สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้นำมาสู่สงคราม “ธาตุหายาก” หรือ “แรร์เอิร์ธ” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำในการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังเร่งสร้างพันธมิตรโดยทำข้อตกลง (MOU) ร่วมกับประเทศต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ รวมถึงไทยด้วย ทั้งนี้ไทยถือเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมต้นน้ำจากกระบวนการแต่งแร่แรร์เอิร์ธเพื่อส่งออก ขณะที่อุตสาหกรรมปลายน้ำของไทยได้อานิสงส์จากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนผลิตโลหะและแม่เหล็กจากแรร์เอิร์ธ ในอนาคตเมื่อความต้องการแรร์เอิร์ธมีแนวโน้มสูงขึ้นตามความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยจำเป็นต้องประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากของเสียอันตรายที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม
ธาตุหายากหรือแรร์เอิร์ธ (Rare-earth element: REE) เป็นกลุ่มธาตุโลหะที่ปรากฏในแร่หลายชนิด โดยสาเหตุที่ได้ชื่อว่า "ธาตุหายาก" มาจากความยากในการสกัดให้ได้ในรูปแบบบริสุทธิ์ เนื่องจากธาตุเหล่านี้มักกระจายตัวปะปนอยู่ในแร่หลายชนิดในปริมาณน้อย อีกทั้งกระบวนการสกัดธาตุหายากดังกล่าวต้องใช้สารเคมีเข้มข้นและก่อให้เกิดของเสียอันตรายจำนวนมาก จึงทำให้มีต้นทุนการผลิตสูงและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้สามารถแบ่งธาตุหายากออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (ภาพที่ 1)
ธาตุหายากชนิดเบา (Light rare-earth element: LREE) เช่น แลนทานัม ซีเรียม พราเซโอไดเมียม นีโอไดเมียม ธาตุกลุ่มนี้พบได้ค่อนข้างมากในธรรมชาติโดยกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก และสกัดได้ง่ายกว่าธาตุชนิดหนัก
ธาตุหายากชนิดหนัก (Heavy rare-earth element: HREE) เช่น เทอร์เบียม ดิสโพรเซียม ลูทีเทียม สแกนเดียม และอิตเทรียม ซึ่งธาตุกลุ่มนี้หายากและสกัดยากกว่าชนิดเบา โดยมีแหล่งผลิตหลักอยู่ในประเทศจีนและเมียนมา

แรร์เอิร์ธเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์และสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (มอเตอร์แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง) อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (เครื่องกำเนิดไฟฟ้าของกังหันลมและแบตเตอรี่) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต) อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)) รวมถึงอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (อาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบนำทาง และเรดาร์) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรร์เอิร์ธเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศต่างๆ ในโลก
ปัจจุบันแรร์เอิร์ธกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อรองระหว่างสหรัฐฯ กับจีนท่ามกลางสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยจีนเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากจีนเป็นหลัก ส่งผลให้จีนสามารถใช้แรร์เอิร์ธเป็นเครื่องมือต่อรองกับสหรัฐฯ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 จีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธ (Export control) ที่เข้มงวดขึ้นโดยกำหนดให้ผู้ส่งออกสินค้าที่มีแรร์เอิร์ธ 12 ชนิด ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล1/ ขณะที่สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 100% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากจีน และจำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปยังจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 สหรัฐฯ และจีนได้เจรจาและตกลงระงับการบังคับใช้มาตรการเหล่านี้เป็นเวลา 1 ปี จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2569
แม้สงครามการค้าที่มีแรร์เอิร์ธเป็นหนึ่งในเครื่องมือจะผ่อนปรนลงชั่วคราว แต่ในระยะยาวสหรัฐฯ ยังต้องการคานอำนาจและลดการพึ่งพาจีน ส่งผลให้สหรัฐฯ เร่งสร้างพันธมิตรด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธกับประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย เวียดนาม รวมถึงไทยด้วย2/ โดย MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เป็นกรอบความร่วมมือด้านการสำรวจศักยภาพแหล่งแร่และการพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปแรร์เอิร์ธ3/ สะท้อนว่าไทยกำลังเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนี้
บทความนี้จะมุ่งเน้นศึกษาห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของโลก เพื่อประเมินบทบาทของไทย ตลอดจนโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเริ่มจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ การแยกและถลุงแร่ ไปจนถึงการผลิตสารประกอบ โลหะ และแม่เหล็กถาวร ซึ่งจีนเป็นผู้เล่นหลักในทุกๆ ขั้นของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากจีนมีปริมาณสำรองของแรร์เอิร์ธมากที่สุด และรัฐบาลจีนเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2534 ด้วยการประกาศให้แรร์เอิร์ธเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์4/ โดยปัจจุบันมีบริษัท China Rare Earth Group และ China Northern Rare Earth เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ขณะที่สหรัฐฯ พยายามขยายทั้งกำลังการผลิตและพันธมิตรเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีน ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนมีบทบาทตั้งแต่กิจกรรมต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำที่แตกต่างกันไป (ภาพที่ 2)

ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธมีรายละเอียดดังนี้
กิจกรรมต้นน้ำเริ่มจากการขุดและสกัดสินแร่ที่มีแรร์เอิร์ธ เช่น แร่บาสต์เนไซต์ และแร่โมนาไซต์ จากนั้นนำไปแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น (Mineral concentrate) โดยข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey: USGS) ระบุว่าในปี 2567 จีนสามารถผลิตแรร์เอิร์ธจากการทำเหมืองได้มากที่สุดถึง 270,000 ตัน5/ หรือราว 70% ของโลก รองลงมาคือสหรัฐฯ (45,000 ตัน) และเมียนมา (31,000 ตัน) ขณะที่ไทยผลิตได้ 13,000 ตัน เป็นอันดับที่ 4 ร่วมกับออสเตรเลียและไนจีเรีย นอกจากนี้ จีนยังมีปริมาณสำรอง (Reserve) ของแรร์เอิร์ธมากที่สุดถึง 44 ล้านตัน ซึ่งสะท้อนศักยภาพในการทำเหมืองแร่เพื่อผลิตแรร์เอิร์ธ ตามด้วยบราซิล (21 ล้านตัน) อินเดีย (6.9 ล้านตัน) ออสเตรเลีย (5.7 ล้านตัน) รัสเซีย (3.8 ล้านตัน) และเวียดนาม (3.5 ล้านตัน) ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ มีปริมาณสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน6/ (ภาพที่ 3)

ไทยอยู่ตรงไหน? ประเทศไทยยังไม่มีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธเชิงพาณิชย์ แต่มีกิจกรรมแต่งแร่ (Beneficiation) โดยนำเข้าสินแร่ดิบมาแปรรูปเป็นสินแร่เข้มข้น ซึ่งเป็นการแยกแร่ที่มีแรร์เอิร์ธออกจากหินและแร่อื่นๆ จากนั้นส่งออกไปยังประเทศที่สามารถกลั่นแรร์เอิร์ธได้7/ ส่งผลให้ในปี 2567 USGS ประเมินว่าไทยมีผลผลิตแรร์เอิร์ธอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก แม้ว่าจะมีปริมาณสำรองอยู่ในอันดับที่ 12 หรือเพียง 4,500 ตัน โดยโรงงานแต่งแร่ที่สำคัญในไทย ได้แก่ บริษัท สินแร่สาคร จำกัด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบริษัท รัตนรังษิวัฒน์ จำกัด ในจังหวัดพังงา8/
สินแร่เข้มข้นที่ได้จากเหมืองแร่จะถูกนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อผลิตสารประกอบโลหะหรือแรร์เอิร์ธออกไซด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง (Rare-earth oxide: REO) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตโลหะและแม่เหล็กในขั้นปลาย กิจกรรมแปรรูปแร่นับว่ามีมูลค่าเพิ่มสูงตามความซับซ้อนของเทคโนโลยี โดยจีนเป็นผู้นำตลาด ด้วยกำลังการผลิตราว 80-90% ของทั้งโลก9/ ส่งผลให้จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ซึ่งประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีของโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนสูง (ภาพที่ 4) ขณะที่มาเลเซียถือเป็นผู้เล่นที่เริ่มมีบทบาทสูงขึ้น โดยปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกสารประกอบแรร์เอิร์ธอันดับที่ 2 รองจากจีน ซึ่งการผลิตมาจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในมาเลเซียตั้งแต่ปี 255510/ ส่งผลให้มาเลเซียส่งออก REO ได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกตั้งแต่ปี 2557 ส่วนสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 รองจากจีนและมาเลเซีย โดยมีตลาดสำคัญคือจีน เวียดนาม และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เร่งขยายกำลังการผลิตในประเทศ โดยสามารถดึงบริษัท Lynas Rare Earths ให้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธในรัฐเท็กซัส ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569

ไทยอยู่ตรงไหน? ปัจจุบันไทยยังไม่สามารถแปรรูปแรร์เอิร์ธได้ในระดับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสารประกอบแรร์เอิร์ธในขั้นกลาง เพื่อใช้ในการผลิตโลหะและแม่เหล็กในอุตสาหกรรมขั้นปลาย
ในขั้นนี้ ผู้ผลิตจะนำสารประกอบโลหะหรือแรร์เอิร์ธออกไซด์ (REO) มาผ่านกระบวนการเพื่อแปลงเป็นโลหะ (Metal) และโลหะผสม (Alloy) จากนั้นนำไปผลิตแม่เหล็กถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง (Permanent magnet) เช่น แม่เหล็ก Neodymium-Iron-Boron (NdFeB) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของมอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และสมาร์ตโฟน เป็นต้น
ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตแม่เหล็กถาวรสูงที่สุด โดยสามารถส่งออกได้ราว 63% ของการส่งออกทั้งโลก รองลงมาคือญี่ปุ่น (เช่น บริษัท Proterial11/) เวียดนาม (เช่น บริษัท Shin-Etsu Chemical) เยอรมนี (เช่น บริษัท Vacuumschmelze) และสหรัฐฯ (เช่น บริษัท MP Materials) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเพียง 20% ทั้งนี้ประเทศผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานลม ต่างพึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จีนเริ่มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่กำลังเร่งขยายฐานการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน


แรร์เอิร์ธนับว่าเป็นวัตถุดิบที่ “หายาก” แต่ “ขาดไม่ได้” ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดย McKinsey & Company คาดการณ์ว่าในปี 2578 ความต้องการแรร์เอิร์ธที่ใช้ในการผลิตแม่เหล็กของโลกจะเพิ่มขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับปี 256515/ ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ ด้วยกำลังการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานคิดเป็นเกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ตลอดจนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาแรร์เอิร์ธจากจีน โดยประเทศดังกล่าวได้ขยายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยด้วย ส่งผลให้ไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนต้นน้ำและปลายน้ำ คำถามสำคัญคือ ไทยควรยกระดับบทบาทในสมรภูมิแรร์เอิร์ธของโลกหรือไม่?
เพื่อตอบคำถามนี้ เราอาจต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเปรียบเสมือนดาบสองคม กล่าวคือไทยมีโอกาสทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่มีแนวโน้มเติบโตตามทิศทางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดของโลก แต่ในขณะเดียวกันกระบวนการผลิตแรร์เอิร์ธก็สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนัก และของเสียอันตรายในแหล่งน้ำและดิน รวมถึงมลพิษทางอากาศ ดังนั้นวิจัยกรุงศรีจึงมองว่าไทยมีโอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธแตกต่างกันไปในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ดำเนินนโยบายและภาคธุรกิจควรคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบอย่างรอบด้าน ดังนี้ (ภาพที่ 7)

อุตสาหกรรมต้นน้ำ: คาดว่าในระยะสั้นไทยจะยังได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมการแต่งแร่ โดยการนำเข้าแร่ดิบมาเพิ่มมูลค่าและส่งออก ทั้งนี้ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของประเทศมหาอำนาจ ไทยอาจได้อานิสงส์จากการเป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบขั้นต้นให้กับประเทศที่สามารถสกัดแรร์เอิร์ธได้ อย่างไรก็ดี การแต่งแร่อาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนักและธาตุกัมมันตรังสีซึ่งปนเปื้อนในกากแร่ที่เหลือจากการแต่ง หรือมลพิษทางอากาศจากการบดและคัดแยกแร่ ส่วนในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ต้องอาศัยการลงทุนระยะยาวนั้น ไทยจำเป็นต้องสำรวจศักยภาพแหล่งแรร์เอิร์ธมากขึ้น เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ แต่ข้อมูลเบื้องต้นจาก USGS สะท้อนว่าไทยยังมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธไม่มาก โดยกรมทรัพยากรธรณีประเมินว่าแหล่งแรร์เอิร์ธในไทยกระจายตัวอยู่ในบริเวณแนวตะวันตกของไทย เช่น จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี16/ และที่สำคัญไทยควรต้องประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยบทเรียนจากเมียนมาพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐฉานทำให้ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อาศัยบริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งรวมถึงชุมชนทางตอนเหนือของไทยด้วย
อุตสาหกรรมกลางน้ำ: ไทยมีโอกาสจำกัด เนื่องจากการแปรรูปแรร์เอิร์ธใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ซึ่งไทยยังไม่สามารถทำได้ในเชิงพาณิชย์ ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอย่างมาเลเซียได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญของโลกเนื่องจากบริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียเข้ามาลงทุนในธุรกิจสกัดแรร์เอิร์ธ อย่างไรก็ดี แม้ธุรกิจกลางน้ำจะมีมูลค่าเพิ่มสูง แต่ก็มาพร้อมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรงงานสกัดแรร์เอิร์ธในรัฐปะหังของมาเลเซียถูกต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่น จนรัฐบาลต้องกำหนดให้ผู้ผลิตสร้างโรงกำจัดของเสีย และลดระดับกัมมันตรังสีในของเสียจากกระบวนการสกัดแร่ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด17/ ขณะที่โรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธในเมืองเป่าโถว เขตมองโกเลียใน ประเทศจีน ก่อให้เกิดของเสียอันตรายสะสมในปริมาณมาก เช่น แคดเมียมและตะกั่ว ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ และพัฒนาการในเด็ก
อุตสาหกรรมปลายน้ำ: คาดว่าไทยมีโอกาสจากการขยายการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตแม่เหล็กจากต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการแม่เหล็กแรร์เอิร์ธในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตของบริษัทยานยนต์ไฟฟ้า เช่น BYD และ Great Wall Motor (GWM) และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Western Digital และ Seagate Technology ทั้งนี้คาดว่าการลงทุนในกิจกรรมปลายน้ำจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันไทยยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิของสินค้าแม่เหล็กถาวร โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน (46% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดในปี 2567) ตามมาด้วยญี่ปุ่น (41%) อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในภูมิภาค โดยชาติอาเซียนต่างพยายามดึงดูดการลงทุนจากประเทศที่เร่งขยายฐานการผลิตแม่เหล็ก เช่น มาเลเซีย เป็นฐานการแปรรูปแรร์เอิร์ธของบริษัทจากออสเตรเลีย ซึ่งกำลังขยายธุรกิจไปยังการผลิตแม่เหล็กในขั้นปลายน้ำ18/ ขณะที่เวียดนาม นอกจากมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธสูงแล้ว ยังเป็นฐานการผลิตแม่เหล็กถาวรของบริษัทจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้19/ อีกด้วย นอกจากนี้ อีกความท้าทายหนึ่งคือการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการผลิตโลหะแรร์เอิร์ธและแม่เหล็กก่อให้เกิดของเสียและกากอุตสาหกรรม ซึ่งอาจปนเปื้อนโลหะหนัก จึงต้องมีระบบจัดการกากที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนดินและน้ำ