ปัจจุบัน ความยั่งยืนได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งความผันผวนของราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินการ ข้อกำหนดด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่เข้มงวดมากขึ้นจากนักลงทุนและความต้องการของบริษัทคู่ค้าต่างประเทศที่ให้ต้องใช้พลังงานหมุนเวียน 100% (RE100) ตลอดจนนโยบายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ที่กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องแสดงหลักฐานการลดการปล่อยคาร์บอน แรงกดดันเหล่านี้ไม่เพียงให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ยังกลายเป็นข้อกำหนดที่ธุรกิจต้องปฏิบัติ เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันและรักษาตลาดการค้าและการลงทุนในระยะยาว
การซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) จึงกลายเป็นกลไกสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ในระยะยาว โดย Direct PPA เปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนโดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า ลดความเสี่ยงด้านราคาพลังงาน และยังสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) คือ รูปแบบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานโดยตรงระหว่างผู้ผลิต (เช่น ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน) และผู้ใช้ไฟฟ้า (เช่น บริษัทหรือองค์กร) โดยไม่ต้องผ่านการไฟฟ้าฯ1/ ในฐานะผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียว แตกต่างจากระบบเดิมที่การไฟฟ้าฯทำหน้าที่จัดหาและจำหน่ายไฟฟ้าแบบผูกขาด
ลักษณะสำคัญของ Direct PPA คือ
เป็นสัญญาซื้อขายระยะยาว (10-25 ปี) ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ผู้ผลิตและผู้ใช้
ตกลงราคาค่าไฟฟ้ากันล่วงหน้า ลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก
เชื่อมต่อโดยตรงกับแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์ฟาร์ม หรือกังหันลม
มีทั้งการส่งไฟฟ้าตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้าถึงผู้ใช้ และการส่งผ่านระบบสายส่งไฟฟ้าของผู้ให้บริการ (Grid-Connected) แต่ผู้ใช้ยังซื้อไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิตได้
รับรองพลังงานสีเขียว (Renewable Energy Certificates: RECs) โดยผู้ซื้ออาจได้รับใบรับรอง RECs เพื่อยืนยันว่าไฟฟ้าที่ใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
การเปิดโอกาสให้มี Direct PPA จึงทำให้ธุรกิจมีทางเลือกในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถควบคุมต้นทุนระยะยาว และมีหลักฐานยืนยันการใช้พลังงานสะอาดเพื่อตอบโจทย์ ESG
Direct PPA สามารถจำแนกตามลักษณะการติดตั้งและการใช้โครงข่ายไฟฟ้าได้ 3 ประเภท (ภาพที่ 1) ดังนี้
On-site PPA: เป็นรูปแบบที่ผู้ผลิตติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ของผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง เช่น ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงาน อาคารพาณิชย์ หรือคลังสินค้า สามารถนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาใช้งานทันที โดยไม่ต้องผ่านระบบโครงข่าย (Grid) มีข้อดีคือ ไม่มีการสูญเสียพลังงานจากการส่งไฟฟ้าผ่านระบบสายส่ง และไม่เสียค่าระบบสายส่ง (Wheeling Charge) แต่มีข้อจำกัดคือ ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการติดตั้ง และกำลังการผลิตจะถูกจำกัดด้วยขนาดของพื้นที่ที่มีอยู่
Off-site PPA: เป็นรูปแบบที่ผู้ผลิตมีโรงไฟฟ้าตั้งแยกจากพื้นที่ของผู้ใช้ไฟฟ้า โดยผู้ผลิตจะส่งไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนผ่านสายส่งไฟฟ้า ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า รูปแบบนี้เหมาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการผลิตพลังงานสูง เช่น บริเวณที่มีแสงแดดเข้มข้น หรือพื้นที่ลมแรง ข้อดีของรูปแบบนี้คือ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ปริมาณมากและมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากสามารถเลือกที่ติดตั้งที่เหมาะสมที่สุด แต่ต้องเสียค่าระบบสายส่ง และอาจเกิดการสูญเสียพลังงานระหว่างการส่งไฟฟ้า
Virtual PPA2/: เป็นสัญญาซื้อขายทางการเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้าซื้อใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) จากผู้ผลิตไฟฟ้า ในขณะที่ยังคงใช้ไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายของการไฟฟ้าฯปกติ รูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการยืนยันหรือรับรองการใช้พลังงานสะอาดเพื่อวัตถุประสงค์ด้าน ESG แต่ยังไม่พร้อมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง หรือมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า

รูปแบบที่ 1: Direct PPA ผ่านสายส่งไฟฟ้าของเอกชน (ภาพที่ 2)
รูปแบบนี้เป็นการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง ผ่านสายส่งไฟฟ้าที่เอกชนเป็นเจ้าของ โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งค่าก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า ค่าบำรุงรักษา ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงการกำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ราคาค่าไฟฟ้าจึงผันแปรตามต้นทุนการลงทุน ซึ่งอาจสูงกว่าของการไฟฟ้าฯ และมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เช่น อุปทานไฟฟ้าที่ไม่แน่นอน หรือความเสี่ยงจากการเกิดไฟฟ้าดับ
รูปแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ตามการติดตั้ง คือ
On-site Generation เป็นการผลิตและส่งไฟฟ้าในพื้นที่เดียวกัน ไม่เสียค่าระบบสายส่ง เหมาะกับธุรกิจที่มีพื้นที่เพียงพอและต้องการใช้ไฟฟ้าภายในองค์กรเป็นหลัก และ
Off-site Generation with Private Transmission เป็นการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ที่แยกออกไป มีการลงทุนสร้างสายส่งเองเพื่อส่งไฟฟ้าไปยังพื้นที่ใช้งาน เหมาะกับโครงการที่ต้องการพื้นที่ผลิตไฟฟ้าที่มีศักยภาพสูง เช่น พื้นที่ที่มีแสงแดดเข้มข้นหรือลมแรง แต่จะมีเรื่องของต้นทุนด้านสายส่งและมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

Utility Green Tariff (UGT) โดยการไฟฟ้าฯทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้กับธุรกิจภายใต้อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Green Tariff) ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องรับผิดชอบการบริหารจัดการผลิตและรับซื้อไฟฟ้า รวมถึงไม่ต้องลงทุนสร้างสายส่ง ซึ่งมีข้อดีคือ ช่วยลดความซับซ้อนของสัญญาและต้นทุนในการดำเนินการ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความสะดวกและความมั่นคงในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน และ
Third Party Access (TPA) แนวทางนี้เปิดโอกาสให้บุคคลที่สาม (Third Party) เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายของการไฟฟ้าฯ โดยผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากันโดยตรง และมีผู้ให้บริการ TPA เป็นตัวกลางดูแลการใช้โครงข่ายและจัดการทางเทคนิค รูปแบบนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการแข่งขันในตลาดไฟฟ้า เนื่องจากผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ผลิตสามารถกำหนดราคากันเองตามความต้องการ และสามารถเลือกแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสมกับธุรกิจได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญต่อการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าของไทยในระยะต่อไป


ข้อกำหนดด้าน Environmental, Social, and Governance (ESG) และ Corporate Sustainability กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน สะท้อนได้จากนักลงทุนสถาบันจากบริษัทชั้นนำหรือกองทุนรายใหญ่ของโลกประกาศนโยบายการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น อาทิ BlackRock เรียกร้องให้บริษัทคู่ค้าที่เข้าไปลงทุนเปิดเผยรายงานด้าน ESG ต่อสาธารณะ ในขณะที่ Vanguard ประกาศสนับสนุนบริษัทที่ลงทุนด้าน ESG ซึ่งหากบริษัทใดไม่สามารถแสดงหรือมองข้ามในการดำเนินนโยบายด้าน ESG อาจสูญเสียข้อได้เปรียบทางธุรกิจให้กับคู่แข่งที่ทำเรื่องนี้ และต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
ข้อกำหนดของคู่ค้าต่างประเทศและห่วงโซ่อุปทาน ปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติที่เป็นสมาชิกของ RE100 (100% Renewable Energy) มากกว่า 400 บริษัท รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Google, Microsoft และ Amazon ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีนโยบายใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และต้องการให้ซัพพลายเออร์ปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกัน ตัวอย่างเช่น Apple เรียกร้องให้ซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 รายทั่วโลกต้องเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดและสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินกิจการ8/ ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจไทยจึงต้องหันมาใส่ใจและเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ
การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต้นทุน เป็นปัจจัยจูงใจทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงาน เนื่องจาก Direct PPA สามารถช่วยธุรกิจวางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายดำเนินการได้ในระยะยาว (10-25 ปี) ในราคาที่มักต่ำกว่าการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฯ ตามปกติ9/ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น โรงงานปิโตรเคมีที่ใช้ไฟฟ้าปีละ 100-200 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) อาจสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ (เช่น หลักสิบเปอร์เซ็นต์)10/ ซึ่งเทียบเท่ากับการประหยัดต้นทุนปีละหลายสิบล้านถึงร้อยล้านบาท ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นกับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขนาดโครงการ และเงื่อนไขสัญญา PPA ในแต่ละกรณี
แผน Alternative Energy Development Plan (AEDP) พ.ศ. 2561-2580 หนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจาก 12% ในปี 2561 เป็น 30% ในปี 2580 เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีมูลค่าปีละกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
นโยบาย Nationally Determined Contribution (NDC) มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20-25% ภายในปี 2573 ทำให้ภาคเอกชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น หากไม่ปฏิบัติตามอาจส่งผลให้ประเทศต้องเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่เป็นอุปสรรค อาทิ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป
มาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ ได้แก่ การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียน การยกเว้นภาษีรายได้นิติบุคคลสำหรับการลงทุนในโครงการพลังงาน และการอนุญาตให้หักค่าเสื่อมราคาแบบเร่งได้ 200% สำหรับเครื่องจักรผลิตพลังงานหมุนเวียน มาตรการเหล่านี้ทำให้ต้นทุนการลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความน่าสนใจให้กับโครงการพลังงานสะอาด และช่วยเร่งการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน

ด้านต้นทุนค่าไฟฟ้า
เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการซื้อขายแบบ Direct PPA กับการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฯ พบว่าในระยะยาว Direct PPA จะมีต้นทุนต่ำกว่า โดยเฉพาะธุรกิจที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้โดยไม่ต้องมีส่วนต่างกำไรสูงเหมือนโครงสร้างค่าไฟฟ้าของรัฐที่มีทั้งค่าพลังงาน (Energy Charge) ค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และค่าบริการโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) โดยการติดตั้งแบบ On-site PPA จะมีต้นทุนต่ำสุด เนื่องจากไม่มีค่าระบบสายส่ง แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาการผลิตเฉพาะช่วงที่มีแสงแดด มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ และต้องการการบำรุงรักษา ขณะที่ Off-site PPA มีต้นทุนปานกลาง เพราะมีค่าระบบสายส่งเนื่องจากพึ่งพาระบบโครงข่ายของรัฐ แต่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ปริมาณมาก และมีความยืดหยุ่นในการเลือกที่ตั้งที่เหมาะสม ส่วน Virtual PPA มีต้นทุนสูงสุด โดยไม่ได้ลดค่าไฟฟ้าเท่าที่ควร เนื่องจากยังต้องซื้อไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ และยังมีการซื้อใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ที่ราคาประมาณ 0.2-0.5 บาทต่อหน่วย แต่เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการยืนยันการใช้พลังงานสะอาดเพื่อวัตถุประสงค์ด้าน ESG


การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของ Direct PPA อาจต้องทำความเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมภายนอก (External Factors) และความพร้อมภายใน (Internal Factors) ประเทศควบคู่กัน ทั้งด้านนโยบายภาครัฐ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ในส่วนนี้จึงจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกผ่านกรอบการวิเคราะห์ PESTEL (Political, Economic, Social, Technological, Environmental, Legal) เพื่อระบุปัจจัยภายนอก 6 ด้านที่มีผลต่อ Direct PPA และการประเมินสภาพภายในผ่าน SWOT Analysis ที่ระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความท้าทายของ Direct PPA ซึ่งทั้งสองเครื่องมือนี้ จะช่วยให้องค์กรและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจภาพรวมการขับเคลื่อน Direct PPA ที่ต้องแก้จุดอ่อนและความเสี่ยง (Weaknesses & Threats) พร้อมกับขยายจุดแข็งและโอกาส (Strengths & Opportunities) เพื่อวางแผนเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (รายละเอียดตารางที่ 2 และ 3)

จากตารางที่ 2 และ 3 สะท้อนว่า Direct PPA ของไทยมีโอกาสเติบโตสูง จากแรงผลักดันด้านนโยบาย ความต้องการจากธุรกิจในประเทศและคู่ค้าต่างประเทศ และการสนับสนุนลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ประกอบกับมีจุดแข็งชัดเจนในการช่วยธุรกิจลดต้นทุนและตอบโจทย์ ESG รวมถึงทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับการผลิตพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่ปัจจัยด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถของบุคลากร รวมถึงความเสี่ยงจากการแข่งขันในภูมิภาค และการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ดังนั้น ไทยต้องเปลี่ยนผลจากปัจจัยลบให้เป็นบวก โดยเฉพาะการปฏิรูประบบกฎหมายให้มีความชัดเจนและรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปิดให้บริการ TPA อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้ง สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการลงทุนในเทคโนโลยี Smart Grid, Energy Storage และระบบ Digital Platform ซึ่งจะช่วยยกระดับความยืดหยุ่นของตลาดพลังงานในระยะยาว และการพัฒนาบุคลากรเฉพาะทาง ที่มีความรู้ความเข้าใจในด้าน Direct PPA และเทคโนโลยีใหม่ การดำเนินการเหล่านี้ จึงจะช่วยยกระดับความยืดหยุ่นของตลาดพลังงานในระยะยาว และทำให้ Direct PPA เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจวางแผนกลยุทธ์และบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก
หลังจากได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญที่แสดงถึงโอกาสและความท้าทายที่มีผลกระทบต่อ Direct PPA ในระดับมหภาคแล้ว โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือการปฏิบัติในระดับธุรกิจ โดยแต่ละกลุ่มธุรกิจต้องเลือกรูปแบบ PPA ให้เหมาะสมกับขนาดและความต้องการใช้ไฟฟ้าของตนเอง ซึ่งเริ่มจากรูปแบบของการติดตั้งระบบ (On-site, Off-site และ Virtual PPA) ที่จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ (ตารางที่ 4)
การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารความเสี่ยงด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและคู่ค้าต่างประเทศ นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน และสถาบันการเงิน เป็นสิ่งจำเป็นในการผลักดันให้ตลาด Direct PPA เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

แนวโน้มการลงทุนและตลาดยังคงเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการไฟฟ้าสะอาดในหลายภาคส่วน กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ทำให้โครงการ Direct PPA มีความน่าสนใจมากขึ้น ได้แก่
ธุรกิจพลังงานไทยขยายบริการและร่วมมือกับต่างชาติ บริษัทพลังงาน อาทิ EGCO, BCPG, GPSC, B.Grimm Power รวมถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคตที่ต้องพึ่งพาพลังงานสะอาดมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เศรษฐกิจชีวภาพ (BCG) อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เริ่มขยายบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงการจัดการพลังงาน เช่น การพัฒนาโครงการ Solar Farm และ Wind Farm ขนาดใหญ่ เพิ่มปริมาณพลังงานหมุนเวียนในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี ออสเตรเลีย ในการพัฒนา Smart Grid ถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง สามารถสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ใหม่ เช่น ธุรกิจ Energy Storage ธุรกิจระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (AI-based Energy Management System) และบริการติดตั้ง Solar Rooftop เป็นต้น
การแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เร่งให้ไทยพัฒนา Direct PPA สะท้อนจากเวียดนามที่เปิดตลาด Direct PPA เต็มรูปแบบก่อนไทย โดยมีนโยบายชัดเจนและโครงสร้างพื้นฐานรองรับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด ในขณะที่อินโดนีเซียออกมาตรการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนและเปิดพื้นที่สำหรับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ ดังนั้น หากไทยยังพัฒนาจุดนี้ได้ช้า อาจเสี่ยงสูญเสียโอกาสการลงทุนจากต่างประเทศและตำแหน่งห่วงโซ่อุปทานการผลิตให้แก่ประเทศเหล่านี้
ในปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตในทุกภาคเศรษฐกิจ สำหรับภาคพลังงานแนวโน้มเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบกักเก็บพลังงานจะเป็นตัวเร่งสำคัญ โดยเทคโนโลยีสำคัญที่ขับเคลื่อน Direct PPA ได้แก่ 1) การใช้ AI และ Smart Grid วิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าบริหารจัดการโหลดไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พัฒนา Smart Transformers และเพิ่มความสามารถในการจัดการรูปแบบการใช้ไฟฟ้า การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการระบบโครงข่ายไฟฟ้าแบบอัจฉริยะ 2) Energy Storage Systems (ESS) ช่วยลดปัญหาความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน (ไทยเริ่มมีการลงทุน ESS สำหรับ Solar Farm ขนาดใหญ่ เช่น โครงการใน EEC) 3) Blockchain & Peer-to-Peer Trading ทำให้การซื้อขายไฟฟ้ามีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาไปสู่โมเดล Peer-to-Peer Energy Trading ในอนาคตเมื่อกลไกการซื้อขายผ่าน TPA เปิดเสรีเต็มรูปแบบ (ตารางที่ 5)

พัฒนาผู้ให้บริการเฉพาะทาง (Specialized Service Providers) เช่น บริษัทผู้ให้บริการด้านพลังงาน (Energy Service Company: ESCO) ที่เชี่ยวชาญการออกแบบ วิเคราะห์ และบริหารจัดการโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงผู้ให้บริการด้านการเงิน ที่เข้าใจธุรกิจพลังงานสะอาดและ Direct PPA เพื่อสนับสนุนการจัดหาเงินทุนและบริหารความเสี่ยง รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลงทุนในเทคโนโลยีและงานวิจัย เพื่อให้ไทยก้าวข้ามจากการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี ไปสู่การเป็นผู้พัฒนาและส่งออกเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง สร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานด้านพลังงาน
สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับบริหารจัดการพลังงาน เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้ให้บริการ และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการซื้อขายพลังงาน
ด้านเศรษฐกิจ: ลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เนื่องจากค่าบริการผ่านสายส่งของรัฐต่ำกว่า UGT และสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่ม Data Center และ ธุรกิจ RE100 เข้ามาลงทุนเพิ่ม หากไม่เร่งเปิดเสรี TPA ไทยเสี่ยงสูญเสียการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท รวมถึงโอกาสลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเทคโนโลยีสีเขียว) มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท22/
ด้านสังคม: ส่งผลดีต่อการสร้างงานคุณภาพสูง และยกระดับทักษะแรงงานสู่การจ้างงานในอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Jobs) สะท้อนจากในช่วงปี 2556-2565 มีการจ้างงานในอุตสาหกรรมสีเขียวเพิ่มขึ้นเพียง 1% แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านที่ล่าช้า22/
ด้านสิ่งแวดล้อม: ช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าสะอาด ทำให้ธุรกิจและประเทศบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้เร็วขึ้น
2) ปรับปรุงกฎหมายและลดความซับซ้อนของกระบวนการกำกับดูแล การสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนผ่านกรอบกฎหมายที่ชัดเจนจะทำให้ Direct PPA ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ การเร่งพัฒนามาตรฐานด้านเทคนิคและความปลอดภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและความโปร่งใสของตลาดพลังงาน ควบคู่กับการย่นระยะเวลาการอนุมัติใบอนุญาต จากเดิม 6–12 เดือน เหลือเพียง 3–6 เดือน ผ่านการใช้ระบบออนไลน์ และการจัดตั้ง One Stop Service เพื่อเป็นจุดประสานงานเดียว นอกจากนี้ การปรับปรุงกฎหมายให้รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การซื้อขายพลังงานผ่าน Blockchain การใช้ AI ในการบริหารจัดการพลังงาน และการบูรณาการระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เข้ากับ Direct PPA จะยิ่งช่วยให้ระบบพลังงานมีความยืดหยุ่นและทันสมัยยิ่งขึ้น
3) ให้การสนับสนุนทางการเงินผ่านมาตรการต่างๆ เป็นอีกกลไกสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงของธุรกิจ ทำให้การลงทุน Direct PPA มีความน่าสนใจและเกิดการขยายตัวในวงกว้าง อาทิ การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์พลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงาน ที่ปัจจุบันยังมีภาษีนำเข้าอยู่ที่ 5–10% จะช่วยลดภาระต้นทุนเริ่มต้นของผู้ลงทุนได้ระดับหนึ่ง การมอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษี (Tax Credit) สำหรับการลงทุนในโครงการ Direct PPA ให้สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้ 100–200% ของเงินลงทุนในระยะเวลา 5–10 ปี การจัดตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนโครงการ Direct PPA โดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก และการสร้างกลไกประกันความเสี่ยงด้านเครดิต โดยมีภาครัฐเป็นผู้ค้ำประกัน จะช่วยให้เอกชนสามารถกู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ลดความเสี่ยงด้านการเงิน เพิ่มความมั่นใจแก่นักลงทุน
4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน Direct PPA จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากระบบโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม โดยเฉพาะสายส่งและระบบจัดการพลังงานซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของตลาดไฟฟ้าเสรี ภาครัฐจึงควรเร่งลงทุนใน Smart Grid Infrastructure เพื่อรองรับระบบไฟฟ้าที่มีแหล่งผลิตกระจายตัว เช่น Solar Rooftop, Wind Farm และโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ควบคู่กับการขยายระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความเสถียรและความผันผวนของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และปรับปรุงระบบสายส่งให้สามารถรองรับระบบที่ไฟฟ้าสามารถไหลเข้า-ออกได้สองทิศทาง (Bi-directional Flow) ตลอดจนจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง (Real-time Data Center) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการซื้อขายไฟฟ้า จะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ประกอบการได้ดียิ่งขึ้น
5) พัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ การขับเคลื่อน Direct PPA ยังต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง ทั้งด้านเทคนิค กฎหมาย และการจัดการระบบพลังงาน แนวทางที่ภาครัฐควรดำเนินการ อาทิ เพิ่มหลักสูตรเฉพาะด้านพลังงานหมุนเวียนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงจัดให้มีการอบรมพร้อมการรับรองมาตรฐานวิชาชีพสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศชั้นนำที่มีประสบการณ์ตรงในการบริหารระบบไฟฟ้าที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูง มีการพัฒนา Smart Grid และการสร้างตลาดไฟฟ้าเสรี เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพของบุคลากรและมาตรฐานของไทย ตัวอย่างเช่น เยอรมนีมีนโยบาย Energiewende พร้อมระบบ Smart Grid ที่ใช้งานจริงเพื่อผสานพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่โครงข่าย23/ และออสเตรเลียมีการทดสอบโมเดล Peer-to-Peer Energy Trading และใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer24/
มาตรการต่างๆ ที่นำเสนอนี้ นับว่าเป็นเสาหลักที่ต้องดำเนินการไปด้วยกันทั้ง 5 ด้าน เพื่อสร้างระบบ Direct PPA ที่มั่นคง ยืดหยุ่น และแข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังสนับสนุนเป้าหมายด้าน Carbon Neutrality และ Net Zero ของประเทศให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainability)
ในระยะยาว การนำ TPA มาใช้เต็มรูปแบบจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ตลาดไฟฟ้าไทยเปิดเสรี และมีการแข่งขันได้อย่างแท้จริง พร้อมรองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เช่น Peer-to-Peer Energy Trading และโมเดลธุรกิจพลังงานใหม่ๆ ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Data Center และองค์กรที่มีเป้าหมายสู่ Net Zero และ ESG ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเปลี่ยนแรงกดดันด้านพลังงานให้เป็นโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว การสร้างงานใหม่ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่หากยังล่าช้าและไม่ต่อเนื่อง ไทยอาจสูญเสียการลงทุนและความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เป็นการให้โอกาสแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่เคลื่อนตัวเร็วกว่า ดังนั้น การบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยสู่ระบบพลังงานสะอาดที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับความท้ายทายของโลกยุคใหม่ ที่ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อการอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว