บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ: ยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรม

บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ: ยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรม

17 ธันวาคม 2568

บทนำ


ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ก็ไม่ใช่แค่เพียงแค่ภาชนะบรรจุสินค้าอีกต่อไป เพราะบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Packaging) ได้ถูกพัฒนาให้ก้าวข้ามบทบาทพื้นฐานของการปกป้องสินค้าไปสู่การเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยยืดอายุสินค้า และตรวจสอบสภาพตลอดจนความปลอดภัยได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีอย่างเซ็นเซอร์ ระบบ RFID (Radio Frequency Identification) และรหัสคิวอาร์ (QR Code) ช่วยให้ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำ ลดของเสีย เพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และยกระดับประสบการณ์การใช้งาน 

นอกจากนี้ ความสามารถในการติดตามวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และเพิ่มอัตราการรีไซเคิล ทำให้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนอีกด้วย
 

บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Packaging) คืออะไร?


วัตถุประสงค์หลักของบรรจุภัณฑ์ (Packaging) คือ (1) เพื่อปกป้องคุ้มครองและรักษาคุณภาพสินค้า (Protection) ให้คงอยู่จนถึงผู้บริโภค (2) เพื่อสื่อสารข้อมูล (Communication) ให้ผู้บริโภคทราบรายละเอียดผลิตภัณฑ์ (3) เพื่ออำนวยความสะดวก (Convenience) ในการขนส่ง จัดเก็บ และใช้งานสินค้า ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์รั่วไหลหรือแตกหัก รวมทั้งปกป้องอาหารจากการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น วันผลิต วันหมดอายุ และสารอาหาร รวมถึงให้คำแนะนำในการปรุงเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค เช่น สามารถอุ่นอาหารในไมโครเวฟได้ทั้งบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังช่วยบรรจุและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้ง่ายต่อการขนส่งและการจัดการ

อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถตอบสนองต่อแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายและใส่ใจสุขภาพรวมถึงความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น สินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในท้องตลาด การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ รวมถึงกระแสส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์ต้องเร่งปรับตัวและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

Smart Packaging
 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการจึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart packaging) ขึ้นมา ซึ่งไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ปกป้องสินค้าเหมือนบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังช่วยยืดอายุสินค้าและสื่อสารข้อมูลของสินค้าไปยังทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิตและผู้บริโภคได้ด้วย บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ บรรจุภัณฑ์แบบแอคทีฟ (Active Packaging) และบรรจุภัณฑ์ฉลาด (Intelligent Packaging) ดังนี้
 
  • บรรจุภัณฑ์แบบแอคทีฟ (Active Packaging) คือบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้า ยืดอายุ และลดของเสียจากการเน่าเสีย โดยทำปฏิกิริยากับสินค้าและสิ่งแวดล้อมภายในบรรจุภัณฑ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ

    • ระบบดูดซับ/ดักจับ (Absorbing/Scavenging systems) เป็นระบบที่ใช้ดูดซับหรือดักจับสารบางอย่างภายในบรรจุภัณฑ์เพื่อช่วยยืดอายุสินค้า ประกอบด้วยตัวดูดซับความชื้นและน้ำ (Moisture Absorbers) เช่น ซองดูดความชื้นในขนมอบกรอบ และตัวดักจับสาร (Scavengers) เช่น ตัวดูดซับออกซิเจน (Oxygen Scavenger) ซึ่งช่วยจับออกซิเจนที่เหลืออยู่ในบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้อาหารเหม็นหืน รวมถึงชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ตัวอย่างเช่น ขวดเบียร์พลาสติกที่มีตัวดูดซับออกซิเจนในฝาเกลียวช่วยยืดอายุเบียร์ได้นาน 3-6 เดือน นอกจากนี้ยังมีสารดูดซับเอทิลีน (Ethylene Scavengers) ซึ่งช่วยชะลอการสุกของผักและผลไม้ ทำให้เก็บรักษาได้นานขึ้น

    • ระบบปลดปล่อยสาร (Releasing systems) เป็นระบบที่ปลดปล่อยสารลงสู่อาหารหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น รักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บโดยปลดปล่อยสารกันบูด (Preservatives) สารต้านจุลชีพ (Antimicrobial) สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) รสชาติ (Flavorings) และเอนไซม์ (Enzymes) ลงสู่อาหาร โดยอาจอยู่ในรูปแบบซองเล็กๆ หรือเติม/เคลือบสารลงบนบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างที่พบบ่อยคือซองปล่อยเอทานอล (Ethanol Emitter) ที่ใช้กับขนมปังหรือเบเกอรี่ต่างๆ ซึ่งช่วยชะลอการขึ้นราและยืดอายุการเก็บรักษา

  • บรรจุภัณฑ์ฉลาด (Intelligent Packaging) คือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับติดตาม (Monitor) ตรวจจับ (Detect) และสื่อสาร (Communicate) สภาพของสินค้าที่บรรจุอยู่ หรือสภาพแวดล้อมรอบบรรจุภัณฑ์ พร้อมส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหรือสถานะปัจจุบันของสินค้าไปยังผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยรักษาคุณภาพอาหาร ยืดอายุการเก็บรักษา และเพิ่มความปลอดภัยโดยรวมของอาหาร โดยบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มักติดตั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เซ็นเซอร์ (Sensors) ตัวบ่งชี้ (Indicators) และระบบติดตาม (Tracking Systems) เพื่อตรวจสอบและสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของอาหารที่บรรจุอยู่ โดยบรรจุภัณฑ์ฉลาดมีรูปแบบการประยุกต์ใช้งานดังนี้

    • เพื่อบ่งบอกคุุณภาพและความปลอดภัย เช่น มีตัวตรวจวัดการเปลี่่ยนแปลงของเวลาและอุุณหภูมิ (Time-temperature Indicators (TTIs)) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อัจฉริยะประเภทหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบประวัติอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์ในระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่ง โดย TTIs จะแสดงผลในรูปแบบภาพ หากอาหารอยู่ในสภาวะอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์หรือคุณภาพที่ลดลง เช่น สินค้าประเภทเนื้้อสัตว์ที่ต้องเก็บที่่อุุณหภููมิต่ำเมื่่อสินค้านั้นถููกจัดเก็บที่่อุุณหภููมิไม่เหมาะสมในช่วงเวลาหนึ่่งสีของตัวบ่งชี้จะเปลี่่ยนไป โดยข้อมูลจาก TTIs จะช่วยให้ผู้บริโภคและผู้จัดจำหน่ายตัดสินใจเกี่ยวกับความปลอดภัยและความสดของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    • เพื่อการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ เช่น การใช้ระบบเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบ RFID (Radio Frequency Identification) และ NFC (Near Field Communication)1/ ในรููปแบบ ป้าย ฉลาก หรือชิปที่บันทึกข้อมููลต่างๆ เกี่่ยวกับผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่่ใช้ผลิต กระบวนการผลิต และการกระจายสินค้า การขนส่ง ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคสามารถติดตามและตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าได้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงสามารถระบุวันผลิตและวันหมดอายุได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงสินค้าและส่งเสริมความปลอดภัยของอาหาร (Food safety) เพราะทำให้ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายสามารถเรียกคืนผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดการปนเปื้อนหรืออันตรายอื่น ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยคุ้มครองผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ และลดความเสี่ยงทางกฎหมายให้กับผู้ผลิตอีกด้วย

    • เพื่อสร้างความสัมพันธ์และประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า เช่น การนำเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (Augmented Reality: AR) มาใช้ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สูตรอาหาร หรือข้อมูลโภชนาการ ตลอดจนแสดงภาพสามมิติของสินค้า หรือให้ผู้บริโภคสามารถลองสินค้าเสมือนจริงได้ เช่น การลองสีลิปสติก ผ่านสมาร์ตโฟน นอกจากนี้ ปัจจุบันเราได้เห็นการใช้รหัสคิวอาร์ (QR Code) หรือ รหัสตอบสนองอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น หรือโปรแกรมสะสมแต้มได้อย่างสะดวก คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ สร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว และเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ


Smart Packaging

 

บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะกับการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน

 

บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะกับรูปแบบธุรกิจใหม่ (New Business Model)


การเกิดขึ้นของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ โดยเปลี่ยนจากการขายเฉพาะสินค้าบรรจุภัณฑ์ไปเป็นรูปแบบธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างสินค้าและบริการเข้าด้วยกัน (Product-Service System) ตัวอย่างเช่น บริษัท SCG Packaging ที่มีรูปแบบธุรกิจที่เรียกว่าโซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart and Functional Solutions) โดยให้บริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ การพิมพ์ และการผลิตเพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะตามความต้องการของลูกค้า  


บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะกับการเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซอุปทาน 


บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในอุตสาหกรรม (Industrial Internet of Things: IIoT) ทำให้บรรจุภัณฑ์สามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกับเครื่องจักร อุปกรณ์เซ็นเซอร์ และระบบควบคุมต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ประกอบการจึงสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ตลอดจนนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้ไปใช้เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น สามารถปรับระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม คาดการณ์ความผันผวนของความต้องการ และระบุจุดที่ขาดประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
  • การใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage on Customer Insights) นอกเหนือจากการสร้างความสัมพันธ์และประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผู้ประกอบการยังสามารถใช้เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ เช่น QR Code และ NFC เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกลยุทธ์แบบยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Consumer-centric Strategy) ได้ดียิ่งขึ้น จากข้อมูลที่ได้จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและบรรจุภัณฑ์ โดยผู้ประกอบการสามารถระบุได้ว่าความต้องการใดของลูกค้าแต่ละกลุ่มยังไม่ได้รับการตอบสนอง ประเมินความเต็มใจในการจ่าย (Willingness-to-pay) และพัฒนาบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่งที่ยังไม่ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้

  • การจัดการและเติมสินค้าคงคลังอัตโนมัติ (Automated Inventory Management and Replenishment) ในอนาคต ธุรกิจค้าปลีกจะใช้ระบบสินค้าคงคลังที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่ใช้ RFID กล่าวคือ ชั้นวางสินค้าจะสามารถตรวจจับระดับสต็อกที่ต่ำและสั่งซื้อสินค้าใหม่โดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกัน ถังขยะอัจฉริยะจะติดตามสิ่งของที่ถูกทิ้งเพื่อช่วยปรับการสั่งซื้อให้เหมาะสมและลดของเสีย ทั้งนี้ ระบบอัตโนมัติดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินงานมีความราบรื่นและเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมค้าปลีกโดยรวม

  • การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการควบคุมคุณภาพ (Predictive Maintenance and Quality Control) ในกลุ่มสินค้าที่เน่าเสียได้ (Perishable Goods) ในอนาคตบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะพัฒนาไปไกลกว่าแค่ตรวจสอบสภาพสินค้าในเวลานั้น แต่จะสามารถคาดการณ์คุณภาพของสินค้าในอนาคตได้ด้วยอัลกอริทึมขั้นสูง (Advanced Algorithm) ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อประเมินอายุการเก็บรักษาที่เหลืออยู่ และสามารถแจ้งเตือนผู้ค้าปลีกหรือผู้บริโภคเมื่อผลิตภัณฑ์ใกล้หมดอายุ


บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะกับแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

 

นอกจากนี้ ในอนาคตบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สามารถ ติดตามบรรจุภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิตได้ด้วยเทคโนโลยี RFID ตั้งแต่กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า ไปจนถึงการกำจัดและการ นำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถบริหารจัดการวัสดุบรรจุภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถช่วยเพิ่มอัตราการรีไซเคิล (Recycling Rate) และลดการพึ่งพาวัสดุใหม่จากธรรมชาติ (Virgin Materials) ตัวอย่างเช่น ภาชนะบรรจุสินค้าที่ติดตั้งระบบติดตามอัจฉริยะจะทำให้สามารถถูกติดตามและเก็บคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดของเสีย และสนับสนุนการพัฒนาระบบหมุนเวียนแบบปิด (Closed-loop System)2/ อย่างยั่งยืน

 

อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะในไทย


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เล่นหลักจากอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาด ขณะเดียวกันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยา และสินค้าเพื่อความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย (Personal Care) ถือเป็นกลุ่มที่นำเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะมาใช้มากที่สุด เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์

ในปี 2564 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) ได้ประกาศยกระดับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ด้วยการเพิ่มประเภทธุรกิจ “บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ” เพื่อสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) อย่างไรก็ตาม กิจการบรรจุภัณฑ์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงระหว่างปี 2562-2568 ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิม ซึ่งมุ่งเน้นการปกป้องสินค้าเป็นหลัก เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติกหลายชั้น (Multilayer Plastics Packaging) บรรจุภัณฑ์พลาสติกปลอดเชื้อ (Plastics Packaging) และบรรจุภัณฑ์พลาสติกป้องกันไฟฟ้าสถิต (Antistatic Plastics Packaging) ขณะที่การยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะเพิ่งเริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนว่าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะในประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น (Embryonic/Start-up Stage) และยังมีศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาต่อยอดได้อีกมากในอนาคต

Smart Packaging
 

มุมมองวิจัยกรุงศรี



บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะยังต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขั้นสูง เพื่อรองรับการเก็บรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยที่ประกอบด้วยผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ เนื่องจากหลายภาคส่วนยังมีศักยภาพไม่เพียงพอในการรับมือกับความซับซ้อนของระบบบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งยัง ขาดความเข้าใจและความเชื่อมั่นในประโยชน์และความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ส่งผลให้การเติบโตของตลาดยังมีข้อจำกัด

อย่างไรก็ตาม หากสามารถก้าวข้ามอุปสรรคดังกล่าวได้ การใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตสินค้า ผู้ค้าปลีก และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ อีกทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และบริการสุขภาพ รวมถึงมีส่วนสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้าน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของประเทศอีกด้วย


 

References


Elsevier (2018) Smart packaging: opportunities and challenges. Retrieved November 14, 2025 from https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2212827118304104
Food Science and Biotechnology (2024) Unlocking the future of smart food packaging: biosensors, IoT, and nano materials. Retrieved November 25, 2025 from https://link.springer.com/article/10.1007/s10068-023-01486-9
Journal of Food Science (2020) The role of smart packaging system in food supply chain. Retrieved October 20, 2025 from https://ift.onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/1750-3841.15046
Mckinsey & Company (2019) No ordinary disruption: winning with new models in packaging 2030. Retrieved October 25, 2025 from https://www.mckinsey.com/industries/packaging-and-paper/our-insights/winning-with-new-models-in-packaging
Society of Chemical Industry (2022) Innovative processes in smart packaging. A systematic review. Retrieved November 2, 2025 from https://scijournals.onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/jsfa.11863
วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ มาทำความรู้จักกับ active และ intelligent packaging’. Retrieved November 11, 2025 from http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2566_72_223_p.26-29.pdf
วารสารการบรรจุภัณฑ์ (Packaging Thailand) เรื่องเด่น เปิดโลก smart label: จากกจุดเริ่มต้นสู่บทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยุคใหม่. Retrieved November 13, 2025 https://www.tistr.or.th/Industrials/wp-content/uploads/2025/01/69-2.2.pdf



1/ RFID ถูกใช้ในส่วนงานเบื้องหลังเป็นหลัก โดยช่วยผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้ค้าปลีกในการติดตาม ตรวจสอบย้อนกลับ และบริหารจัดการสินค้าที่บรรจุภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่ NFC ถูกใช้ในส่วนที่เป็นลูกค้าสัมผัสโดยตรง เพื่อให้เกิดการสื่อสารแบบโต้ตอบอย่างปลอดภัยระหว่างบรรจุภัณฑ์กับสมาร์ทโฟนของลูกค้า
2/ Closed-loop System คือกระบวนการรีไซเคิลที่มุ่งนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาแปรรูปและผลิตเป็นสินค้าเดิมหรือสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน หลักการสำคัญของกระบวนการนี้คือการปิดวงจรการใช้วัสดุ ไม่ปล่อยให้เกิดของเสียในระยะยาว ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บรวบรวมวัสดุใช้แล้ว การแปรรูปใหม่ ไปจนถึงการผลิตสินค้าใหม่

 
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา