บทนำ
แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 มาระยะหนึ่ง แต่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของไทยกลับเติบโตต่ำและยังคงซบเซา วิจัยกรุงศรีพบว่า หลังวิกฤติโควิด สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและสินทรัพย์ถาวรที่ใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมของครัวเรือนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นน้อยมาก และยังปรับลดลงในครัวเรือนบางกลุ่มอีกด้วย ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุนก็ปรับลดลงในเกือบทุกกลุ่มรายได้ ขณะเดียวกัน หนี้ครัวเรือนและภาระการชำระหนี้ของครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงด้านเครดิตยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล เครื่องชี้เหล่านี้จึงเป็นสัญญาณเตือนที่ตอกย้ำความเปราะบางทางการเงิน และเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศยังคงอ่อนแอ
ทั้งนี้ แม้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การบรรเทาภาระดอกเบี้ย และการจัดการหนี้นอกระบบ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการเน้นบรรเทาผลกระทบของปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น หากเร่งจัดการแก้ไขต้นตอของปัญหา เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอและการจ้างงานที่ไม่มั่นคง จะเป็นอีกทางออกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างฐานะทางการเงินของครัวเรือนให้แข็งแกร่ง เพื่อให้การใช้จ่ายของครัวเรือนสามารถกลับมาเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตได้ตามระดับศักยภาพ
สินทรัพย์สภาพคล่องของครัวเรือนไทย: เติบโตแบบสะดุด
แม้เศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 เห็นได้จากอัตราการว่างงานลดลงต่อเนื่อง แต่แรงส่งดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาการใช้จ่ายของครัวเรือนยังคงขยายตัวต่ำและมีลักษณะซบเซา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากระดับหนี้ครัวเรือนและภาระการชำระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงซึ่งจำกัดศักยภาพในการใช้จ่าย ขณะเดียวกัน ความเปราะบางของกำลังซื้อยังอาจสะท้อนถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างอื่นๆ ทั้งในด้านรายได้ ความมั่นคงในการจ้างงาน ตลอดจนสินทรัพย์ของครัวเรือนที่ไม่เพิ่มขึ้นตามค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Statistical Office: NSO) ล่าสุดระหว่างปี 2564–2566 พบว่า สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงของครัวเรือนไทยทั้งประเทศ1/ ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 เพิ่มขึ้นน้อยมาก เฉลี่ยเพียง 8,218 บาทต่อครัวเรือนต่อปี (ตารางที่ 1) โดยสินทรัพย์ประเภทต่างๆ สะท้อนถึงความอ่อนแอของกำลังซื้อ ดังนี้
-
เงินฝากธนาคาร: เพิ่มขึ้นเพียง 6,732 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
-
สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุน (เช่น หุ้นกู้ กองทุนรวม และพันธบัตร): มีมูลค่าลดลงเฉลี่ย -1,440 บาทต่อครัวเรือนต่อปี โดยลดลงในเกือบทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน (คิดเป็นสัดส่วนราว 2% ของครัวเรือนไทยทั้งหมด) ที่ลดลงมากถึง -64,824 บาทต่อครัวเรือนต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นที่ลดลง และราคาหุ้นไทยที่ลดลงมากในภาพรวม2/
-
สินทรัพย์สภาพคล่องโดยรวม: สำหรับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 49% ของจำนวนครัวเรือนไทยทั้งหมด พบว่าเพิ่มขึ้นไม่ถึง 2,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
สินทรัพย์ถาวร: ความเปราะบางของครัวเรือนรายได้น้อยและปัญหาการขาดกันชนทางการเงิน
นอกจากมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่องที่แทบจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว เมื่อวิเคราะห์สินทรัพย์ประเภทอื่นเพิ่มเติมโดยเฉพาะสินทรัพย์ถาวรซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความมั่งคั่งของครัวเรือนและสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมได้ อันได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (บ้านและที่ดิน) และรถยนต์ พบว่ายังมีมูลค่าลดลงอีกด้วย ดังนี้
-
ครัวเรือนรายได้น้อย: ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน มูลค่าอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ลดลงถึง -82,294 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ส่วนในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000-20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีสัดส่วน 49% ของครัวเรือนทั้งหมด มีมูลค่าการถือครองสินทรัพย์ในกลุ่มดังกล่าวลดลงกว่า -17,425 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
-
