การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเกิดขึ้นได้นำมาซึ่งความท้าทายที่สำคัญสำหรับสถาบันการเงินในระยะข้างหน้า โดยรูปแบบของระบบการชำระเงินที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ส่งผลให้ทั่วโลกและไทยต่างกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งทำให้สถาบันการเงินต้องปรับรูปแบบของธุรกิจไปสู่ Platform business model ความท้าทายครั้งสำคัญนี้ ทำให้การเป็นผู้ให้บริการหลักในระบบการชำระเงินของสถาบันการเงินกำลังถูกสั่นคลอนลงจากการแข่งขันของผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาแข่งขันด้วย Platform ทำให้สถาบันการเงินต้องเร่งปรับธุรกิจจากการผลิตในรูปแบบเดิมไปสู่ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย Platform ให้อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้
“The world is at an inflection point where the effect of these digital technologies will manifest with full force
through automation and making of unprecedented things”
Erik Brynjolfsson and Andrew McAfee (2014)
คำกล่าวของ Professor Erik Brynjolfsson และ Dr.Andrew McAfee สะท้อนว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่เทคโนโลยีจะนำเราไปสู่สิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมครั้งใหญ่ในรอบกว่า 200 ปี และเข้าสู่ช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (The fourth industrial revolution) โดย World Economic Forum ระบุว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งสำคัญ (Technology breakthrough) ที่เกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วในลักษณะ Exponential growth ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกอุตสาหกรรมโดยนำไปสู่รูปแบบใหม่ของการผลิตสินค้าและบริการ (ภาพที่ 1) และนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญต่อทุกอุตสาหกรรมในระยะข้างหน้า [1]
สถาบันการเงินทั่วโลกต่างตื่นตัวเพื่อเตรียมรับกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการเงินที่นำไปสู่การชำระเงินแบบใหม่ ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงในสองลักษณะ คือ (1) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบชำระเงิน (Disruptive innovation in payment system) จาก Distributed Ledger Technology (DLT) (2) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงระบบชำระเงินบางส่วนโดยสถาบันการเงินยังมีบทบาทอยู่ (Non-disruptive innovation) แต่จะมีผู้เล่นใหม่ที่มิใช่สถาบันการเงินเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นผ่าน Mobile payment รวมถึงช่องทางการชำระเงินรูปแบบใหม่ (New payment gateways) โดยคาดว่าเทคโนโลยีแบบ Non-disruptive innovation จะมีบทบาทสำคัญต่อระบบชำระเงินและส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Cashless payment) ในระยะข้างหน้า ขณะที่เทคโนโลยี DLT หรือ Blockchain ยังคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการพัฒนาระบบชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย เพื่อรองรับการทำธุรกรรมชำระเงินขนาดใหญ่ที่มีปริมาณมากทั่วโลกได้รวดเร็วเพียงพอและมีสภาพคล่องในระดับสูง [2]
พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวขึ้นในภาคการเงินได้เริ่มต้นที่ระบบการชำระเงินอันเป็นเหมือนปราการด่านแรกสุดที่ FinTech จะเข้ามาให้บริการเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้สามารถให้บริการทางการเงินในด้านอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การแข่งขันด้วยนวัตกรรมแบบ Non-disruptive payment จึงอาจนำไปสู่การทดแทนบทบาทของสถาบันการเงินได้ในอนาคต การเข้าใจระบบการชำระเงินในบริบทของไทยในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในระยะข้างหน้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สถาบันการเงินเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมต่อไป
หากย้อนกลับไปมองการเปลี่ยนแปลงของภาคการเงินไทยจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของโลกจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งนำไปสู่การชำระเงินรูปแบบใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เพิ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบการชำระเงินของไทยเพียงเล็กน้อย สะท้อนจาก ระดับของเงินสดที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ (Cash in circulation) ของไทยที่ยังทรงอยู่ในระดับสูงที่ 11.6% ของ GDP ในปี 2560 หากวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ จะพบว่าประกอบด้วย (1) การพัฒนาของระบบสถาบันการเงินในประเทศ (2) การพัฒนาทางเทคโนโลยี (3) การผลักดันของภาครัฐ และ (4) การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงินเข้ามามีบทบาทในระบบชำระเงินมากขึ้น ซึ่งหากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอาจทำให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างแพร่หลายเกิดขึ้นได้ช้าลง สำหรับไทยแม้จะมีการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในประเทศที่ดี แต่ปัจจัยการพัฒนาทางเทคโนโลยียังไม่มากเพียงพอที่จะทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เกิดความคุ้นชินต่อการชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจาก
1) การพัฒนาระบบการเงินของสถาบันการเงินยังไม่เอื้อต่อพฤติกรรมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของประชาชน โดยแม้ว่าดัชนีชี้วัดการพัฒนาระบบการเงินของไทยจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา (ภาพที่ 2) และมีผู้ถือบัตรพลาสติกเพื่อชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากถึง 53ล้านบัตรในปี 2560 แต่สัดส่วนการชำระเงินด้วยบัตรเดบิตยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจาก (ภาพที่ 3)
2) โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรมของประเทศยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้บริโภคคุ้นชินต่อการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ทักษะด้านดิจิทัลขั้นพื้นฐานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้นรวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นต่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในไทยทักษะเหล่านี้ยังอยู่ในระดบค่อนข้างต่ำ โดย WEFได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT adoption) ให้อยู่ในอันดับที่ 64 จาก 140 ประเทศทั่วโลกในปี 2561นอกจากนี้ พบว่าทักษะด้านดิจิทัล (Digital skill) ของแรงงานซึ่งวัดจากทักษะด้านต่าง ๆ การใช้คอมพิวเตอร์ การเขียน Code ขั้นพื้นฐาน ไทยอยู่ในอันดับที่ 61 ของโลก สะท้อนว่าระดับการพัฒนาทางด้านนวัตกรรมของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการพัฒนาของภาคการเงิน (ภาพที่ 2)
ระบบการชำระเงินของไทยมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นในอนาคตจากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ นโยบายภาครัฐและการเกิดขึ้นของผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-banks) โดยจากการศึกษาของวิจัยกรุงศรี (อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความวิจัยกรุงศรี เรื่อง“ระบบชำระเงินแห่งอนาคต” ที่ https://www.krungsri.com/bank/getmedia/162b0f15-bf2e-4fb0-a384-b38972919b04/RI_13_Payment_TH.aspx) พบว่า ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้หลายประเทศในโลกไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ ต่างเข้าสู่ช่วงของการลดลงของ Cash in circulation ที่รวดเร็วขึ้น (Shorten the stages development) เนื่องจากภาครัฐได้สร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อให้ประชาชนคุ้นชินกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านนโยบายด้านการชำระเงินโดยตรงและนโยบายอื่น ๆ เกี่ยวข้อง รวมถึงการเกิดขึ้นของ Non-banks ที่ทำให้เกิดช่องทางในการชำระเงินที่หลากหลายมากขึ้นจึงทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสามารถสรุปปัจจัยที่สำคัญสำหรับสถานการณ์ของไทยได้ดังนี้
1) นโยบายที่สนับสนุนให้เกิดการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ได้แก่ นโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิตอล นโยบายส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ นโยบายส่งเสริมธุรกิจ e-Commerce และ Logistic และการพัฒนาระบบสื่อสารไร้สายแบบ 4G และ 5G (ตารางที่ 1) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้บริโภคมีระดับของการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน (High level of ICT adoption) ที่มากขึ้นได้
Table 1: Government Policy Facilitating Development of e-Payment Ecosystems
Table 2: National e-Payment Policy
นอกจากนี้ นโยบาย National e-Payment ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้บัตรเดบิตทั้งด้านผู้ใช้บัตรและผู้ออกบัตร ส่งผลให้มีจำนวนเครื่องรับบัตรเดบิตเพิ่มสูงขึ้นจาก 474,363 บัตรในปี 2559 เป็น 711,211 แสนบัตรในปี 2560 โดยภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรที่สำคัญ คือ การลดค่าธรรมเนียมสำหรับร้านค้า โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตซึ่งมีวงเงิน 84 ล้านบาท และตลอดระยะเวลาที่มีการส่งเสริมผ่านโครงการดังกล่าวทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัตรเดบิตขยายตัวถึง 38.3% ในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2560ถึงเดือนเมษายน 2561
ทั้งนี้ นโยบาย National e-Payment ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศได้ในระยะยาว เนื่องจากส่งเสริมให้เกิดการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตลอด Value chain ได้แก่ ผู้บริโภครายย่อย ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การโอนเงินผ่าน Any ID ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถโอนเงินผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือบัตรประชาชน และมีโครงการจะขยายไปยังหมายเลข e-Wallet และe-mail Address และการชำระบิลข้ามธนาคาร (Cross bank billpayment) นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้สนับสนุนให้มีการใช้บัตรเดบิตเพิ่มขึ้นผ่านโครงการใช้บัตรสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อย (ภาพที่ 6) โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ในขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยเปลี่ยนบัตรเป็นแบบชิปการ์ดแทนบัตรแบบแถบแม่เหล็กภายในปี 2562 รวมถึงการพัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานชิปการ์ดและเครื่องรับบัตร ซึ่งจะช่วยให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกรรมรายย่อยที่มีมูลค่าไม่มากนักซึ่งโดยทั่วไปผู้บริโภคนิยมชำระด้วยเงินสด
2) การเพิ่มขึ้นของบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากNon-banks ทั้งกลุ่ม Startups และผู้ให้บริการที่เป็นบริษัทเทคโนโลยี รวมถึงผู้ให้บริการธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งพบว่า FinTech Startups มักเข้ามาให้บริการเป็น Payment gatewaysเชื่อมโยงการชำระเงินผ่าน Providers รายต่าง ๆ ในที่เดียว หรือให้บริการ e-Wallet สำหรับการซื้อสินค้า การจ่ายค่าสาธารณูปโภค รวมทั้งการเป็น Payment gateways สำหรับการชำระเงินผ่าน Social media เป็นต้น ในขณะเดียวกัน มีผู้เล่นซึ่งเป็นผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมอื่นที่เข้ามาให้บริการชำระเงินผ่าน e-Wallet เช่นค่ายโทรศัพท์มือถือทรู ดีแทค และ AIS รวมถึงผู้ให้บริการค้าปลีก เช่น เซ็นทรัล ซึ่งในกลุ่มนี้อาจได้เปรียบกว่า Startups เนื่องจากมีฐานลูกค้าจำนวนมากอยู่แล้ว (ภาพที่ 7)
3) พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เอื้อต่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
ได้แก่ การใช้อินเทอร์เน็ตทางโทรศัพท์มือถือ และการซื้อสินค้าออนไลน์ และการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีจึงประเมินว่าระบบชำระเงินของไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นและส่งผลให้การใช้เงินสดในระบบเศรษฐกิจลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า (ภาพที่ 12: Scenario II) โดยจะใช้เวลาที่สั้นลงในการพัฒนาเข้าสู่ระดับดังกล่าว เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เคยเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วในอดีต ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ นโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับการเกิดขึ้นของผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงินที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทในระบบชำระเงินของไทย
นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของผู้ให้บริการใหม่ที่มิใช่สถาบันการเงินและธุรกิจ e-Commerce จะสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมที่คุ้นชินกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์รวดเร็วขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ไทยจะสามารถข้ามขั้นตอนของการพัฒนาไปสู่การลดลงของการใช้เงินสดในระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ก่อนที่เงินสดที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะลดลงสู่ระดับต่ำในลำดับต่อไป (ภาพที่ 12: Scenario III)
สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์รุนแรงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งการที่ระบบสถาบันการเงินไทยมีระดับการพัฒนาพื้นฐานที่ดี คาดว่าจะช่วยให้สถาบันการเงินมีเวลามากขึ้นในการปรับตัวและคงบทบาทในการเป็นผู้นำในตลาดการชำระเงินได้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจชำระเงินได้ในอนาคต จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถึงบริบทของสถานการณ์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลของ Disruptive technology
จากภาพรวมของสถานการณ์ระบบการชำระเงินไทยที่จะขับเคลื่อนด้วยบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในอนาคตทำให้สถาบันการเงินไทยเริ่มตื่นตัวและพัฒนาระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่าง ๆ โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการที่เป็น FinTech startups ที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาระบบชำระเงินในขณะที่ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม (Telcos) และบริษัทเทคโนโลยี (Technology company) ได้ขยายฐานลูกค้าเข้ามาให้บริการด้านการชำระเงินอย่างรวดเร็วผ่าน Mobile application
แนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของการชำระเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือส่งผลให้การแข่งขันในระบบสถาบันการเงินไทยเคลื่อนย้ายจากการแข่งขันด้วยรูปแบบธุรกิจแบบเดิมไปสู่การแข่งขันที่ขับเคลื่อนด้วยแพลทฟอร์ม (Platform economy) ซึ่งมีศักยภาพท้าทายการดำรงอยู่ของทุกธุรกิจ ดังนั้น การเข้าใจโลกใหม่ของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย Platform อย่างลึกซึ้งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการแข่งขันของระบบชำระเงินในอนาคต
ในช่วงศตวรรษที่ 20 รูปแบบธุรกิจส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมีรากฐานมาจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นพื้นฐานของการผลิตในรูปแบบของ Pipeline business model ที่ความสามารถในการแข่งขันจะถูกกำหนดโดยการผลิตที่มี “Supply side economy of scale” หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยของการผลิตจากการผลิตในปริมาณมาก ดังนั้นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและยากที่คู่แข่งจะเข้ามาแข่งขันได้
จะเห็นได้ว่าการผลิตในรูปแบบเดิมหรือ Pipeline business model นั้น การสร้างมูลค่าเพิ่มจะกระทำได้ผ่านการผลิตสินค้าในแต่ละขั้นตอนของ Value chain จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งหลักการที่สำคัญที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน คือ การทำให้การผลิตตลอดห่วงโซ่มูลค่า (Value chain) เกิดประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งจะมาจาก (1) การเข้าครอบครองทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการผลิตที่คู่แข่งไม่มี จึงป้องกันคู่แข่งให้เข้ามาสู่ตลาดได้ยากขึ้น (2) การลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และการมีขนาดการผลิตที่มีขนาดใหญ่ และ (3) การเพิ่มประสิทธิภาพจากการผลิตในตลอดกระบวนการผลิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและผู้ผลิตมีผลกำไรเพิ่มขึ้นโดยผู้ผลิตสามารถควบคุมการผลิตตลอดห่วงโซ่มูลค่าได้ทั้งหมด หากต้องการผลิตเพิ่มเพื่อให้ได้ผลกำไรเพิ่มสามารถทำได้โดยการเพิ่มปัจจัยการผลิต หรือปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิต (กล่องที่ 1)
ในขณะที่การผลิตที่เกิดขึ้นใน Platform จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกับ Pipeline อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของการผลิตในเศรษฐกิจแบบ Platform นั้น หัวใจสำคัญ คือ การสนับสนุนปฏิสัมพันธ์หลัก (Core interaction) หรือ กิจกรรมที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของ Platform ซึ่งจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนคุณค่า (Value unit) ระหว่างผู้ที่อยู่ใน Platform โดยอาจเป็นระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค หรือระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน โดย Platform มีหน้าที่สำคัญในการอำนวยความสะดวกให้การแลกเปลี่ยน Value unit นั้นเกิดขึ้นอย่างราบรื่น ทำให้ผู้ที่อยู่ใน Platform เกิดความสนใจที่จะสร้าง Core interaction ร่วมกันต่อไป รวมถึงทำหน้าที่ให้เกิดการจับคู่ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ทำให้เกิดความพอใจสูงสุดโดยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภครู้สึกได้รับประโยชน์จากการมีปฏิสัมพันธ์ผ่าน Platform
How was the platform business model developed?
เราสามารถแบ่งรูปแบบของ Platform business model ได้เป็น 4 ประเภทคือ (1) Transactional platforms เป็น Platform ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำหรับอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนธุรกรรมระหว่าง Users ต่าง ๆ เช่น PayPal และ Uber (2) Innovation platforms เป็น Platform ที่ทำหน้าที่เป็นฐานของ Platform อื่น ๆ เช่น Microsoft ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Technology ที่มาเสริมการให้บริการของ Platform (3) Integrated platforms เป็น Platform ที่ให้บริการเป็นตัวกลางในธุรกรรมและขณะเดียวกันก็ให้บริการเป็น Innovation platform ด้วย เช่น Apple Facebook และ Alibaba (4) Investment platforms ให้บริการบริการ Portfolio สำหรับการลงทุน เป็นต้น (กล่องที่ 2)
มีคำกล่าวว่า เมื่อไรก็ตามที่ธุรกิจแบบ Pipeline ต้องแข่งกับธุรกิจ Platform แล้ว Platform จะชนะเสมอ โดยเห็นได้จากบริษัทขนาดใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลกได้อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ล้วนมีพื้นฐานของธุรกิจแบบ Platform แทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก Platform แตกต่างจากการผลิตแบบ Pipeline เนื่องจากสามารถลดข้อจำกัดสำคัญของการผลิตแบบเดิมลงได้หลายประการ (ตารางที่ 3) ดังนี้
ธุรกิจที่มีโอกาสถูก Disrupt จากการผลิตแบบ Platform มีลักษณะสำคัญ คือ (1) ธุรกิจที่เป็น Information intensive industry (2) ธุรกิจที่อาศัยตัวกลางที่มีข้อจำกัดในการเติบโตเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภคที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วจากระดับของพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน (3) ธุรกิจที่มีHighly fragment industry (4) ธุรกิจที่มี Asymmetric information อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่การ Disrupt อาจต้องใช้เวลามากกว่ากลุ่มแรก คือ ธุรกิจที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เช่น ธุรกิจการเงิน หรือ ธุรกิจที่ยังต้องอาศัยทรัพยากรการผลิตเข้มข้น เช่น เหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ Platform ทำให้เส้นแบ่งที่เคยเป็นอุปสรรคที่แยกระหว่างแต่ละอุตสาหกรรมนั้นค่อย ๆ หายไป ทำให้การแข่งขันระหว่างอุตสาหกรรมที่อยู่คนละภาคการผลิตเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การที่ธุรกิจการเงินเป็น Information intensive industry ที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด จึงมีแนวโน้มที่จะถูกทดแทนด้วย Platform business ได้ง่ายและคู่แข่งที่น่ากลัวของสถาบันการเงินจึงเป็นธุรกิจอื่นที่มีข้อมูลของลูกค้าในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใน Platform จำนวนมหาศาลนั่นเอง
2) ถอดบทเรียนจาก Alipay : แพลตฟอร์มด้านระบบการชำระเงินที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
Alipay เป็นตัวอย่างของ Platform ระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ธุรกิจการเงินในประเทศจีน ดำเนินการโดย Ant financial ซึ่งเป็น Fintech company ที่แยกออกมาจาก Alibaba เพื่อให้บริการในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องด้านการเงินโดยตรง (ภาพที่ 14) Alipay ถือได้ว่าเป็น Innovative platform ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้ใช้งานเฉพาะส่วนของ Active users ถึง 450 ล้านคน และสามารถขึ้นเป็นผู้นำด้านการชำระเงินที่สำคัญโดยสามารถเอาชนะธนาคารพาณิชย์ในจีนได้สำเร็จ ในปัจจุบัน Ant Financial ได้ขยายบริการทางการเงินอื่น ๆ ภายใต้ Platform เช่น Yu’e Bao ซึ่งเป็น Money market fund และ MYBank ซึ่งเป็น Digital-only banking โดยมี Platform ที่เกี่ยวข้องที่สนับสนุนการทำธุรกิจการเงิน เช่น Zhima credit ที่ทำ Credit scoring เป็นต้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Ant financial ประสบความสำเร็จอย่างสูงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ ด้านอุปสงค์และด้านอุปทาน
Ant financial สามารถเติมเต็มช่องว่างความต้องการของผู้บริโภคในจีนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากระบบการเงินของจีนที่ยังไม่พัฒนาดีพอและยังเข้าไม่ถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของประเทศรวมไปถึงสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารมักละเลยอย่าง SMEs ทำให้ระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้บริการโดย Non-banks อย่าง Alipay สามารถข้ามขั้นการพัฒนาระบบชำระเงินได้ด้วยเวลาที่สั้นกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วและเข้ามามีบทบาทสำคัญได้อย่างรวดเร็วในจีน ซึ่งแตกต่างจากในประเทศที่พัฒนาที่ระบบการชำระเงินมักพัฒนาเป็นอย่างดีโดยธนาคาร ทำให้ผู้ให้บริการที่เป็น Non-bank มักเสริมมากกว่าจะทดแทนบทบาทของสถาบันการเงิน ประกอบกับการเติบโตของการใช้งาน Internet ในจีนจาก 564 ล้านคนในปี 2543 เป็น 772 ล้านคนในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นถึง 36.9 % จึงเอื้อให้ผู้บริโภคชาวจีนสามารถชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคในจีนไม่มีความเชื่อมั่นต่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ (Inefficient payment infrastructure) และกฎหมายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เข้มแข็ง (Weak consumer protection law) ทำให้ Alipay สามารถใช้ประโยชน์จากการมีระบบ Escrow service เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในจีนและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์การพัฒนา Platform ของ Alipay ที่ Ant financial ได้พัฒนาขึ้นและนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้อย่างก้าวกระโดด ประกอบด้วยปัจจัยที่สำคัญดังต่อไปนี้ (ภาพที่ 15)
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเกิดขึ้นได้นำมาสู่ความท้าทายที่สำคัญสำหรับสถาบันการเงินในระยะข้างหน้า รูปแบบของระบบการชำระเงินที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ส่งผลให้ทั่วโลกและไทยต่างกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่งผลให้สถาบันการเงินต้องปรับตัวในสองมิติที่สำคัญ คือ การรับมือกับการแข่งขันจากผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงินที่จะเข้ามาแข่งขันในระบบชำระเงินมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินต้องปรับตัวอย่างมากจากรูปแบบของธุรกิจที่เปลี่ยนไปสู่ Platform business model ซึ่งความท้าทายทั้งสองประการนี้ ทำให้ความได้เปรียบที่สถาบันการเงินเคยมีจากการเป็นผู้ให้บริการหลักในระบบการชำระเงินถูกสั่นคลอนลง เนื่องจากผู้เล่นใหม่เหล่านี้ล้วนเป็นธุรกิจที่เติบโตมาจากการแข่งขันที่ขับเคลื่อนด้วย Platform แทบทั้งสิ้น ในท้ายที่สุดแล้ว สถาบันการเงินที่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจชำระเงินไว้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปและนำบทเรียนจากธุรกิจชั้นนำของโลกที่เคลื่อนไปสู่การแข่งขันด้วย Platform มาใช้กับธุรกิจของตนได้อย่างรวดเร็วที่สุดนั่นเอง
References
Alstyne, M. W. V., Parker, G.G., Parker, G.G., (2016). Pipelines, Platforms, and the New Rules of Strategy. Harvard Business Review. Retrieved from
Chen, L. (2016). From Fintech to Finlife: the Case of FinTech Development in China. Retrieved from https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/17538963.2016.1215057
Evan, C. P., Gawer, A. (2016). The Rise of the Platform Enterprise: A Global Survey. https://www.thecge.net/app/uploads/2016/01/PDF-WEB-Platform-Survey_01_12.pdf
Lozic, J., Marin, Milkovi, M., Lozic, I. (2017) Economics of Platforms and Changes in Management Paradigms: Transformation of Production System from Linear to Circular Model. Retrieved from
Parker, G.G., Alstyne, M. W. V., & Choudary, S. P. (2016). Platform Revolution: How Networked Markets are Transforming the Economy-and How to Make Them Work for You. New York, NY: Norton & Company, Inc. Schwab, K. (2016). The Fourth Industrial Revolution. Retrieved from https://luminariaz.files.wordpress.com/2017/11/the-fourth-industrial-revolution-2016-21.pdf
Thanadhidhasuwanna, T. (2018). Future Payment Systems. Retrieved from https://www.krungsri.com/bank/getmedia/d479ca9c-43b5-4d92-9b0a-ee8703a7ed47/RI_13_Payment_EN.aspx
World Economic Forum (2016). Beyond FinTech: A Pragmatic Assessment of Disruptive Potential in Financial Services. Retrieved from http://www3.weforum.org/docs/Beyond_Fintech_-_A_Pragmatic_Assessment_of_Disruptive_Potential_in_Financial_Services.pdf
Zhu, F., Zhang, Y., Palepu, G. K., Woo, K. A., Dai, H. N. (2018). Ant Financial (A). Harvard Business School Case 617-060. Retrieved from https://www.hbs.edu/faculty/Pages/item.aspx?num=52493
[1] https://www.weforum.org/agenda/2016/01/the-fourth-industrial-revolution-what-it-means-and-how-to-respond/
[2] https://www.krungsri.com/bank/getmedia/d479ca9c-43b5-4d92-9b0a-ee8703a7ed47/RI_13_Payment_EN.aspx