กัญชงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากรัฐบาลประกาศปลดล็อคให้สามารถขออนุญาตปลูก ผลิต นำเข้าเมล็ดพันธุ์ ครอบครอง และจำหน่ายได้ ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลายประกอบกับความต้องการในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นทำให้กัญชงมีศักยภาพที่จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย สามารถต่อยอดเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มหาศาล การที่ไทยมีความสามารถด้านการเพาะปลูกและการผลิตสูง จึงมีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้เล่นหน้าใหม่และสามารถเกาะเกี่ยวการเติบโตในตลาดกัญชงโลกได้ ทั้งนี้ การปลดล็อคการประกอบธุรกิจกัญชงได้เชื่อมโยงไปสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอย่างน้อย 5 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องดื่ม อาหาร ยาและอาหารเสริม เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ด้วยมูลค่าตลาดกัญชงรวมประมาณ 15.8 พันล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เกษตรกรและผู้ประกอบการยังคงเผชิญความท้าทายหลายด้าน เช่น การพัฒนาสายพันธุ์กัญชงให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ความชัดเจนของกฎหมายในการรับรองเพื่อประกอบธุรกิจ เป็นต้น
กัญชง (Hemp) เป็นพืชตระกูล Cannabis sativa L. เช่นเดียวกับกัญชา (Marijuana) มีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol หรือ THC (สารที่มีฤทธิ์ทำให้มึนเมาและเสพติด) ไม่เกิน 1% ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งน้อยกว่ากัญชา แต่มีสาร Canabidiol หรือ CBD (สารที่มีสรรพคุณทางยา) สูงกว่ากัญชา (ภาพที่ 1) ปัจจุบันกัญชงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเทศไทย ภายหลังรัฐบาลประกาศปลดล็อคให้สามารถ “ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง” เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของการขออนุญาตนำไปใช้ประโยชน์ (1) ตามภารกิจของหน่วยงานของรัฐ (2) ใช้เส้นใยตามประเพณี วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัวเท่านั้น (ปลูกได้ครอบครัวละไม่เกินหนึ่งไร่) (3) ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม (4) ในทางการแพทย์ (5) ในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย หรือปรับปรุงพันธุ์ และ (6) ในการผลิตเมล็ดพันธุ์รับรอง (รายละเอียดภาพที่ 2)
การปลดล็อคดังกล่าวโดยเฉพาะการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมนับเป็นความพยายามครั้งสำคัญของภาครัฐที่จะผลักดันให้กัญชงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่[1] ต่างจากกัญชาซึ่งยังถูกจัดเป็นสารเสพติดและอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น[2] โดยกัญชงสามารถต่อยอดเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก โดยเฉพาะ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมปลายน้ำสำคัญ ได้แก่ เครื่องดื่ม อาหาร ยาและอาหารเสริม เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล

กัญชงมีสรรพคุณมากมาย อาทิ ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ช่วยให้นอนหลับสบาย รักษาอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะหรือไมเกรน (Box 1) โดยสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ช่อดอก ใบ เมล็ด เปลือก ลำต้น กิ่งก้าน และราก ซึ่งสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย (Box 2) ตัวอย่างเช่น ช่อดอก นิยมสกัดเอาสารกลุ่ม Phytocannabinoids[3] ที่มีคุณสมบัติทางยา อาทิ CBD (สามารถบริโภคโดยตรง หรือนำไปเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และเวชสำอางต่างๆ) Terpenes (ให้กลิ่นที่นำมาผลิตน้ำหอมและน้ำมันหอมระเหย) ใบ นำมาสกัดเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารและเครื่องดื่ม ปุ๋ยชีวภาพ ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง แผ่นใยไม้อัด ไฟเบอร์กลาส เปลือก ลำต้น ทำเป็นเส้นใย นิยมนำมาทําเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เชือก เสื้อเกราะกันกระสุนชั้นดีที่มีน้ำหนักเบา เยื่อกระดาษ วัสดุหีบห่อ ฉนวนกันความร้อน ไบโอพลาสติก แกนลำต้น มีน้ำหนักเบาใช้ทำอิฐ หรือผสมคอนกรีต (Hempcrete) สำหรับงานก่อสร้าง ส่วนประกอบรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ น้ำมันและสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง (อาทิ โปรตีน วิตามินอี โอเมก้า)


