กระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับและบทบาทการค้าภาคบริการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน

กระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับและบทบาทการค้าภาคบริการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน

06 ตุลาคม 2568

บทนำ


กระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization) เป็นหนึ่งในกระแสหลัก (Megatrends) ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจการค้าโลก เนื่องด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมหลายด้าน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศและความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยภาคการส่งออกและนำเข้าสินค้า (Merchandise trade) มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากกระแสดังกล่าวมากกว่าการค้าในภาคบริการ (Commercial Services Trade)

เมื่อมูลค่าการค้าโลกกำลังเติบโตในอัตราชะลอลงและยังต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันต่างๆ ภูมิภาคอาเซียนซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญในห่วงโซ่การผลิตโลกจึงอาจได้รับผลกระทบในแง่ของความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  อย่างไรก็ดี อาเซียนยังมีจุดแข็งในภาคบริการ ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงการส่งออกสินค้า

บทวิเคราะห์นี้จึงมีจุดประสงค์ในการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระแส Deglobalization และทิศทางภาคการค้าและบริการโลก รวมถึงบทบาทของการค้าภาคบริการ1/ ในการเป็นเกราะป้องกันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนในระยะข้างหน้า

 

ความหมาย ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับและทิศทางภาคการค้าและบริการโลก

 

โลกาภิวัตน์หรือ Globalization เป็นกระบวนการที่ทำให้ ผู้คน เงินทุน สินค้า และบริการ ตลอดจนแนวคิดต่างๆ สามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างประเทศได้อย่างเสรีมากขึ้น2/ ซึ่งนำไปสู่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สะท้อนได้จากสัดส่วนมูลค่าการค้ารวม3/ ของทั้งโลกต่อ GDP ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (ภาพที่ 1)
 

Deglobalization and Services
 

อย่างไรก็ดี หลังจากวิกฤตการเงินโลก หรือ Global Financial Crisis ในปี 2551 มูลค่าการค้าโลกต่อ GDP เติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 0.5% (CAGR) ลดลงจากช่วงปี 2536-2551 ที่เติบโตสูงถึงปีละ 2.8% (CAGR) ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของภาคการค้าสินค้า (ภาพที่ 2) ขณะที่การค้าในภาคบริการกลับเติบโตในอัตราสูง แม้ว่าจะยังมีสัดส่วนต่อ GDP โลกน้อยกว่าภาคการค้าสินค้าอยู่มากก็ตาม โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2565 หลังการระบาดของโรคโควิด-19 อัตราการเติบโตของมูลค่าการค้าภาคบริการโลกสูงกว่าอัตราการเติบโตของการค้าสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง (ภาพที่ 3) ทั้งนี้ การชะลอตัวของการค้าโลกดังกล่าวจุดกระแสคำว่า Deglobalization หรือ “โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ในเวทีการค้าระหว่างประเทศหลายเวที โดยสาเหตุที่ทำให้ภาพรวมการค้าสินค้าโลกชะลอลงอาจจำแนกได้ดังนี้
 

Deglobalization and Services


 

Deglobalization and Services
 

 

  1. นโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ภายหลังวิกฤตการเงินโลก เศรษฐกิจที่ชะลอตัวกดดันให้หลายประเทศใช้นโยบายที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ (Inward-looking policy) มากขึ้น และในเวลาเดียวกันก็หันมาใช้ทั้งมาตรการด้านภาษีและมิใช่ภาษีเพื่อปกป้องธุรกิจในประเทศ และลดการพึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศลง ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ รวมถึงนโยบายดึงการลงทุนกลับสู่ประเทศต้นทางมีบทบาทมากขึ้นในเวทีการค้าโลกปัจจุบัน ภายใต้ความหวังที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ

  2. สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2561 และทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่ 2 ด้วยการประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และภาษีรายสินค้า (Sectoral Tariffs) ในอัตราที่สูงกับทั้งจีนและหลายประเทศทั่วโลกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อีกทั้งยังนำอัตราภาษีที่สูงมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าทั่วโลกมีความผันผวนและต้องเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

  3. การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงจากภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าและปัญหาด้านการขนส่ง นอกจากนี้ ประเด็นความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังทำให้รูปแบบการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่การผลิตเปลี่ยนแปลง โดยหันไปสู่การกระจายฐานการผลิตในประเทศพันธมิตรทางการค้า (Friendshoring) และการผลิตภายในภูมิภาค (Regionalization) มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่งและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าของคู่ค้าต่างๆ

ในระยะข้างหน้า หากภาพรวมการค้าโลกยังตึงเครียด และมาตรการกีดกันทางการค้ายังคงคล้ายคลึงกับที่ผ่านมา กล่าวคือ มุ่งเป้าไปที่การส่งออกและนำเข้าสินค้าเป็นหลัก ผลกระทบส่วนใหญ่จะอยู่ที่ภาคการค้าสินค้า ขณะที่การค้าภาคบริการจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดยจะกล่าวถึงเหตุผลในส่วนต่อไป
 


เหตุใดการค้าภาคบริการจึงได้รับผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับน้อยกว่า?

 

นอกจากมูลค่าการค้าในภาคบริการจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการเติบโตแล้ว แนวโน้มดังกล่าวยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการรับมือกับกระแส Deglobalization และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า สาเหตุสำคัญหนึ่งเนื่องจากภาคบริการมีลักษณะจำเพาะที่แตกต่างจากภาคการค้าสินค้า อันได้แก่

  1. การค้าภาคบริการถูกทดแทนได้ยากกว่าการค้าสินค้า หรืออาจกล่าวได้ว่าภาคบริการได้รับผลกระทบจากการทดแทน (Substitution effect) น้อยกว่า เนื่องจากบริการหลายประเภทมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ทดแทนได้ยาก อาทิ 1) การให้บริการที่ผูกติดกับสถานที่ เช่น การท่องเที่ยว บริการส่วนบุคคล หรือระบบขนส่งและการเดินทาง ซึ่งจำเป็นต้องให้บริการในพื้นที่นั้นโดยตรง 2) อุปสรรคด้านภาษา วัฒนธรรม ที่ทำให้ผู้บริโภคยึดติดกับผู้ให้บริการในท้องถิ่น และ 3) ความน่าเชื่อถือของทำเลที่ตั้งของผู้ให้บริการ ซึ่งทำให้การทดแทนยิ่งทำได้ยาก แตกต่างจากการค้าสินค้าซึ่งมักเผชิญการแข่งขันจากสินค้าทดแทนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงและสามารถผลิตจากประเทศอื่นได้ง่าย โดยเฉพาะภายหลังจากที่สหรัฐฯ ปรับมาตรการภาษีศุลกากร ส่งผลให้รูปแบบการส่งออกและนำเข้าสินค้าทั่วโลกเปลี่ยนไป

  2. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับบริการดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ทำให้การค้าภาคบริการมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสูงและมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศน้อยกว่าภาคการผลิตสินค้า โดยเฉพาะธุรกิจบริการดิจิทัลอย่าง บริการทางการเงิน บริการรับจ้างทางธุรกิจ ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ไร้ขีดจำกัดทางภูมิศาสตร์ โดยอาศัยแรงงานและระบบการให้บริการที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ ในทางกลับกัน ภาคการผลิตสินค้ายังคงต้องพึ่งพาการลงทุนเชิงกายภาพ (Physical Investment) เช่น การตั้งโรงงาน คลังสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่มีความผูกติดกับสถานที่เฉพาะ ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าภาคบริการ

ในระยะข้างหน้า การค้าภาคบริการยังมีแนวโน้มเติบโตได้ แม้ว่าอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ บ้างก็ตาม โดยองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO)4/ ประเมินว่าภาคบริการบางสาขา เช่น การขนส่งสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว แต่ในภาพรวมการค้าภาคบริการ5/ ในปี 2568 คาดว่าจะยังขยายตัวได้ที่ 4.0% และจะโตต่อเนื่องที่ 4.1% ในปี 2569 ซึ่งสูงกว่าการค้าสินค้าที่คาดว่าจะหดตัว -0.2% ในปี 2568 และฟื้นตัวในปี 2569 ขยายตัวที่ 2.5% โดยบริการในรูปแบบดิจิทัล (Digitally delivered services) ในกลุ่มบริการด้านเทคโนโลยี ด้านการเงินและประกันภัยมีการแนวโน้มการเติบโตโดดเด่นที่สุด (ภาพที่ 4)

ดังนั้น ภาคบริการจะมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อภาคการค้าสินค้าต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงระเบียบการค้าใหม่ที่ยังไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ภาคบริการยังได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลด้วย

ในบริบทของอาเซียน การค้าภาคบริการนับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของภูมิภาค โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การขนส่ง อีกทั้งภูมิภาคอาเซียนยังมีโอกาสพัฒนาบริการดิจิทัลที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนในระยะต่อไป
 

Deglobalization and Services

 

การค้าภาคบริการ: เกราะป้องกันและกลไกขับเคลื่อนของเศรษฐกิจอาเซียน

 

การค้าภาคบริการโดยรวมของอาเซียนเติบโตได้ดี แม้ว่ามูลค่ารวม6/ ของทั้งอาเซียนในปี 2566 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีขนาดเพียงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการค้าสินค้าทั้งอาเซียน7/ แต่ในช่วงปี 2557-2566 การค้าภาคบริการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.2% ต่อปี (CAGR) สูงกว่าการค้าสินค้าที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 3.4% (ภาพที่ 5) สอดคล้องกับแนวโน้มการค้าภาคบริการทั่วโลกที่เติบโตได้โดดเด่นเช่นกัน
 

Deglobalization and Services


เมื่อมองเฉพาะด้านการส่งออก การส่งออกภาคบริการเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเศรษฐกิจอาเซียน โดยมูลค่าการส่งออกบริการของอาเซียน ในปี 2566 อยู่ที่ 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยที่ 7% ต่อปี (CAGR) จากปี 2558 โดยประเภทบริการที่สำคัญ ได้แก่ การบริการด้านธุรกิจ  เช่น บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจและบริการด้านวิชาชีพ ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกมากที่สุดถึงราว 28% ของมูลค่าการส่งออกภาคบริการทั้งหมดของอาเซียน รองลงมาคือ การขนส่งและการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 24% และ 19% ตามลำดับ (ภาพที่ 6)

 

Deglobalization and Services
 

นอกจากนี้ ภาคบริการดิจิทัลที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก เช่น บริการทางการเงินออนไลน์ บริการทางธุรกิจและระบบคอมพิวเตอร์ จะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลายประเทศในอาเซียนได้เดินหน้าส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจบริการดิจิทัลที่สอดคล้องกับจุดแข็งของแต่ละประเทศ (ตารางที่ 1) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ตามระดับการพัฒนาของเทคโนโลยี ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1: ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี สิงคโปร์ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล จึงเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) ชั้นนำของภูมิภาค 

  • กลุ่มที่ 2: ประเทศที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ไทย เวียดนามและอินโดนีเซีย ที่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจระบบคอมพิวเตอร์ เช่น Data Center และ Cloud Services ขณะที่อินโดนีเซียมีประชากรในประเทศจำนวนมากที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ E-commerce และ Digital Platform

  • กลุ่มที่ 3: ประเทศที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน  ฟิลิปปินส์มุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางบริการรับจ้างทางธุรกิจ (Business Process Outsourcing: BPO) โดยอาศัยจุดเด่นด้านแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษสูง และมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพแรงงาน แม้ว่าจะให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่น้อยกว่าประเทศอื่น


Deglobalization and Services
 
 

ในภาพรวม กรอบความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อยกระดับการรวมตัวในภาคบริการยังเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญของการค้าภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็น ความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement: ATISA) และกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน (ASEAN Services Facilitation Framework: ASFF) เพื่อลดอุปสรรคและขยายโอกาสด้านการค้าและการลงทุนในภาคบริการ ทั้งนี้ อาเซียนได้ตั้งเป้าหมายและมีแผนการดำเนินงานภายใต้ Digital Economy Framework Agreement (DEFA) เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนให้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของภาคบริการดิจิทัลของภูมิภาคได้

นอกจากความสำคัญของภาคบริการต่อการค้าของอาเซียนแล้ว หากมองในภาพกว้าง ภาคบริการยังสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ต่อระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับภาคเกษตรกรรมและภาคการผลิต8/ เนื่องจากภาคบริการก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่มากกว่าภาคการผลิตที่ปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานมีลักษณะกระจายตัวในแต่ละขั้นตอนการผลิต อีกทั้งภาคบริการยังมีสัดส่วนการจ้างงานสูงที่สุดในเกือบทุกประเทศในอาเซียน (ยกเว้น สปป. ลาว) (ภาพที่ 7) แสดงถึงศักยภาพของภาคบริการที่จะขับเคลื่อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของอาเซียนจากภายใน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