ครัวเรือนรายได้สูง: สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 2% ของครัวเรือนทั้งหมด มูลค่าการถือครองอสังหาริมทรัพย์ลดลงมากถึง -506,648 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ขณะที่มูลค่ารถยนต์เพิ่มขึ้น 143,810 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนรายได้ปานกลาง ที่มีรายได้ระหว่าง 20,000-100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีสัดส่วน 48% ของครัวเรือนทั้งหมด ยังมีความมั่งคั่งที่วัดจากมูลค่าการถือครองสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีมูลค่าการถือครองอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์เพิ่มขึ้น 382,130 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
เมื่อสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเพิ่มขึ้นไม่มากขณะที่สินทรัพย์ถาวรลดลง ความมั่งคั่งของครัวเรือนย่อมลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทย กล่าวคือ ปัญหารายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินสูงในขณะที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัว อีกทั้งสินทรัพย์ที่ลดลงยังส่งผลทางอ้อมให้กำลังซื้อลดลงตาม จากผลกระทบของความมั่งคั่ง (Wealth effect) กล่าวคือ เมื่อสินทรัพย์ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่งคั่งเติบโตน้อย ผู้บริโภคจะรู้สึกไม่มั่นคงและชะลอการใช้จ่ายลง จึงส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนในระดับมหภาคชะลอตัวลงอีก และกลายเป็นวงจรที่หลุดพ้นได้ยาก
นอกจากนี้ สินทรัพย์ถาวรที่ลดลงยังส่งผลให้ครัวเรือนเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น เพราะมีทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกันได้น้อยลง รวมถึงขาดความมั่นคงทางการเงินเมื่อไม่มีเงินสำรองหรือทรัพย์สินไว้รองรับความเสี่ยง หรือขาด “กันชนทางการเงิน” (Financial Buffer) ซึ่งหากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ที่รุนแรงขึ้นและขยายผลเป็นวงจร3/ ที่รุนแรงขึ้นในอนาคต


นอกจากนี้ จากข้อมูลชุดดังกล่าวเรายังเห็นความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองสินทรัพย์ในระดับสูง โดยครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 12% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด แต่ถือครองมูลค่าสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และสินทรัพย์ทางการเงิน รวมกันมากถึง 14.4 ล้านล้านบาท (หรือคิดเป็น 35% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม) ในทางกลับกัน ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีสัดส่วนถึง 49% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด หรือเกือบครึ่งหนึ่งของไทย กลับถือครองสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวมีมูลค่ารวมกันเพียง 10 ล้านล้านบาท (หรือคิดเป็น 24% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม)
เครื่องชี้เหล่านี้สะท้อนว่า ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมีความเปราะบางทางการเงินในระดับสูง และมีกันชนทางการเงินจำกัดหากต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจผันผวนหรือภาระหนี้เพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุนี้ มูลค่าสินทรัพย์ในกลุ่มดังกล่าวที่ลดลงจึงยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการเงินของครัวเรือนกลุ่มนี้ และอาจทำให้การฟื้นตัวของการใช้จ่ายเป็นไปอย่างล่าช้า

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนและความเสี่ยงด้านเครดิต
ท่ามกลางความเปราะบางทางการเงินและสถานะสินทรัพย์ที่อ่อนแอของครัวเรือน ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนก็ยังคงเป็นอีกปัจจัยฉุดรั้งการใช้จ่าย โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 หนี้ครัวเรือนไทยมียอดคงค้างอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.4% ต่อ GDP ซึ่งแม้จะเป็นสัดส่วนที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปีแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงมาจากการชำระคืนหนี้และการหดตัวของสินเชื่อ โดยเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลง -0.12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการหดตัวนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านเครดิตยังคงน่ากังวลและส่งผลให้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่4/ โดยสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing loans: NPLs)5/ รวมถึงหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SMs)6/ ในไตรมาส 2 ปี 2568 แม้ลดลงเล็กน้อย แต่ภาพรวมยังคงอยู่ในระดับสูงในสินเชื่อหลายประเภท
ทั้งนี้ ธปท. เปิดเผยว่ายังคงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด เนื่องจากระดับหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันยังคงสูงกว่าระดับยั่งยืนที่ 80% ตามเกณฑ์ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) และสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



ข้อจำกัดของมาตรการแก้หนี้ในปัจจุบัน
เพื่อรับมือกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ซับซ้อนนี้ รัฐบาลและ ธปท. ได้ร่วมกันออกมาตรการหลายอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการต่างๆ ยังเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้านที่อาจกระทบต่อประสิทธิภาพและความยั่งยืนของการแก้ปัญหาในระยะยาว
ข้อจำกัดแรกที่สำคัญคือปัญหาพฤติกรรมการก่อหนี้ใหม่ มาตรการพักชำระหนี้หรือพักดอกเบี้ยแม้จะช่วยบรรเทาภาระในระยะสั้น แต่อาจสร้างความเสี่ยงด้าน Moral Hazard7/ กล่าวคือ ลูกหนี้บางกลุ่มอาจคาดหวังความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้ไม่ยอมเร่งปรับโครงสร้างทางการเงินตลอดจนพฤติกรรมทางการเงินของตน นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ยังเดินระหว่างช่วงพักหนี้ยังอาจสะสมกลายเป็นภาระหนักเมื่อครบกำหนดชำระ ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายเข้าสู่วงจรหนี้ซ้ำอีกครั้ง
ปัญหาที่สองคือความครอบคลุมของกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เช่น โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ยังอาจไม่สามารถเข้าถึงลูกหนี้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติชำระหนี้ดีแต่ประสบปัญหารายได้ลดลง เนื่องจากลูกหนี้ดังกล่าวจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ยังมีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ จึงไม่เข้าเกณฑ์ในการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการดังกล่าว
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมายยังมีข้อจำกัด8/ ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยยังคงพึ่งพาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง
ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากมาตรการส่วนใหญ่ยังเน้นบรรเทาผลกระทบ มากกว่าการจัดการต้นตอของปัญหา เช่น การจ้างงานที่ไม่มั่นคงและรายได้ที่ไม่เพียงพอ ตลอดจนการให้ความรู้ทางการเงินแก่ครัวเรือน ซึ่งการขาดการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้

ปัญหาเชิงโครงสร้าง: รายได้ที่โตต่ำ โจทย์ใหญ่ของครัวเรือนไทย
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลรายได้และรายจ่ายของครัวเรือนจากผลสำรวจล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระหว่างปี 2564–2566 (ตารางที่ 4) เราจะมองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ กล่าวคือ รายได้โดยเฉลี่ยของครัวเรือนทั้งหมดเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 1,806 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งใกล้เคียงกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นปีละ 1,803 บาทต่อครัวเรือน สะท้อนถึงการขาดรายได้ส่วนเกิน9/ ที่เพียงพอในการใช้จ่ายหรือการออมของครัวเรือนไทย
กลุ่มที่น่ากังวลคือกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 69% ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ กำลังประสบปัญหารายได้โตไม่ทันการเพิ่มขึ้นของรายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีทั้งรายได้และรายจ่ายลดลง แสดงให้เห็นถึงการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มนี้

รายได้ของกลุ่มแรงงานไทยยังคงโตต่ำเมื่อเทียบกับระดับก่อนโควิด ตอกย้ำความเปราะบางทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ
ข้อมูลผลสำรวจด้านแรงงานและค่าจ้างปี 2567 ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนไทย โดยรายได้ของแรงงานเฉลี่ยในรูปตัวเงินในปีดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากระดับก่อนโควิด 11.7% หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยเพียง 2.8% ต่อปี และเมื่อหักผลของเงินเฟ้อแล้ว รายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้นจากระดับก่อนโควิดเพียง 3.2% หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.8% ต่อปีเท่านั้น (ภาพที่ 7) ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังซื้อของประชาชนยังอ่อนแอ ผลจากรายได้และความมั่นคงทางการเงินของแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร
ปัญหาความเปราะบางดังกล่าวพบได้มากที่สุดในกลุ่มแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 7,800 บาทต่อเดือน ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยในรูปตัวเงินลดลงถึง -11.8% (หรือลดลงปีละ -2.5%) และหากหักผลของเงินเฟ้อออกแล้ว รายได้ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -18.5% (ลดลงปีละ -4.0%) จึงอาจกล่าวได้ว่าแรงงานกลุ่มนี้ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจ กำลังประสบกับความยากลำบากทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น และสะท้อนออกมาในระดับมหภาคในรูปแบบของการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแอ

ภาพดังกล่าวตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนไทยที่มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น “แผลเป็น” จากวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563 ที่ทำให้แรงงานไทยมีรายได้ลดลง และสอดคล้องกับมูลค่าสินทรัพย์ที่ครัวเรือนไทยถือครองลดลง นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเงินฝากในระบบธนาคารเพิ่มเติม ยังพบว่าปัญหาการขาดสภาพคล่องกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยกลุ่มผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากธนาคารน้อยกว่า 500,000 บาท ซึ่งมีจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมดรวม 134,097,089 บัญชี หรือคิดเป็นสัดส่วน 97.4% ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมดในประเทศไทย10/ มีเงินออมส่วนเกินลดลงอย่างต่อเนื่อง (ภาพที่ 9)
ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่ากลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกำลังประสบปัญหาในการใช้จ่ายและการเข้าถึงสินเชื่อ รวมถึงการขาดแคลนสภาพคล่องที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในระยะข้างหน้า


มุมมองวิจัยกรุงศรี: ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการฟื้นตัว ซ้ำเติมให้ครัวเรือนไทยยังมีความเปราะบางทางการเงิน
จากผลการศึกษาข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่าภาวะเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนไทยหลังวิกฤติโควิด-19 เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ ที่ยังเผชิญกับรายได้แท้จริงที่ฟื้นตัวช้าและสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ยังไม่แข็งแรง
ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสินทรัพย์ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางดังกล่าว โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ มีสินทรัพย์และกันชนทางการเงินต่ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อ และยังทำให้ครัวเรือนไม่สามารถรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้เพียงพอ ขณะเดียวกัน แม้ระดับหนี้ครัวเรือนจะเริ่มปรับลดลงในบางมิติ แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานสากล และยังมีความเสี่ยงในกลุ่มลูกหนี้บางประเภทที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ
แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลและ ธปท. จะพยายามออกมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การบรรเทาภาระดอกเบี้ย และการจัดการหนี้นอกระบบ แต่ยังเผชิญข้อจำกัดด้านการเข้าถึงและการจัดการต้นตอของปัญหา เช่น รายได้ที่ไม่พอเพียงและการจ้างงานที่ไม่มั่นคง ซึ่งส่งผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของครัวเรือนในรูปแบบต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีจึงมองว่าหากต้องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้สัมฤทธิ์ผลอย่างยั่งยืนและช่วยฟื้นเศรษฐกิจในระยะยาว ควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนอย่างจริงจัง ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องครอบคลุมหลายมิติ ได้แก่ การยกระดับรายได้ผ่านการจ้างงานที่มั่นคง การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานสมัยใหม่ และการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถเป็นแหล่งสร้างงานและรายได้ที่มีคุณภาพและมั่นคง
นอกจากนี้ การส่งเสริมระบบสวัสดิการและสินเชื่อที่สร้างความมั่นคงก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่มีเงื่อนไขเหมาะสมและเข้าถึงได้ รวมถึงการพัฒนาระบบสวัสดิการแรงงานและประกันสังคมที่ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อสร้างกันชนทางการเงินให้กับครัวเรือนในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การแก้หนี้จำเป็นต้องมีความครอบคลุมและยั่งยืน ตั้งแต่การแทรกแซงก่อนเป็นหนี้เสียด้วยระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ การปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละราย ไปจนถึงการจัดการหนี้นอกระบบอย่างจริงจังด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและการให้ทางเลือกทางการเงินที่เหมาะสม
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อปลูกฝังวินัยการเงินที่ดีและป้องกันวิกฤตหนี้ที่วนเวียนอย่างเป็นวงจรหรือรุนแรงขึ้นในอนาคต ซึ่งการพัฒนาความรู้ทางการเงินจำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและขยายไปสู่ประชาชนทั่วไปผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเงิน การลงทุน และการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
โดยสรุปแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภายในประเทศจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างทั่วถึง หากครัวเรือนส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในภาวะเปราะบางทางการเงิน ดังนั้น การแก้ปัญหาหนี้จึงต้องเปลี่ยนมุมมองจากการช่วยเหลือเฉพาะหน้าไปสู่การวางรากฐานเศรษฐกิจภาคครัวเรือนให้มีความมั่นคงและมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพการบริโภคของประเทศ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว และลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง
การดำเนินการดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนรวมถึงภาคการเงินการธนาคาร ตลอดจนภาคประชาสังคม ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสมดุล เพื่อให้ครัวเรือนไทยสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและมีคุณภาพได้อย่างยั่งยืนต่อไป.
แหล่งอ้างอิง
Bank of Thailand. (2024). “หนี้ครัวเรือนไทย วิกฤติแค่ไหน ทำไมถึงไม่ควรมองข้าม?”. Retrieved from https://projects.pier.or.th/household-debt
Chula Digital Collections. (2022). “The Determinants of Thai Household Debt: A Macro-level Study”. Retrieved from https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=1337&context=jdm
Bank of Thailand. (2025). “Media Briefing โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2”. Retrieved from : https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20250701.html
Bank of Thailand. (2025). “Banking Sector Quarterly Brief (Q2 2025)”. Retrieved from : https://www.bot.or.th/en/news-and-media/news/news-20250819-2.html
Krungsri Research. (2024). “หนี้ครัวเรือนและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย)”. Retrieved from : https://www.krungsri.com/getmedia/022e5984-6554-4ec6-bf31-8f6ea7cc3c77/RI_Household_Debt_240516_TH.pdf.aspx
1/ สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ได้แก่ เงินฝากธนาคาร สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุน รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทอง อัญมณี และลูกหนี้
2/ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วงปี 2564-2566 ปรับลดลงกว่า -2.3% ขณะที่ ถ้าคำนวณจากดัชนี ณ ต้นปี 2565 ที่ระดับ 1,664.5 จุด พบว่าอัตราผลตอบแทนลดลงกว่า -14.9% จากแรงกดดันของเศรษฐกิจไทยที่โตในอัตราต่ำและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมถึงไทยที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความเสี่ยง เชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น อาทิ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส
3/ วิกฤตหนี้อย่างเป็นวงจร หมายถึง ภาวะที่บุคคลตกอยู่ในวังวนของการสร้างหนี้สินอย่างต่อเนื่อง โดยอาจมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินตัว ขาดการวางแผนการเงินที่ดีรายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายและภาระหนี้ จนนำไปสู่การก่อหนี้เพิ่มเพื่อประคองการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือนำมาชำระหนี้เก่า
4/ สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังติดลบต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่ -0.9% YoY ซึ่งเป็นการติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี โดยจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง
5/ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPLs) หมายถึง หนี้เสียหรือสินเชื่อที่ค้างชำระมากกว่า 3 เดือน หรือ 90 วัน ติดต่อกัน
6/ หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SMs) หมายถึง หนี้ที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน
7/ Morral Hazard หมายถึง ภาวะที่ผู้มีส่วนได้เสียตัดสินใจรับความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเชื่อว่าตนเองจะไม่ต้องรับผลขาดทุนหรือผลเสียที่ตามมา ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีที่มี ประกันภัย การช่วยเหลือทางการเงิน หรือการอุดหนุนจากรัฐบาล
8/ มาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลยังคงมุ่งเน้นไปที่ลูกหนี้ในระบบมากกว่าลูกหนี้นอกระบบ โดยครอบคลุมเฉพาะหนี้ที่อยู่กับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (เช่น ธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์) ขณะที่ลูกหนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้ไม่มั่นคง มักพึ่งพาเงินกู้นอกระบบซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตความช่วยเหลือโดยตรง อีกทั้งแม้กฎหมายกำหนดบทลงโทษต่อเจ้าหนี้ผิดกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัดด้านการสืบหาต้นตอและความเข้มงวดในการดำเนินคดี ส่งผลให้เจ้าหนี้นอกระบบยังคงดำเนินกิจการได้ต่อไป และลูกหนี้จำนวนหนึ่งไม่กล้าแจ้งความเนื่องจากเกรงการถูกข่มขู่หรือสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงเงินกู้ในอนาคต
9/ รายได้ส่วนเกิน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของรายได้รวมสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายรวมของกลุ่มครัวเรือน ในช่วงปี 2564-2566 เพื่อประเมินความสามารถในการใช้จ่ายและการออมของครัวเรือนแต่ละกลุ่ม
10/ Bank of Thailand: All Commercial Banks' Deposits Classified by Sizes and Maturity (2025), https://app.bot.or.th/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=187&language=ENG