ปี 2563 ตลาดกัญชงโลกมีมูลค่า 4.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ภาพที่ 3) จำแนกตามประเภทของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (อาทิ ครีมทาหน้า ครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ล้างมือ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ) 1.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (สัดส่วน 37.1% ของมูลค่าตลาดกัญชงโลก) รองลงมาได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (25.2%) สิ่งทอ (18.6%) และผลิตภัณฑ์ยา (11.6%) (ภาพที่ 4) แต่หากจำแนกตามการแปรรูป พบว่า กัญชงถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันมากที่สุด มีมูลค่า 2.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (สัดส่วน 45.2% ของมูลค่าตลาดกัญชงโลก) รองลงมาได้แก่ เมล็ดกัญชง (28.8%) และเส้นใย (20.0%) (ภาพที่ 5) ในระยะข้างหน้า Allied Market Research คาดว่าตลาดกัญชงโลกจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 21.6% ต่อปี มาอยู่ที่ 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2570 (แต่ยังถือว่ามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดกัญชาโลก[4])


สารสกัดกัญชงมีราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ความบริสุทธิ์ กระบวนการสกัด สามารถจำแนกได้ 4 ประเภท ดังนี้

บริษัทที่ประกอบธุรกิจกัญชงในตลาดโลกส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน และออสเตรเลีย มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 70-100% ต่อปี (ช่วงปี 2560-2562) แต่เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงต้นของการลงทุน มีต้นทุนการวิจัยและพัฒนาสูง ส่งผลให้กำไรโดยรวมยังอยู่ในระดับไม่สูงนัก

ที่ผ่านมากัญชงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม ทำให้ตลาดในประเทศยังมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นงานหัตถกรรมพื้นฐานที่ถักทอผ้าจากใยกัญชงจำหน่ายโดยศูนย์ศิลปาชีพ ทั้งนี้ มูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาการเพาะปลูกและแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชง ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา โดยในปี 2557 สวพส. ได้ส่งเสริมการปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์ ที่บ้านใหม่คีรีราษฎร์และบ้านใหม่ยอดคีรี ตําบลคีรีราษฎร์ อําเภอพบพระ จังหวัดตาก ในพื้นที่ 97 ไร่ ปัจจุบันได้ขยายไปถึง 150 ไร่ ส่งผลให้ไทยนำเข้าสินค้ากึ่งวัตถุดิบที่ทำจากกัญชงมีมูลค่าประมาณ 4.71 ล้านบาท ในปี 2558 และลดลงเหลือ 2.36 ล้านบาท ในปี 2563 (ภาพที่ 7)

การที่ภาครัฐได้ปลดล็อคการประกอบธุรกิจกัญชงได้สร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมใหม่ ดังนี้

วิจัยกรุงศรีประมาณการมูลค่าอุตสาหกรรมกัญชงของไทย โดยพิจารณาจากมูลค่าของอุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีศักยภาพในการนำกัญชงไปใช้ เพื่อเป็นฐานในการประเมิน ร่วมกับสัดส่วนกัญชงที่คาดว่าจะถูกนำไปใช้ในแต่ละอุตสาหกรรม[5] โดยประเมินผลได้ดังนี้

ไทยมีศักยภาพในการเพาะปลูกพิจารณาจาก

เกษตรกรและโรงงานแปรรูปเริ่มทยอยประกอบธุรกิจ กัญชงมีกฎหมายควบคุมธุรกิจที่ค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะเอกสารการขออนุญาตที่ค่อนข้างจำเพาะและรัดกุม อาทิ หนังสือตรวจสอบประวัติอาชญากรรม กรรมสิทธิ์ที่ดิน แผนที่แสดงที่ตั้งสถานที่ปลูก แบบแปลนอาคารหรือโรงเรือน แผนการผลิต แผนการใช้ประโยชน์ มาตรการรักษาความปลอดภัย และวิธีการทำลายส่วนของกัญชงที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ การขออนุญาตนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมจะต้องทำควบคู่กันทั้งจากผู้ปลูกและผู้แปรรูป โดยเกษตรกรจะต้องมีความพร้อมตั้งแต่การระบุสายพันธุ์กัญชง[6] รวมถึงแผนจำหน่ายให้ผู้ประกอบการรายใด ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมด้านการลงทุนเนื่องจากจะต้องระบุแผนการใช้ประโยชน์และวิธีการทำลายส่วนที่เหลือ สรุปได้ดังนี้
อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางยังเผชิญข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ การนำกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำเป็นต้องอาศัยกฎหมายลูกในการรับรองเพื่อประกอบธุรกิจ โดยในปัจจุบัน มีเพียงอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางที่มีราชกิจจานุเบกษารองรับ[7] อย่างไรก็ตาม การนำกัญชงมาใช้ในอุตสาหรรมดังกล่าวยังมีเงื่อนไขเฉพาะ เช่น อาหารและเครื่องดื่มให้ใช้ส่วนผสมจากกัญชงได้เพียงเมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง และโปรตีนจากเมล็ดกัญชง ส่วนเครื่องสำอางให้ใช้ส่วนผสมที่ได้จากน้ำมันและสารสกัดจากเมล็ดกัญชง โดยวัตถุดิบกัญชงจะต้องมาจากผู้ประกอบการในประเทศเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำเข้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขั้นปลายยังคงต้องรอวัตถุดิบจากผู้ประกอบการโรงสกัด ซึ่งการผลิตออกมาเป็นเกรดมาตรฐาน (ตามมาตรฐานอาหารและยา) จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาสายพันธุ์และผลิตพันธุ์น้ำมัน/สารสกัด โดยคาดว่าจะสามารถจำหน่ายเชิงอุตสาหกรรม/พาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจกัญชงเป็นจำนวนมาก (ตารางที่ 2)


[1] กัญชง เพาะปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย ประเทศไทยสามารถปลูกในพื้นที่เปิดได้ตลอดทั้งปี เพราะสภาพอากาศเอื้ออำนวย (ขณะที่ประเทศในยุโรปต้องปลูกในพื้นที่ปิดเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูง) ระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้นเฉลี่ย 3-4 เดือน ทำให้สามารถปลูกได้ 2-3 รอบต่อปี (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ วัตถุประสงค์ และวิธีเพาะปลูก)
[2] ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ฉบับที่ 2) 2562 ออก ณ วันที่ 30 ส.ค. 2562 ไม่ได้ถอดพืชกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด โดยระบุว่า ทุกส่วนของพืชกัญชา ทั้งใบ ดอก ยอด ผล รวมทั้งวัตถุหรือสารต่างๆ เช่น ยาง น้ำมันในพืชกัญชา ยังคงเป็นยาเสพติด
[3] สารที่ได้จากกัญชงหรือกัญชามีมากกว่า 150 ชนิด อาทิ CBD CBG THC CBC CBN CBV CBGV CBCV เป็นต้น
[4] จากรายงาน Global Cannabis Market ประเมินมูลค่ากัญชาโลกปี 2563 อยู่ที่ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็น กัญชาเพื่อการแพทย์ 6.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 26.7% ของมูลค่าตลาดกัญชาโลก กัญชาเพื่อการสันทนาการ 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สัดส่วน 73.3% (ที่มา: Mordor Intelligence)
[5] พิจารณาจากความเป็นไปได้ทั้งด้านการผลิตของห่วงโซ่อุปทาน การตลาด กฎหมายและการสนับสนุนจากภาครัฐ การนำไปใช้และการลงทุนของภาคเอกชนในแต่ละอุตสาหกรรม สถานการณ์และแนวโน้มของแต่ละอุตสาหกรรมปลายน้ำของไทย
[6] พันธุ์จากเมล็ดพันธุ์รับรอง (เมล็ดพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนในไทยเป็นสายพันธุ์ที่ให้เส้นใยเท่านั้น) พันธุ์ในไทยที่ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์รับรอง และพันธุ์ที่มาจากการนำเข้า ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่ใช้จะต้องให้สาร THC ไม่เกิน 1.0% ต่อน้ำหนักแห้ง
[7] เครื่องสำอางที่ได้รับอนุญาตแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ (1) ผลิตภัณฑ์ช่องปาก ผลิตภัณฑ์จุดซ่อนเร้น และ Soft Gelatin Capsules ต้องมีสาร THC ปนเปื้อนไม่เกิน 0.001% และ (2) เครื่องสำอางทุกประเภทยกเว้นข้อ 1 ต้องมีสาร THC ไม่เกิน 0.2%
[8] กรมวิชาการเกษตรได้จำแนกต้นทุนการผลิต พบว่า ต้นทุนการผลิตต่อไร่กรณีผลิตเป็นเมล็ดกัญชงจะอยู่ที่ประมาณ 8,242 บาท/ไร่ รายได้ประมาณ 26,250 บาท/ไร่ กำไรสุทธิ ประมาณ 18,007.82 บาท/ไร่ สำหรับต้นทุนต้นสดอยู่ที่ประมาณ 9,029 บาท/ไร่ รายได้ต่อไร่ประมาณ 22,500 บาท กำไรสุทธิประมาณ 12,471 บาท/ไร่ ระยะเวลาการผลิต 180 วัน
[9] ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกันกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อน การส่งเสริมการปลูก พืชกัญชง โดยครอบคลุมการผลิตและการตลาดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในแต่ละพื้นที่
[10] ถ้าเป็นกลุ่มสมุนไพรคาดว่าจะใช้ได้เพียงสารสกัดกัญชง ขณะที่ผลิตภัณฑ์อาหารใช้ได้เพียงเมล็ดกัญชง น้ำมันกัญชง และโปรตีนจากเมล็ดกัญชง