ปี 2566 ประเทศไทยเริ่มมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเอลนีโญ (El Niño) และจะเข้าสู่ภาวะนี้อย่างสมบูรณ์ในปี 2567-2568 ส่งผลให้ไทยเผชิญอุณหภูมิและคลื่นความร้อนที่สูงขึ้น ภาวะฝนทิ้งช่วง ปริมาณฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และปริมาณน้ำทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติและในเขื่อนที่ลดลง ซึ่งนำมาสู่ปัญหาภาวะภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำเนื่องจากปริมาณน้ำใช้การได้ในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภค ระบบนิเวศ ภาคเกษตร และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าพืชที่อ่อนไหวต่อภัยแล้งและปริมาณน้ำที่ลดน้อยลง อันได้แก่ข้าวนาปรังและมันสำปะหลัง จะได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2566 ขณะที่ปี 2567-2568 ผลกระทบเชิงลบจะเริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นในพืชสำคัญหลายชนิด อาทิ อ้อย ข้าวโพด ผลไม้ ไม้ยืนต้น ซึ่งพืชบางประเภทสามารถส่งผลกระทบอุตสาหกรรมปลายน้ำมากกว่าต้นน้ำ อาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจได้ราว 5.0 หมื่นล้านบาท (ในกรณีฐาน) คิดเป็น 0.29% ของ GDP และเสียหายได้มากถึง 7.8 หมื่นล้านบาท หรือ 0.45% ของ GDP
หลังจากที่เผชิญกับภาวะลานีญา (La Niña) ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 จนถึงต้นปี 2566 ที่ส่งผลให้ให้อุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและฝนตกชุกกว่าปกติ ในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เผชิญภาวะเอลนีโญ (El Niño) ชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจากค่าดัชนี Oceanic Niño Index (ONI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดค่าอุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกแนวเส้นศูนย์สูตรที่กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (Neutral) หรือมีค่าดัชนีระหว่าง -0.5 oC ถึง 0.5 oC ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวหมายถึงอุณหภูมิผิวน้ำมหาสมุทรมีแนวโน้มกลับมาอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ย หลังจากอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตั้งแต่ปี 2563 สะท้อนว่า ณ ตอนนี้ประเทศไทยจะมีปริมาณฝนอยู่ในระดับปกติ[1] (ภาพที่ 1) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงทิศทางจะพบว่าค่าดัชนี ONI มีทิศทางปรับสูงขึ้น โดยปรับขึ้นจากระดับลานีญาขั้นอ่อน (Weak La Niña [2]) เข้าสู่ระดับปานกลางทิศทางลบ (Neutral Negative) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และขยับขึ้นสู่ระดับปานกลางทิศทางบวก (Neutral Positive) ในเดือนเมษายน 2566 ที่ระดับ 0.1 ประกอบกับแนวโน้มความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเอลนีโญในระยะถัดไปมีค่าสูงถึงกว่า 90% ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปี 2567 (ภาพที่ 2) นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการสลับเปลี่ยนไปมาระหว่างภาวะเอลนีโญและลานีญาที่จะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก ๆ 2-5 ปี[3]
จากภาพรวมอุปทานน้ำที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2566 ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนทั่วประเทศอยู่ที่ 38,390 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 54% ของปริมาตรความจุน้ำในอ่างเก็บกัก ซึ่งต่ำกว่าปี 2561 ที่เป็นช่วงก่อนเกิดภัยแล้งปี 2562 โดยมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 42,813 ล้านลูกบาศก์เมตร (60% ของปริมาณความจุฯ) แต่สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2566 นี้คือปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนพฤษภาคม 2566 นี้อยู่ที่ระดับ 21% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่อยู่ที่ระดับ 27% (ภาพที่ 5) ซึ่งหากภาวะเอลนีโญมีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ ส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการจัดสรรน้ำจึงมีความสำคัญอย่างมาก แต่ด้วยความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ทั้งจากภาคเกษตร อุตสาหกรรม ตลอดจนการใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ประกอบกับปัญหาอื่นๆ เช่น อัตราการระเหยของน้ำจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาน้ำทะเลหนุนสูงทำให้ต้องระบายน้ำจืดจากเขื่อนเพื่อมาผลักดันน้ำเค็ม ปัญหาฝนตกนอกเขื่อนทำให้น้ำไหลเข้าเขื่อนเพื่อกักเก็บได้น้อยลง ดังนั้นหากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ผลกระทบจะขยายไปในวงกว้าง กล่าวคือ ไม่จำกัดเฉพาะภาคเกษตรเท่านั้นแต่ส่งผลต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่อุตสาหกรรมและภาพรวมเศรษฐกิจในที่สุด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำ 4 ประเภท ที่สามารถเรียงตามลำดับความสำคัญได้ ดังนี้
น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และการประปา
น้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐาน[6] เช่น การผลักดันน้ำเค็ม การผลักดันน้ำเสีย และเพื่อการรักษาสมดุลของสิ่งมีชีวิตลุ่มน้ำ[7] เป็นต้น
น้ำเพื่อการเกษตรกรรม โดยเฉพาะเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายนปีถัดไป)
น้ำเพื่อการอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิต[8]
ดังนั้นการกักเก็บและการวางแผนบริหารจัดการน้ำจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะแม้ว่าน้ำต้นทุนอาจจะเพียงพอในปีนี้ แต่หากจัดสรรไม่ดีจะส่งผลต่อปริมาณน้ำที่ต้องใช้ในปีถัดไป
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าภาวะเอลนีโญในครั้งนี้คาดว่าจะยาวนานต่อเนื่อง 1-2 ปี โดยจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2566-2568 ดังนี้
1) ผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรภาวะภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อพืชสำคัญหลายชนิดประกอบด้วย ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมถึงผลไม้ต่างๆ อาทิ มะม่วง ทุเรียน สับปะรด อย่างไรก็ตาม ระดับความเสียหายต่อพืชสำคัญจะมีบริบทที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับประเภทของพืช พื้นที่และภูมิภาคที่เพาะปลูก ช่วงเวลาเพาะปลูก และช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต ยกตัวอย่างเช่น ไม้ยืนต้น อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะม่วง ทุเรียน โดยธรรมชาติแล้วจะสามารถทนแล้งได้นานกว่าพืชระยะสั้นหรือพืชล้มลุก แต่ยังคงได้รับผลกระทบในรูปแบบของปริมาณผลผลิตที่ลดลงตามพื้นที่ปลูกในแต่ละภูมิภาค แต่ในกรณีพืชล้มลุก อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ผลกระทบจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงฤดูเพาะปลูก ช่วงระยะเติบโต และช่วงเก็บเกี่ยว
วิจัยกรุงศรีจึงได้ประเมินผลกระทบในแง่ผลผลิตพืชสำคัญที่ลดลง โดยพืชกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ภัยแล้งและยังมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมปลายน้ำต่างๆ[9] โดยผลกระทบสามารถสรุปได้ในตารางที่ 1 ซึ่งผลผลิตที่ลดลงนี้อาจส่งผลให้ระดับราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาภาวะอุปทานขาดแคลน (Supply shortage) ได้
เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อจำกัดด้านการครอบคลุมของพื้นที่ชลประทาน ฝนทิ้งช่วง ปริมาณพื้นที่เพาะปลูกที่ต้องอาศัยปริมาณน้ำมาก ระดับน้ำในเขื่อนที่จำกัด และต้นทุนการเพาะปลูกที่สูง จึงคาดว่าในปี 2566 ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่อาจเสียหายมาก ได้แก่ ข้าวและมันสำปะหลัง ขณะที่ในปี 2567-2568 ความเสียหายจะครอบคลุมพืชหลายชนิดมากขึ้น โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบสูงอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก สำหรับภาคกลางผลกระทบจะตกอยู่กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นหลัก (ภาพที่ 5) ซึ่งผลผลิตที่ลดลงนี้จะส่งผลให้รายได้ครัวเรือนภาคเกษตรและตลาดแรงงานทางอ้อม (Indirect Labor) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยเผชิญความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นได้อีกด้วย
ในการประเมินผลกระทบภัยแล้งต่อระบบเศรษฐกิจนั้น เรายังต้องคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร วิจัยกรุงศรีจึงได้วิเคราะห์โครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเกษตร โดยเลือกเฉพาะพืชหลักที่อาจได้รับความเสียหายจากภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง อันได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โดยใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-output Table) ปี 2558 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์โครงสร้างการผลิต
ผลการวิเคราะห์พบว่าความสูญเสียที่เกิดจากภัยแล้งไม่ได้จำกัดอยู่ที่ภาคเกษตรเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายไปถึงอุตสาหกรรมต้นน้ำ (Upstream Industry) จากความต้องการใช้สินค้าที่ลดลงตามการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลง ตลอดจนอุตสาหกรรมปลายน้ำ (Downstream Industry) ที่ใช้สินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ ต้องเผชิญความเสียหายในรูปแบบของการลดกำลังการผลิตหรือการจัดหาวัตถุดิบทดแทนซึ่งทำให้ภาระด้านต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ภัยแล้งไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และบริการ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย (ภาพที่ 6)
3) มุมมองวิจัยกรุงศรี: ผลกระทบของภัยแล้งต่อ GDP
เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากภัยแล้งช่วงปี 2557-2559 และ 2561-2562 ที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะมีระดับความรุนแรงใกล้เคียงกับภาวะแล้งในครั้งนี้ วิจัยกรุงศรีจึงคาดการณ์ว่าในครั้งนี้ ภัยแล้งจะฉุดให้ GDP โดยรวมในปี 2566 ลดลง 0.1% จากกรณีฐาน และ GDP ในปี 2567-2568 ลดลงเฉลี่ยปีละ 0.3% จากกรณีฐาน
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษายังพบว่าขนาดของผลกระทบต่อ GDP ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เกิดภาวะเอลนีโญและปริมาณน้ำที่สามารถใช้ได้ ดังนั้น ภัยแล้งในครั้งนี้จะส่งผลรุนแรงต่อ GDP หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการน้ำและแนวโน้มการเกิดฝนในระยะต่อไปเป็นสำคัญ โดยในเบื้องต้นวิจัยกรุงศรีประเมินว่าภาวะเอลนีโญจะกินเวลายาวนานถึงปี 2568 จึงได้จำลองสถานการณ์และประเมินผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกเป็น 2 ช่วงเวลา 3 กรณี (ตารางที่ 2) ดังนี้
ช่วงปี 2566 (ช่วงเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะเอลนีโญ)
กรณีดี (Best case) ความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด 14,736 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% ของ GDP
กรณีฐาน (Base case) มูลค่าความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด 18,241 ล้านบาท คิดเป็น 0.11% ของ GDP
กรณีเลวร้าย (Worst case) ก่อให้เกิดความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด 22,522 ล้านบาท คิดเป็น 0.13% ของ GDP
ช่วงปี 2567-2568 (ช่วงที่เข้าสู่ภาวะเอลนีโญเต็มรูปแบบ) ความเสียหายในช่วง 2 ปีนี้จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะเอลนีโญในแต่ละช่วง และปริมาณน้ำใช้การได้ที่เหลือต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า
กรณีดี จะสร้างความเสียหายมูลค่าต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดปีละ 22,077 ล้านบาท คิดเป็น 0.13% ของ GDP โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกรณีนี้ในปี 2567
กรณีฐาน มูลค่าความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดปีละ 50,174 ล้านบาท คิดเป็น 0.29% ของ GDP
กรณีเลวร้าย ความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดปีละ 77,837 ล้านบาท คิดเป็น 0.45% ของ GDP โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดกรณีนี้ในปี 2568