันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ ยังเป็นความท้าทายที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการแก้ไข
กล่าวโดยสรุป การติดตั้ง Solar rooftop ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนพลังงานของภาคธุรกิจ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่เน้นความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนไทยไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทยต้องปรับตัวจากผลกระทบของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
แหล่งอ้างอิง
Arizton Advisory & Intelligence (2024). Global Solar Panels Market: Global Outlook and Forecast 2024-2029.
CTE News, 6 May 2025. Solar Panel Industry in Thailand at Risk Due to US Tariffs, https://ctenews.com/solar-panel-industry-in-thailand-at-risk-due-to-us-tariffs?utm_source=chatgpt.com
Department of Alternative Energy Development and Efficiency, Ministry of Energy. Report on the status of solar power generation in Thailand 2022.
Department of Alternative Energy Development and Efficiency, Ministry of Energy. National Survey Report of PV Power Applications in Thailand 2021.
Mordor Intelligence. Solar Energy In Thailand Market Size & Share Analysis - Growth Trends & Forecasts (2025 - 2030)
MDPI Journal. Performance and Economic Evaluation of Solar Rooftop Systems in Different Regions of Thailand https://www.mdpi.com/2071-1050/11/23/6647
Reccessary news, May 2025. Thailand’s rooftop solar market surges with falling costs, regulatory reforms.
Roofing Contractor Magazine. Solar and Roofing: Current Trends and Looking Ahead.
Solar power in Thailand (March 1, 2024)- The potential and development trend.
Solar Fund, Sirindhorn International Institute of Technology, Thammasat University, Health Policy Foundation and Greenpeace Thailand. Solar Rooftop Revolution : A Green and Just Recovery for Thailand 2021-2023.
Thaipbs. Policy watch, 19 พฤศจิกายน 2567: รัฐเน้นส่งเสริม “โซลาร์” แต่ขาดกลไกสนับสนุน.
Thansettakij. 22 เมษายน 2568. สหรัฐฯ จัดเต็มตั้งกำแพงภาษีแผงโซลาร์เซลล์ไทย 375% สกัดทุนจีน.
The Straits Times, 24 May 2025. Solar squeeze: US tariffs threaten panel production and jobs in Thailand, https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/solar-squeeze-us-tariffs-threaten-panel-production-and-jobs-in-thailand?utm_source=chatgpt.com
1/ https://en.prnasia.com/releases/apac/120294-0.shtml
2/ https://www.egat.co.th/home/20211109-art01/
3/ ธันวาคม 2566 สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ (แผงโซลาร์เซลล์) จากไทย มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา หลังการไต่สวนการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD Circumvention) ของผู้ผลิตจีนที่ใช้ฐานการผลิตในประเทศดังกล่าวข้างต้นในการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า ทำให้ไทยถูกเก็บภาษีจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ส่งไปสหรัฐฯ (ตลาดส่งออกโซลาร์เซลล์อันดับ 1 ของไทย) ในอัตราตั้งแต่ 16–254% มีผลเดือนมิถุนายน 2567
4/ https://www.climatechangenews.com/2025/05/06/solar-squeeze-us-tariffs-threaten-panel-production-and-jobs-in-thailand/
5/ อ้างอิงจาก IPCC Guidelines for Nation Greenhouse Gas Inventories
6/ ต้นทุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในไทยปี 2567-2568 มีดังนี้ ระบบ 3 กิโลวัตต์ อยู่ที่ 170,000 บาท ระบบ 5 กิโลวัตต์: 230,000 บาท ระบบ 10 กิโลวัตต์: 430,000 บาท ระบบ 30 กิโลวัตต์: 1,170,000 บาท และระบบ 100 กิโลวัตต์ อยู่ที่ 3,350,000 บาท (ที่มา: ข้อมูลในตลาด Solar rooftop ของไทย)