Deglobalization and Services
 

มุมมองวิจัยกรุงศรี

 

กระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization) เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้การค้าโลกเติบโตชะลอลง โดยเฉพาะภาคการค้าสินค้าโลก ซึ่งกำลังเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศในเวทีการค้าโลกในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ภาคการค้าบริการ แม้ว่าจะยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับภาคการค้าสินค้า แต่มีการขยายตัวดีโดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2565 หรือหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าอัตราการขยายตัวของการค้าสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงศักยภาพของการค้าภาคบริการอีกเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงภาคการค้าสินค้า

เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในของภูมิภาคอาเซียนแล้ว พบว่า นอกจากภูมิภาคนี้จะเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกสินค้าที่สำคัญของห่วงโซ่การผลิตโลกแล้ว อาเซียนยังมีจุดเด่นด้านการส่งออกภาคบริการ โดยเฉพาะบริการดิจิทัลที่กำลังพัฒนาและขยายตัวต่อเนื่อง โดยวิจัยกรุงศรีประเมินศักยภาพการค้าภาคบริการของอาเซียนผ่านการวิเคราะห์ SWOT ตามตารางที่ 2
Deglobalization and Services
 

จากการวิเคราะห์ SWOT จะเห็นได้ว่า ภาคบริการของอาเซียนมีศักยภาพสูงจากจุดแข็งและโอกาสต่างๆ แต่ก็ยังเผชิญข้อจำกัดสำคัญที่อาจกลายเป็นคอขวดต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น อาเซียนควรให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การยกระดับธุรกิจบริการที่เป็นจุดแข็ง เช่น บริการทางการเงินดิจิทัล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริการทางการแพทย์ เพื่อต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่ม 2) ส่งเสริมรากฐานที่สำคัญผ่านการลงทุนและพัฒนาทรัพยากร ทั้งด้านบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และการปรับปรุงกฎระเบียบในภาคบริการให้สอดคล้องกันในภูมิภาค และ 3) พัฒนาและส่งเสริมบริการด้านเทคโนโลยี เช่น บริการ IT Outsourcing และบริการระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับเมกะเทรนด์โลก

การเร่งส่งเสริมภาคบริการที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี จะช่วยทำให้ภาคบริการมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาเซียน ทั้งในแง่ของการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกสินค้า และเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุด การพัฒนาภาคบริการจะเป็นทั้ง “เกราะป้องกัน” และ “เครื่องยนต์ใหม่” ที่เสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจอาเซียน
พร้อมเผชิญความไม่แน่นอนของการค้าโลกในอนาคต

 

แหล่งอ้างอิง

 

Asian Development Bank. (2020, April). Services, Value Added in Asia and the Pacific, Asian Development Outlook. Retrieved from https://data.adb.org/dataset/services-value-added-asia-and-pacific-asian-development-outlook

The Association of Southeast Asian Nations (ASEAN). (2024, December). ASEAN Key Figures 2024. Retrieved from https://asean.org/serial/asean-key-figures-2024/

World Trade Organization. (2025, April). Global Trade Outlook and Statistics. Retrieved from https://www.wto.org/english
/res_e/publications_e/trade_outlook25_e.htm

 

1/ ข้อมูลของภาคบริการอาจมีข้อจำกัดหลายประการ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลอาจยังไม่ครอบคลุมการบริการที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด โดยเฉพาะกิจกรรมของภาคบริการรายย่อยที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ (Informal Sector) ตลอดจนการวัดปริมาณและมูลค่ากิจกรรมในภาคบริการมีความแตกต่างหลากหลายตามประเภทบริการ นอกจากนี้ การจัดเก็บข้อมูลการค้าภาคบริการในอาเซียนอาจยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

2/ Globalization—the process through which an increasingly free flow of ideas, people, goods, services, and capital leads to the integration of economies and societies (IMF,2002)

3/ ผลรวมของมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการ (Merchandise Trade และ Commercial Services Trade)

4/ Global Trade Outlook and Statistics, World Trade Organization (April 2025)

5/ Trade Volume

6/ ผลรวมของมูลค่าการนำเข้าและส่งออก

7/ ผลรวมของมูลค่าการนำเข้าและส่งออก

8/ ข้อมูลปี 2018 Value Added in Asia and the Pacific, Asian Development Outlook 2020


 
Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา