บทนำ
ในปัจจุบัน ทั่วโลกมีประชากรกลุ่ม Generation Z หรือ Gen Z อยู่ประมาณ 2 พันล้านคน และในประเทศไทยมีประชากรกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 10.8 ล้านคน1/ หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของแรงงานไทยทั้งหมด เนื่องจาก Gen Z เป็นกลุ่มคนที่เติบโตและคุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยี และอุปกรณ์ดิจิทัล หรือเรียกได้ว่าเป็น Digital native2/ จึงทำให้สามารถเรียนรู้และนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ได้รวดเร็วกว่าช่วงวัยอื่นๆ ในขณะเดียวกัน กระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เริ่มเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันและการทำงานของ Gen Z มากขึ้น โดยในปี 2568 มี Gen Z ใช้ AI ในการทำงานถึงร้อยละ 573/ กลุ่มวัยดังกล่าวจึงเป็นกำลังสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต
บทความฉบับนี้จึงมุ่งเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้งาน AI ของ Gen Z ตลอดจนเสนอแนวทางการปรับตัวขององค์กรเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงถึง 2 ด้านพร้อมกัน ทั้งเทคโนโลยีอย่าง AI และบุคลากรรุ่นใหม่อย่าง Gen Z
Gen Z คือใคร
Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี 2540-2552 หรือปัจจุบันมีอายุระหว่าง 16-28 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพัฒนาอย่างรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทำให้ Gen Z ที่เติบโตมากับสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ มีพฤติกรรม มุมมอง และทักษะเฉพาะที่น่าจับตามอง ดังนี้
-
ให้คุณค่ากับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-life balance): จากผลสำรวจของ Deloitte Global (2568)4/ พบว่า Gen Z วัยทำงานให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากกว่าการเติบโตในองค์กร โดยมีเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นที่มองว่าความก้าวหน้าทางอาชีพเป็นเป้าหมายหลักในชีวิต มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปจากคนรุ่นก่อน นอกจากนี้ Gen Z ยังมองว่าปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มคนวัยเดียวกันเป็นประเด็นทางสังคมที่สำคัญ5/ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาแสวงหาความสมดุล และมีแนวโน้มจะเลือกเส้นทางการทำงานที่ยืดหยุ่นและเอื้อให้พักผ่อนได้อย่างเพียงพอ เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีในระยะยาว
-
คิดเร็ว ไม่ชอบรอ เพราะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลมาตั้งแต่เกิด (Digital Native): เนื่องจาก Gen Z เกิดและเติบโตในเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาและก้าวหน้าอย่างมาก จึงคุ้นเคยกับการตอบสนองต่อคำสั่งอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังคุ้นเคยกับการติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ตโฟนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ส่งผลให้ Gen Z ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและไม่ชอบการรอคอย จนคนในกลุ่มวัยอื่นๆ อาจมองว่าขาดความอดทน
-
ถนัดทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multi-tasking): Gen Z สามารถทำกิจกรรมหรืองานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน สะท้อนจากผลสำรวจของ Native (2567)6/ พบว่า Gen Z หนึ่งคนมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ย 4 เครื่อง และร้อยละ 83 ใช้งานมากกว่าหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน แต่การทำงานหลายอย่างพร้อมกันนี้อาจส่งผลให้ความสามารถในการจดจ่อ (Attention span) ต่ำลง สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Microsoft7/ ที่พบว่ามนุษย์มีความสามารถในการจดจ่อเพียง 8 วินาที สั้นกว่าปลาทองซึ่งอยู่ที่ 9 วินาที อย่างไรก็ตาม ความถนัดเรื่อง Multi-tasking แสดงให้เห็นว่า Gen Z มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
พฤติกรรมการใช้งาน AI ของคนในแต่ละช่วงวัย
แม้เทคโนโลยีที่มาแรงอย่าง AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกช่วงวัย แต่พฤติกรรมการใช้งาน AI แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น เพื่อการศึกษา การทำงาน ความปลอดภัย หรือการดูแลสุขภาพ โดยแต่ละช่วงวัยมีความถนัดและความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน ดังนี้
Gen Z
Gen Z คือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วง 16-28 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน จึงใช้ AI เพื่อการศึกษามากกว่าวัยอื่นๆ โดยผลสำรวจของ SurveyMonkey ในปี 25688/ พบว่าผู้ตอบฯ กลุ่ม Gen Z ใช้ AI เพื่อเพิ่มพูนความรู้มากถึงร้อยละ 61 ขณะที่ Gen Z ในสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานแล้วใช้ AI ในการทำงานสูงถึงร้อยละ 57 ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 37.59/ โดยแพลตฟอร์มที่นิยมใช้งานมากที่สุดคือ ChatGPT10/ นอกจากนี้ ร้อยละ 26.6 ของ Gen Z ยังใช้งาน AI เพื่อความปลอดภัย เช่น เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า หรือการตรวจจับอุบัติเหตุในบ้าน และร้อยละ 20.3 ใช้ในชีวิตประจำวัน11/
Gen Y
Gen Y คือกลุ่มคนที่มีอายุในช่วง 29-44 ปี ซึ่งล้วนอยู่ในวัยทำงานตอนกลาง จึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในระดับหนึ่ง Gen Y จึงนิยมใช้ AI เพื่อปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร้อยละ 35 ของ Gen Y ในประเทศไทยใช้งาน AI เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยเหลือในการทำงาน12/
นอกเหนือจากการทำงานแล้ว ผลสำรวจของ BBDO13/ พบว่า ร้อยละ 28.1 ของ Gen Y ใช้ AI เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อาทิ การวิเคราะห์และแนะนำคอนเทนต์ตามความสนใจของผู้ใช้ในแอปพลิเคชันเพื่อความบันเทิง เช่น Netflix หรือ Spotify และร้อยละ 25 ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย เช่น การตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านผ่านระบบบ้านอัจฉริยะ
Gen X
Gen X คือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วง 45-60 ปี หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นวัยทำงานตอนกลางถึงตอนปลายที่เติบโตมากับการเปลี่ยนผ่านจากยุคอนาล็อกสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว จึงเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพมากที่สุด โดย Gen X ใช้ AI เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน เช่น ร้อยละ 35.2 ใช้ AI สแกนอีเมลเพื่อตรวจจับเนื้อหาที่น่าสงสัยถึง และร้อยละ 27 ใช้ AI เพื่อดูแลสุขภาพตนเอง14/ โดยตัวอย่างการใช้ AI เพื่อดูแลสุขภาพ เช่น ใช้แอปพลิเคชันที่มี AI ช่วยตรวจจับความผิดปกติของร่างกาย หรือใช้นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) ติดตามการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และการนอนหลับ อีกทั้งกลุ่มวัยนี้ร้อยละ 28 ยังใช้ AI เพื่อปรับปรุงการทำงานอีกด้วย
หากองค์กรนำ AI มาให้พนักงาน Gen Z ใช้ทำงาน: ข้อดีและความท้าทาย
เทคโนโลยี AI เริ่มถูกนำมาใช้งานตั้งแต่ปี 2493–2512 (ค.ศ 1950s-1960s)15/ และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนปี 2565 (ค.ศ 2022) ที่เข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์นักสร้าง (Generative AI: GenAI) อย่างเต็มตัว ซึ่ง Gen AI นี้เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังแชทบอทอัจฉริยะอย่าง ChatGPT ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และได้เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตและการทำงานของมนุษย์อย่างมาก ในขณะเดียวกัน ปัจจุบันคนกลุ่มวัย Gen Z กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้คุ้นชินกับการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลรวมถึงสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับ AI ได้อย่างรวดเร็ว
จากความเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน องค์กรจึงควรใช้ศักยภาพของพนักงาน Gen Z ไปพร้อมกับมองหาแนวทางในการใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ โดยข้อดีของการใช้ AI โดยพนักงานวัย Gen Z มีดังนี้
1. เรียนรู้ได้รวดเร็ว จากความได้เปรียบที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล
Gen Z เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีจุดเด่นในการเรียนรู้และการใช้งาน AI ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่นๆ ดังนั้น องค์กรที่รับพนักงาน Gen Z เข้ามาร่วมงานจะสามารถดึงศักยภาพของ Gen Z เพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ตลอดจนเทคโนโลยีอื่นๆ ภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมเป็นเวลานาน
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
Gen Z สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ ไม่ว่าจะช่วยลดขั้นตอนการทำงาน หรือช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรืองานที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะของมนุษย์ โดยผลสำรวจของ Deloitte Global (2568)16/ ชี้ให้เห็นว่า ร้อยละ 78 ของ Gen Z มองว่า เมื่อนำ AI มาใช้ในการทำงานจะช่วยทำให้คุณภาพงานสูงขึ้น และร้อยละ 77 มองว่า AI ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยให้พนักงาน Gen Z ทุ่มเทกับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น
3. ช่วยลดต้นทุนขององค์กร
ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Completely aged society) และกำลังเผชิญกับปัญหาจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลง โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรวัยทำงานในประเทศไทยจะมีสัดส่วนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 56 ในปี 2603 จากร้อยละ 71 ในปี 2563 ซึ่งลดลงมากเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก17/ สะท้อนถึงแนวโน้มการขาดแคลนแรงงานที่จะทวีความรุนแรงในอนาคต ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้องค์กรต้องแข่งขันเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพและอาจเผชิญกับต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Gen Z ก้าวเข้าสู่วัยทำงานและเติบโตเป็นผู้บริหารองค์กรในอนาคต ความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอย่าง AI จะทำให้ Gen Z นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในบางกิจกรรม เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติช่วยงานธุรการ การใช้เครื่องมือดิจิทัลในการบริหารโครงการ รวมถึงการปรับแบบรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานระยะไกล (Remote work) หรือการจ้างงานตามโครงการ แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล ด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กรมากขึ้น
4. ลดกำแพงภาษาในการทำงาน
กำแพงภาษาเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการทำงาน โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในต่างประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาพนักงานที่มีทักษะภาษาหรืออาจต้องว่าจ้างล่าม จึงอาจเป็นปัญหาในบางประเทศที่ขาดแคลนล่ามที่เชี่ยวชาญในบางภาษา แต่ในปัจจุบัน AI ช่วยให้การสื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยผลสำรวจของ Google Workspace ร่วมกับ The Harris Poll (2567)18/ พบว่า กว่าร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสำรวจ19/ ใช้ AI เพื่อร่างและตอบอีเมลเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI ช่วยให้พนักงานสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดข้อผิดพลาดทางการสื่อสาร นอกจากนี้ ความสามารถด้านภาษาของ AI ยังช่วยให้องค์กรสามารถขยายธุรกิจหรือเปิดตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ เมื่อ Gen Z ใช้ AI ในการทำงาน
คนรุ่นใหม่หรือแรงงานวัย Gen Z มองว่า AI ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี A กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากพนักงาน Gen Z ที่ใช้ AI ในการทำงาน โดยเฉพาะด้วยคุณสมบัติของ AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระงาน และเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ตามที่กล่าวไปข้างต้น แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับองค์กรเช่นกัน ทั้งในแง่ทักษะของบุคลากร การเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนความเสี่ยงต่างๆ ที่องค์กรควรตระหนักถึง ดังต่อไปนี้
1. ทักษะการคิดวิเคราะห์อาจลดลงเมื่อใช้ AI มากเกินไป
งานวิจัยจาก MIT (2568)20/ พบว่า ผู้เข้าร่วมทดลองที่ใช้ GenAI ช่วยเขียนเรียงความ มีระดับการทำงานของสมองและได้คะแนนทดสอบการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ AI นอกจากนี้ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้งาน AI เป็นประจำจะจดจำข้อมูลได้น้อยลง ซึ่งอาจนำไปสู่การถดถอยทางความคิดในระยะยาว หรือกล่าวได้ว่าการใช้ AI มากเกินไปจะลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ความจำ และการประมวลผล งานวิจัยชิ้นนี้ย้ำเตือนปัญหาการพึ่งพา AI ในระยะยาวว่าอาจส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z ที่ยังเป็นช่วงวัยที่ต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ซึ่งหากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต
นอกจากนี้ หากพนักงานใช้งาน AI มากเกินไป ผลลัพธ์หรือคำตอบที่ได้อาจขาดความหลากหลายหรือมีความซ้ำซาก โดยบทความของ Harvard business review (2567)21/ ระบุว่า แม้ Gen AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ในงานได้ แต่ Gen AI จะสร้างผลลัพธ์หรือเนื้อหาโดยคาดการณ์จากข้อมูลที่มีอยู่เดิม จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อาจมีความคล้ายคลึงกันหรือแม้กระทั่งซ้ำกันได้
2. องค์กรปรับตัวไม่ทัน
ถึงแม้พนักงาน Gen Z จะสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี AI ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในระดับองค์กร การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ย่อมต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน สะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กร โดย Deloitte USA (2568)22/ ซึ่งพบว่า ราว 4 ใน 10 (ร้อยละ 37) ขององค์กรยังไม่พร้อม หรือกำลังเริ่มเตรียมความพร้อมให้บุคลากรใช้ GenAI ในการทำงาน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการใช้งาน หรือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของบุคลากร ถึงแม้บางองค์กรจะเริ่มปรับตัวแล้วแต่ก็อาจยังล่าช้าและไม่ทั่วถึง จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานรุ่นใหม่รู้สึกว่าการทำงานในองค์กรไม่ตอบโจทย์ความต้องการใช้ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน
3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
ปัจจุบัน GenAI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของพนักงาน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ใช้งาน AI ได้คล่องแคล่ว ดังนั้นความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นความท้าทายสำคัญ เนื่องจากองค์กรอาจเผชิญความเสี่ยงที่พนักงานนำข้อมูลภายในองค์กรไปป้อนเข้าสู่ระบบ AI สาธารณะ โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงด้านการรั่วไหลของข้อมูล โดยรายงานของ Cisco (2567)23/ ระบุว่าร้อยละ 27 ขององค์กรได้สั่งห้ามใช้ GenAI ในที่ทำงาน เนื่องจากกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจ และอาจละเมิดกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 256224/ ดังนั้น หากองค์กรขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้งาน AI ก็อาจเผชิญความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและความมั่นคงทางธุรกิจ
4. ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ของการใช้ AI
องค์กรที่มีพนักงานหลากหลายช่วงวัยมักเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัยซึ่งรวมถึงมุมมองและความเชี่ยวชาญในการใช้ AI ที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละกลุ่ม โดยผลสำรวจของ Barna (2567)25/ พบว่ากลุ่ม Baby Boomer เพียงร้อยละ 18 และ Gen X ร้อยละ 35 เชื่อมั่นว่า AI เป็นกลางและถูกต้อง ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ Gen Y และ Gen Z ที่เชื่อมั่นใน AI สูงถึงราวร้อยละ 50 ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งในการทำงานเมื่อพนักงานบางส่วนนำ AI มาใช้งานในขณะที่ผู้บังคับบัญชาอาจยังไม่รู้สึกสะดวกใจกับ AI มากนัก รวมไปถึงปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้องค์กรนำ AI มาใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ตัวอย่างองค์กรที่ปรับตัวให้เข้ากับพนักงานยุคใหม่ โดยประยุกต์ใช้ AI ในการทำงาน
Deloitte26/
Deloitte ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเงินระดับโลกได้นำระบบ PairD ซึ่งเป็นแชทบอท AI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้พนักงานในยุโรปและตะวันออกกลางประมาณ 75,000 คนใช้งานมาตั้งแต่ปี 2567 ซึ่ง PairD ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยช่วยลดภาระงานด้านเอกสาร และเปิดโอกาสให้พนักงานทุ่มเทเวลากับงานคิดวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์มากขึ้น ทั้งนี้ พนักงานต้องผ่านการอบรมเพื่อให้มีทักษะและความเข้าใจในการใช้ AI อย่างถูกต้องและปลอดภัยจึงจะสามารถใช้งานระบบนี้ได้
นอกจากนี้ Deloitte ยังร่วมมือกับ Dell Technologies27/ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกจากสหรัฐฯ เพื่อนำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่น Latitude 7450 AI PCs มาใช้งานในองค์กร โดยคอมพิวเตอร์รุ่นนี้มีจุดเด่นคือมีระบบ AI ติดตั้งในตัวอุปกรณ์โดยตรง (On-Device AI) และทำงานร่วมกับ AI ผู้ช่วยเขียนโค้ดที่ชื่อว่า Neuron โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหลังจากทดลองใช้งานแล้วพบว่าระบบนี้สามารถลดระยะเวลาการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ ในแต่ละวันลงประมาณร้อยละ 50 อีกทั้งช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการคลาวด์ได้
Well Fargo 28/
Well Fargo ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ นำระบบ Microsoft Copilot + AI มาประยุกต์ใช้กับระบบ Microsoft Teams 29/ เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงาน 35,000 คน ใน 4,000 สาขาทั่วโลก ระบบดังกล่าวช่วยให้พนักงานเข้าถึงคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนปฏิบัติงานภายในกว่า 1,700 รายการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งพาการสอบถามจากเพื่อนร่วมงาน ทั้งนี้ ก่อนการใช้ AI พนักงานใช้เวลาค้นหาข้อมูลเฉลี่ย 10 นาทีต่อคำถาม แต่หลังจากที่นำ AI ประยุกต์ใช้ พบว่าเวลาในการค้นหาข้อมูลลดลงเหลือเพียง 30 วินาทีต่อคำถาม หรือเร็วกว่าเดิมประมาณ 20 เท่า
Unilever 30/
Unilever ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก ต้องใช้เวลาจัดการกับใบสมัครเข้าทำงานกว่า 1.8 ล้านใบต่อปี เพื่อคัดเลือกพนักงานราว 30,000 คนทั่วโลก จึงนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการสรรหา โดยใช้ระบบอัตโนมัติของ Pymetrics ซึ่งช่วยประเมินผู้สมัครผ่านเกมที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบความถนัด ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และการรับความเสี่ยง จากนั้นใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของผู้สมัครที่สมัครตำแหน่งเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทยังนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ภาษากาย น้ำเสียง และเนื้อหาจากวิดีโอสัมภาษณ์ ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาในการประเมินและสัมภาษณ์ผู้สมัครราว 70,000 ชั่วโมงต่อปี ขณะเดียวกันบริษัทยังพัฒนา “Unabot” ซึ่งเป็นแชทบอทที่ทำงานบน Microsoft Bot Framework โดยใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับงาน ระบบไอที สวัสดิการ และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นทำงานซึ่งช่วยให้พนักงานใหม่ปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
มุมมองวิจัยกรุงศรี: เมื่อองค์กรต้องปรับตัว 2 ด้านพร้อมกัน
ท่ามกลางกระแสที่แรงงาน GenZ มีแนวโน้มจะใช้ AI ในการทำงานมากขึ้น และในอนาคตอันใกล้ องค์กรและบริษัทต่างๆ อาจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมใช้ AI เพื่อดึงดูดแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและต้องการใช้ AI เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีมองว่าองค์กรไทยจำเป็นต้องเร่งวางรากฐานการใช้งาน AI ให้มั่นคงและยืดหยุ่นเพียงพอ เพื่อรองรับพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าว โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
กำหนดนโยบายและขอบเขตการใช้งาน AI อย่างชัดเจน เพื่อสร้างแนวทางการใช้งานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนโยบายการใช้งาน AI ควรครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัยและการรักษาความลับของข้อมูล โดยอาจระบุประเภทงานและจำแนกประเภทของข้อมูลที่อนุญาตให้ใช้ AI สนับสนุนได้ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลจากการใช้งาน AI ผ่านช่องทางต่างๆ นอกจากนี้ องค์กรควรสนับสนุนการใช้งานที่เป็นประโยชน์ เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยร่างเอกสาร หรือรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น โดยเน้นย้ำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบแหล่งที่มาและความถูกต้องของข้อมูลเสมอ
จัดอบรมการใช้ AI ให้แก่พนักงานทุกวัย ถึงแม้ว่า Gen Z จะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นอย่างดี แต่การใช้ AI ในบริบทการทำงานและในองค์กรยังต้องการทักษะและความรู้เฉพาะด้านที่อาจแตกต่างจากการใช้เพื่อการศึกษาหรือใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งบริษัท Deloitte Belgium เป็นตัวอย่างบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้าน AI ของพนักงาน โดยพัฒนาโปรแกรมอบรมชื่อว่า Gen AI Fluency31/ เพื่ออบรมการใช้ AI ที่ครอบคลุมการใช้งาน Prompt AI32/ อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจข้อจำกัดและวิธีการตรวจสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ที่เน้นพัฒนาความเข้าใจเชิงลึกของพนักงานในการใช้ AI เป็นผู้ช่วยสนทนากับลูกค้า และการนำ AI ไปใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจ ดังนั้น องค์กรควรจัดรูปแบบการอบรมให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานของพนักงาน เพื่อให้สามารถเรียนรู้การใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และนำไปต่อยอดได้อย่างมีคุณภาพ
ปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
1. ความยืดหยุ่นเชิงกายภาพ (Physical Flexibility)
Gen Z ให้ความสำคัญในเรื่อง Work-Life Balance และความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันก็ช่วยสนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ดังนั้น องค์กรควรปรับรูปแบบการทำงานเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถโดยเปิดโอกาสให้ทำงานแบบ Hybrid33/ หรือ Remote34/ มากขึ้น ในส่วนงานที่เอื้อให้ทำงานในระบบดังกล่าว เช่น เปลี่ยนการประชุมในห้องประชุมเป็นการประชุมทางออนไลน์จากบ้านหรือสถานที่อื่นๆ ผ่านแพลตฟอร์มประชุมออนไลน์ เช่น Microsoft Teams หรือ Zoom นอกจากนี้ องค์กรอาจนำเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตมาใช้เพิ่มเติม เช่น แชทบอทอัจฉริยะที่ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตแบบส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสามารถรับฟังปัญหาและแนะนำแนวทางดูแลตนเองเบื้องต้น ช่วยให้พนักงานรู้สึกได้รับการดูแลแม้ทำงานทางไกล โดย AI ประเภทนี้ถูกนำมาใช้มากขึ้นในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน เช่น โปรแกรมที่กล่าวถึงในบทความ ‘AI in Mental Health: Everything HR & Wellbeing Leaders Need to Know’ ของ Kyan Health35/ ที่ระบุว่า AI สามารถช่วยประเมินความเครียด คัดกรองปัญหา และให้บริการแบบส่วนบุคคลได้ทันที การประยุกต์ใช้ AI อย่างเหมาะสมจึงช่วยให้การทำงานยังสามารถรักษาสมดุลระหว่างผลิตภาพ (Productivity) และคุณภาพชีวิตของพนักงานได้
2. ความยืดหยุ่นเชิงเทคนิค (Technical Flexibility)
องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานให้ยืดหยุ่นและสะดวกมากยิ่งขึ้นได้ โดยอาจเริ่มจากกระบวนการทำงานพื้นฐาน เช่น การใช้เครื่องมือ AI ช่วยสรุปการประชุมได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ AI เพื่อติดตามความคืบหน้าของงานโดยอัตโนมัติได้ เช่น Monday.com ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ AI ที่สามารถติดตาม อัพเดตสถานะงาน รวมถึงประสานงานและแจ้งเตือนเมื่อพนักงานเปลี่ยนแปลงสถานะของงาน โดยบริษัทระดับโลกที่ใช้งาน Monday.com เช่น L’Oréal Adidas Glossier Hershey และ Burger King36/
อย่างไรก็ตาม องค์กรจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จาก AI กับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ โดยแม้จะใช้ AI ช่วยทำงานในหลายๆ ด้าน แต่ยังควรสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารระหว่างพนักงานโดยตรง เพื่อให้พนักงานได้รักษาและพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจบริบททางสังคม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้เต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ องค์กรสามารถลดขั้นตอนการทำงานบางส่วนที่ต้องพึ่งพามนุษย์ด้วยการนำ AI เข้ามาช่วย เช่น การใช้ Azure Form Recognizer37/ เพื่อคัดกรองเอกสารเบื้องต้นแทนการใช้แรงงานมนุษย์ในการคัดกรองจะช่วยลดขั้นตอน ประหยัดเวลาในการทำงาน รวมไปถึงช่วยลดต้นทุนขององค์กรได้ โดยเฉพาะหากองค์กรมีแรงงาน Gen Z ซึ่งคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและปรับตัวกับการใช้ AI ได้ดีก็จะช่วยลดต้นทุนการจ้างแรงงานขององค์กรได้โดยยังรักษาคุณภาพงานแม้จำนวนบุคลากรลดลง
ประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนด้าน AI อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม แม้เทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่การลงทุนใน AI มักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น องค์กรควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจว่ากระบวนการใดที่ใช้ AI แล้วช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริงและสามารถรองรับกับทุกช่วงวัยโดยเฉพาะ Gen Z ที่เปิดรับเทคโนโลยีพร้อมกับต้องการความรวดเร็วและแม่นยำในการทำงาน
แม้แรงงาน Gen Z และเทคโนโลยี AI จะเป็นความท้าทายใหม่ๆ ขององค์กร แต่ทั้งสองก็ถือเป็นอนาคตของโลกการทำงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์กรจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัว ทั้งในเชิงนโยบาย การพัฒนาเครื่องมือ และการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย เพื่อดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ พร้อมกับใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน
References
AI Expert Network (2025): “Case Study: Scaling Innovation with AI at Deloitte.” Retrieved July 24, 2025 from https://aiexpert.network/ai-at-deloitte/
ArXiv (2025): “Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task.” Retrieved July 24, 2025 from https://arxiv.org/pdf/2506.08872v1
Barna Group (2024): “Hesitant & Hopeful: How Different Generations View Artificial Intelligence.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.barna.com/research/generations-ai/
Bernard Marr (2025): “The Amazing Ways How Unilever Uses Artificial Intelligence to Recruit & Train Thousands of Employees.” Retrieved July 24, 2025 from https://bernardmarr.com/the-amazing-ways-how-unilever-uses-artificial-intelligence-to-recruit-train-thousands-of-employees/
BigDATAwire (2024): “Cisco’s 2024 Data Privacy Benchmark Study Spotlights Growing Concerns and Trust Issues in Generative AI.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.bigdatawire.com/this-just-in/ciscos-2024-data-privacy-benchmark-study-spotlights-growing-concerns-and-trust-issues-in-generative-ai/
CampaignLake (2024): “Top 10 Companies Using Monday.com.” Retrieved July 24, 2025 from https://blog.campaignlake.com/10-companies-using-monday-com/
Dell Technologies (2025): “Case Study: Deloitte’s AI Transformation Achieves Productivity Gains to Drive Innovation Anywhere, Anytime.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.dell.com/en-us/lp/dt/customer-stories-deloitte#:~:text=Vision,much%20greater%20security%20and%20privacy
Deloitte (2024): “Generative AI Survey Finds Adoption Is Moving Fast, but Organizational Change Is Key to Accelerate Scaling.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.deloitte.com/us/en/about/press-room/deloitte-generative-ai-survey-finds-adoption-is-moving-fast-but-organizational-change-is-key-to-accelerate-scaling.html
Deloitte Belgium (2025): “PairD, an AI Chatbot Launched by Deloitte Belgium.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.deloitte.com/be/en/about/press-room/paird-ai-chatbot.html
Deloitte Global. (2025, May 14). 2025 Gen Z and Millennial Survey [PDF]. Retrieved July 24, 2025, from https://www.deloitte.com/content/dam/assets-shared/docs/campaigns/2025/2025-genz-millennial-survey.pdf
Faber, E. (2025, June 2). Gen Zs and millennials at work: Pursuing a balance of money, meaning, and well‑being. Deloitte Insights. Retrieved July 24, 2025, from https://www.deloitte.com/us/en/insights/topics/talent/2025-gen-z-millennial-survey.html
Google Workspace & Harris Poll (2024): “New and aspiring leaders use AI to increase their impact at work.” Retrieved July 24, 2025 from https://workspace.google.com/blog/ai-and-machine-learning/rising-leaders-embrace-ai-new-research-google-workspace-and-harris-poll
Harvard Business Review (2024): “Train Your Brain to Work Creatively with Gen AI.” Retrieved July 24, 2025 from https://hbr.org/2024/11/train-your-brain-to-work-creatively-with-gen-ai
Krungsri. (2023, July 24). เคล็ดลับดึงดูดใจลูกค้า Gen Z ของแบรนด์ญี่ปุ่น. Retrieved July 24, 2025, from https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/secret-to-attracting-genz
Kyan Health (2025): “AI in Mental Health: Everything HR & Wellbeing Leaders Need to Know.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.kyanhealth.com/post/ai-for-employee-mental-health
Microsoft WorkLab (2025): “Agents of Change.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.microsoft.com/en-us/worklab/agents-of-change
Native (2024): “Mighty multitaskers – how Gen Z students are getting it all done.” Retrieved July 24, 2025 from https://partner.native.fm/blog/mighty-multitaskers/
Prachachat Online. (2025, March 7). แบ่งกลุ่ม 63 ล้านประชากรไทย แต่ละเจนต่างกันยังไง คนรุ่นไหนใหม่‑เก่า? Prachachat. Retrieved July 24, 2025, from https://www.prachachat.net/general/news-1768310
ScholarshipOwl (2025): “How Gen Z Uses AI: ScholarshipOwl Survey Reveals How Students Are Hacking Their Education and Their Future.” Retrieved July 24, 2025 from https://scholarshipowl.com/blog/gen-z-research/how-gen-z-uses-ai-scholarshipowl-survey-reveals-how-students-are-hacking-their-education-and-their-future
ScholarshipOwl (2025): “How Gen Z Uses AI: ScholarshipOwl Survey Reveals How Students Are Hacking Their Education and Their Future.” Retrieved July 24, 2025 from https://scholarshipowl.com/blog/gen-z-research/how-gen-z-uses-ai-scholarshipowl-survey-reveals-how-students-are-hacking-their-education-and-their-future
SurveyMonkey (2025): “2024 AI Trends By Generation: Who Uses AI The Most?” Retrieved July 24, 2025 from https://www.surveymonkey.com/curiosity/ai-trends-by-generations/
Time (2015): “You Now Have a Shorter Attention Span Than a Goldfish.” Retrieved July 24, 2025 from https://time.com/3858309/attention-spans-goldfish/
World Bank Group (2021): “Aging and the Labor Market in Thailand.” Retrieved July 24, 2025 from https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/aging-and-the-labor-market-in-thailand
1/ แบ่งกลุ่ม 63 ล้านประชากรไทย แต่ละเจนต่างกันยังไง คนรุ่นไหนใหม่-เก่า (ที่มา www.prachachat.net)
2/ เคล็ดลับดึงดูดใจลูกค้า Gen Z ของแบรนด์ญี่ปุ่น (ที่มา www.krungsri.com)
3/ ผลสำรวจของ Deloitte โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจ 23,482 คน จาก 44 ประเทศทั่วโลก (ที่มา 2025 Gen Z and millennial survey | Deloitte Insights)
4/ Ibid.
5/ Enhancing mental well-being by confronting workplace stress (2025 Gen Z and Millennial Survey, pages 40) (ที่มา www.deloitte.com)
6/ Mighty multitaskers - how Gen Z students are getting it all done (ที่มา https://partner.native.fm/)
7/ Science: You Now Have a Shorter Attention Span Than a Goldfish | TIME (ที่มา https://time.com)
8/ 2024 AI Trends By Generation: Who Uses AI The Most? (ที่มา www.surveymonkey.com)
9/ สรุปพฤติกรรมการใช้ AI ในแต่ละ Gen (ที่มา www.facebook.com)
10/ How Gen Z Uses AI (ที่มา https://scholarshipowl.com)
11/ สรุปพฤติกรรมการใช้ AI ในแต่ละ Gen (ที่มา www.facebook.com)
12/ Ibid.
13/ Ibid.
14/ สรุปพฤติกรรมการใช้ AI ในแต่ละ Gen (ที่มา www.facebook.com)
15/ ประวัติความเป็นมาของปัญญาประดิษฐ์ (ที่มา www.sas.com)
16/ Embracing the promise of GenAI (2025 Gen Z and Millennial Survey, pages 20) (ที่มา www.deloitte.com)
17/ Aging and the Labor Market in Thailand (ที่มา www.worldbank.org)
18/ AI gives young leaders the boost they need at work (ที่มา https://workspace.google.com)
19/ ผลสำรวจจากชาวอเมริกาจำนวน 1,005 คน อายุระหว่าง 22–39 ปี
20/ Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task (ที่มา https://arxiv.org)
21/ Train Your Brain to Work Creatively with Gen AI (ที่มา https://hbr.org/)
22/ Deloitte Generative AI Survey finds Adoption is Moving Fast, but Organizational Change is Key to Accelerate Scaling – Press release | Deloitte US (ที่มา www.deloitte.com)
23/ ผลสำรวจของผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลจำนวน 2,600 คน ใน12 ประเทศ
Cisco’s 2024 Data Privacy Benchmark Study Spotlights Growing Concerns and Trust Issues in Generative AI (ที่มา www.bigdatawire.com)
24/ กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการนำข้อมูลส่วนบุคคล
ไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม หรือการนำไปใช้โดยมิชอบ
25/ Hesitant & Hopeful: How Different Generations View Artificial Intelligence (ที่มา www.barna.com)
26/ Case Study: Scaling Innovation with AI at Deloitte - AIX | AI Expert Network (ที่มา https://aiexpert.network/)
27/ Deloitte | Dell USA (ที่มา www.dell.com)
28/ Agents of change (ที่มา www.microsoft.com)
29/ Ibld.
30/ The Amazing Ways How Unilever Uses Artificial Intelligence To Recruit & Train Thousands Of Employees (ที่มา https://bernardmarr.com)
31/ PairD, an AI chatbot launched by Deloitte Belgium (ที่มา www.deloitte.com)
32/ Prompt AI หมายถึง ข้อความหรือคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนให้กับ AI เพื่อสร้างเนื้อหา ตอบคำถาม หรือดำเนินการตามที่ผู้ใช้ต้องการ
33/ การทำงานแบบ Hybrid คือการทำงานแบบผสมผสานระหว่างการทำงานจากบ้าน (remote) และการเข้าสำนักงาน (on-site) อย่างสมดุล เช่นเข้าสำนักงาน 3 วัน และทำงานที่บ้าน 2 วัน (work from home)
34/ การทำงานแบบ Remote คือการทำงานจากแบบระยะไกล พนักงานอาจไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงานหรือเข้าในปริมาณที่น้อย และสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ โดยมีการใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อติดต่อกับทีมงานและบริษัท
35/ AI in Mental Health: Everything HR & Wellbeing Leaders Need to Know (ที่มา www.kyanhealth.com)
36/ Top 10 Companies Using Monday.com (ที่มา https://blog.campaignlake.com/)
37/ Azure Form Recognizer เดิมชื่อ Microsoft Form Recognizer เป็นบริการ AI จาก Microsoft Azure ที่สามารถดึงข้อมูลที่มีโครงสร้างและข้อความออกจากเอกสารและแบบฟอร์มต่างๆ โดยอัตโนมัติและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ หรือเอกสารเฉพาะขององค์กร ทำให้การประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น