EXECUTIVE SUMMARY
ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2568-2570 มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากกำลังซื้อที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า หลังเศรษฐกิจไทยมีทิศทางการเติบโตชะลอลงจากผลของสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้นในอัตราช้ากว่าอุปทานมาก ผลจากอุปทานใหม่มีแนวโน้มทยอยเข้าสู่ตลาดต่อเนื่องจากโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ที่จะแล้วเสร็จตามเฟสต่างๆ อย่างไรก็ดี อุปสงค์พื้นที่เช่ายังคงเพิ่มขึ้นในย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นทำเลศักยภาพและมีรูปแบบโครงการที่ทันสมัย รวมถึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานและแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ทำให้อัตราค่าเช่ามีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย สำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพหรือเป็นกลุ่มทุนใหญ่ยังมีแผนขยายการลงทุนพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ มากขึ้น ตามการขยายตัวของชุมชนโดยเฉพาะตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ส่งผลให้อัตราค่าเช่ามีแนวโน้มปรับลดเล็กน้อยจากอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าอุปทานพื้นที่ค้าปลีกใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเพิ่มขึ้นราว 700,000 ตารางเมตร กดดันอัตราการเช่าโดยรวมลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ประเด็นท้าทายของธุรกิจ ได้แก่ (1) กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวช้า (2) การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหม่จากกลุ่มธุรกิจอื่น (3) การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีสินค้าหลากหลาย และ (4) การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ค้าปลีกแบบ Standalone retail ซึ่งรวมถึงในสถานีบริการน้ำมัน อาจส่งผลให้ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกในบางทำเลลดลง
มุมมองวิจัยกรุงศรี
แนวโน้มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2568-2570 สรุปได้ดังนี้
-
พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า (ยกเว้นคอมมูนิตี้มอลล์): รายได้มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทำเลกลางเมืองจะดึงดูดผู้เช่าคุณภาพสูงที่เป็นแบรนด์ใหญ่และแบรนด์ต่างประเทศได้ต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานใหม่จะกระจายไปในแถบชานเมืองซึ่งมีการขยายตัวของที่อยู่อาศัย (เช่น รังสิต และบางนา) ผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความได้เปรียบทั้งด้านเงินทุน การสะสมที่ดินในทำเลศักยภาพ และการบริหารจัดการความหลากหลายของผู้เช่าได้ดี สำหรับพื้นที่ค้าปลีกเดิม ผู้ประกอบการจะเน้นลงทุนปรับปรุงรูปแบบพื้นที่ให้ทันสมัยเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการและผู้เช่าเข้าสู่พื้นที่ ส่งผลให้ค่าเช่าในพื้นที่กลางเมืองจะปรับสูงขึ้นได้เล็กน้อย ส่วนพื้นที่รอบนอกจะทรงตัวต่อเนื่อง
-
คอมมูนิตี้มอลล์: รายได้มีแนวโน้มทรงตัวจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลจากใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก และการหาทำเลพัฒนาโครงการทำได้ง่ายโดยเฉพาะย่านชานเมือง (เช่น รังสิต แจ้งวัฒนะ และลาดกระบัง) อย่างไรก็ตาม อุปสงค์พื้นที่เช่าจะมีอยู่จำกัดตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้การแข่งขันของธุรกิจมีความเข้มข้น ขณะที่การปรับขึ้นค่าเช่าทำได้จำกัด
ข้อมูลพื้นฐาน
พื้นที่ค้าปลีก (Retail space)1/ ในประเทศไทยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลและจังหวัดหลักของภูมิภาค2/ ล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 พื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวน 7.1 ล้านตารางเมตร (ภาพที่ 1) ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของศูนย์การค้า (Shopping mall) ครอบคลุมในส่วนของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด ด้านประเภทของพื้นที่ค้าปลีก แบ่งได้เป็น ศูนย์การค้าแบบปิด (Enclosed mall) คอมมูนิตี้มอลล์ (Community mall) และพื้นที่ค้าปลีกสนับสนุน (Supporting retail) (Box 1) โดยผู้ประกอบการจะดำเนินธุรกิจหลักในลักษณะของการลงทุนพัฒนาพื้นที่โครงการและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้เช่า เพื่อสร้างรายได้หลักจากการให้เช่าพื้นที่


พื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 47% อยู่ในเขตชานเมือง (Suburbs) (ภาพที่ 2 และ 3) ซึ่งการขยายพื้นที่เร่งขึ้นในเขตนี้ เป็นผลจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งถนนและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าหลายโครงการ ทำให้การเดินทางมีความสะดวกมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาศูนย์การค้าขนาดใหญ่ทำได้ยากขึ้นในพื้นที่ใจกลางเมือง จากข้อจำกัดของกฎหมายผังเมืองที่ห้ามก่อสร้างอาคารค้าปลีกขนาดใหญ่ในบางบริเวณของกรุงเทพฯ ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกย่านใจกลางเมือง (Downtown) (ได้แก่ ย่านสีลม สาทร ราชดำริ และสุขุมวิทตอนต้น) หันมาเน้นปรับปรุงรูปแบบอาคารให้ทันสมัยและหรูหราแทนการขยายพื้นที่ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่พื้นที่รอบใจกลางเมือง (Midtown) จะเน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ระดับกลางเป็นหลัก



รูปแบบการเช่าพื้นที่ค้าปลีกสามารถจำแนกตามกลุ่มผู้เช่าและรูปแบบสัญญาเช่า ดังนี้
โดยทั่วไป การทำสัญญาเช่าพื้นที่จะครอบคลุมค่าเช่า 2 ส่วน ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่ (สัดส่วน 40% ของค่าเช่าโดยรวม) และค่าบริการด้านต่างๆ (สัดส่วน 60%) ลักษณะสัญญาเช่าจะจำแนกเป็น
1) สัญญาเช่าพื้นที่ ผู้ให้เช่าจะกำหนดอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรต่อเดือน โดยผู้เช่ามักต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือเป็นรายได้ของผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของพื้นที่ การกำหนดอัตราค่าเช่าจะขึ้นกับขนาดพื้นที่และตำแหน่งที่ตั้งชั้น โดยปกติจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าทุก 3 ปีที่อัตราเฉลี่ย 10%
2) สัญญาบริการ เป็นการกำหนดค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากสัญญาเช่าพื้นที่ เช่น เบี้ยประกันภัย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ ค่าแก๊ส ค่าธรรมเนียมในการจัดการ ค่าซ่อมบำรุง และภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการใช้ เกณฑ์ในการปรับเพิ่มค่าบริการจึงมักพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงเวลา

สถานการณ์ที่ผ่านมา
หลังวิกฤติ COVID-19 คลี่คลาย และมีการเปิดประเทศรับชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ตามปกติในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าได้ทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ สะท้อนจากปี 2566 ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2565 ที่ระดับ 6.5 ล้านตารางเมตร ขณะที่อุปทานพื้นที่ค้าปลีกสะสมเพิ่มขึ้น 3.6% ที่ 6.9 ล้านตารางเมตร โดยมีพื้นที่ค้าปลีกใหม่ (รวมพื้นที่ที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังปิดปรับปรุงในช่วงก่อนหน้า ได้แก่ เซ็นทรัล เวสต์เกต เซ็นทรัลรามอินทรา และมาร์เช่ทองหล่อ) เปิดให้บริการถึง 2.3 แสนตารางเมตร สูงสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่โดยรวมอยู่ที่ 95.4% ใกล้เคียงกับ 95.5% ปี 2565
ปี 2567 ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยมีพื้นที่ค้าปลีกใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ส่วนใหญ่จากโครงการคอมมูนิตี้มอลล์เปิดใหม่ทั้งในพื้นที่ใจกลางเมืองและแถบชานเมือง รวมถึงการกลับมาของพื้นที่ค้าปลีกเดิมซึ่งปิดปรับปรุงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่มีอยู่ต่อเนื่องจไากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (+4.4% จากปี 2566) การเติบโตของภาคท่องเที่ยวทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ (35.5 ล้านคน คิดเป็น 89% ของจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2562) ช่วยหนุนการเช่าพื้นที่ค้าปลีกในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ (อาทิ โครงการ Easy E-Receipt ช่วงต้นปี โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทในเดือนกันยายน) ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เพิ่มขึ้น 4.7% จากปี 2566 โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 63.2 ในช่วงไตรมาสแรก (ภาพที่ 7) นอกจากนี้ โครงข่ายรถไฟฟ้าที่มีความเชื่อมโยงกัน (ล่าสุดมีการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี) ทำให้การเดินทางระหว่างพื้นที่ใจกลางเมืองและพื้นที่รอบนอกมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกยังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวสูง (88.4%ของ GDP ณ ไตรมาส 4/2567) ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มรายได้ปานกลางลงมามีความเปราะบาง หรือมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเป็นระยะ โดยในเดือนกันยายน 2567 เงินบาททำสถิติแข็งค่ามากสุดในรอบ 30 เดือน มีส่วนหนุนให้นักท่องเที่ยวไทยที่มีศักยภาพเดินทางไปเที่ยวและใช้จ่ายซื้อสินค้าในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีมาตรการฟรีวีซ่า เช่น ญี่ปุ่นและจีน


ด้านผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีกมีการปรับตัวต่อเนื่องเพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจที่รุนแรงขึ้น ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงพื้นที่เช่าให้ทันสมัย การปรับโมเดลธุรกิจสู่ระบบออมนิชาแนล (Omni-channel) การพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับโลกเสมือนจริง และการนำเสนอนวัตกรรมใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคอลลิเออร์ส ประเทศไทยพบว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อสินค้าหรือบริการที่สร้างความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัย สำหรับภาวะธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2567 สรุปได้ดังนี้
-
พื้นที่ค้าปลีกเปิดให้บริการใหม่รวม 1.8 แสนตารางเมตร ส่วนใหญ่มาจากคอมมูนิตี้มอลล์ในแถบพื้นที่ชานเมือง (ได้แก่ ไอคอน 56 @สายไหม, JAS Green Village ประเวศ-ลาดกระบัง, ยิ่งเจริญสแควร์, เดอะ พร้อม ดินแดง, เนอวานา พอร์ช คอมมูนิตี้ มอลล์ และเอ็มที คูคต ไลฟ์สไตล์มอลล์) และศูนย์การค้าแบบปิดในโครงการวัน แบงค็อก ส่งผลให้อุปทานพื้นที่ค้าปลีกสะสมอยู่ที่ 7.1 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3.3% จากปี 2566 (ภาพที่ 8) ซึ่ง 74% อยู่ในศูนย์การค้าแบบปิด 18% อยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์ และที่เหลือ (8%) เป็นพื้นที่ค้าปลีกสนับสนุน
-
ความต้องการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1.6 แสนตารางเมตร ส่งผลให้การเช่าพื้นที่ค้าปลีกสะสม (Occupied retail space) อยู่ที่ 6.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 2.4% จากปี 2566 (ภาพที่ 8) โดยความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจด้านสุขภาพ และผู้เช่าที่เป็นแบรนด์ต่างชาติ
-
อัตราการเช่า (Occupancy rate) พื้นที่ค้าปลีกเฉลี่ยที่ 94.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 95.4% ปี 2566 (ภาพที่ 9) ผลจากอุปสงค์การเช่าเพิ่มขึ้นในอัตราช้ากว่าอุปทานพื้นที่ค้าปลีก หากแยกรายพื้นที่ พบว่าอัตราการเช่าพื้นที่ย่านใจกลางเมือง (Downtown) และชานเมือง (Suburbs) ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 9) จากความต้องการเช่าที่เติบโตแข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหาร และแบรนด์ต่างประเทศที่ต้องการทำเลศักยภาพเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง ขณะที่โครงการค้าปลีกย่านชานเมืองได้อานิสงส์จากการขยายตัวของที่อยู่อาศัย สำหรับอัตราการเช่าพื้นที่ค้าปลีกรอบใจกลางเมือง (Midtown) ปรับตัวลดลง จากการแข่งขันที่สูงขึ้นหลังมีพื้นที่ค้าปลีกใหม่ทยอยเข้าสู่ตลาด ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคในพื้นที่ยังฟื้นตัวช้า ทำให้ผู้เช่าบางส่วนชะลอการขยายธุรกิจหรือย้ายไปทำเลที่มีต้นทุนคุ้มค่ากว่า


-
อัตราค่าเช่าพื้นที่โดยรวมทรงตัวจากปีก่อนหน้า โดยย่านใจกลางเมือง (Downtown) ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความหนาแน่นสูง อีกทั้งเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้มีค่าเช่าอัตราค่าเช่าสูงสุดเฉลี่ยที่ 5,500 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน รองลงมา คือ ค่าเช่าในพื้นที่รอบใจกลางเมือง (Midtown) เฉลี่ย 4,800 บาท และย่านชานเมือง (Suburbs) เฉลี่ย 3,000 บาทซึ่งเป็นระดับคงที่มาตั้งแต่ปี 2561 (ภาพที่ 10) และหากพิจารณาราย Segment พบว่าค่าเช่าของศูนย์การค้าแบบปิดย่านใจกลางเมืองมีระดับสูงสุด โดยสูงกว่าระดับสูงสุดของคอมมูนิตี้มอลล์มากกว่า 2 เท่า (ภาพที่ 11)

ภาวะธุรกิจของพื้นที่ค้าปลีกแต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้



แนวโน้มอุตสาหกรรม
ปี 2568 ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ามีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตชะลอลงเหลือ 2.0-2.2% จาก 2.5% ในปี 2567 แม้จะมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ผลักดันการฟื้นตัวของภาคค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมา และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ อาทิ โครงการ Easy E-Receipt และโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน 2568" อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าเกือบทั่วโลกรวมถึงไทย จะเป็นปัจจัยกดดันให้ภาคส่งออกของไทยเติบโตต่ำกว่าที่คาด และกระทบภาคค้าปลีกเติบโตชะลอลงผ่านกำลังซื้อในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้อิงกับภาคการผลิตและส่งออก รวมถึงกำลังซื้อที่อ่อนแอลงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 2.8% จากปี 2567 หรือ 36.5 ล้านคนจากเดิมคาด 38 ล้านคน) โดยนักท่องเที่ยวจีนน่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายช้อปปิ้งสูงสุดในบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด (16.4% ของรายจ่ายช้อปปิ้งรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566) มีผลให้ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% จากปี 2567 ท่ามกลางอุปทานพื้นที่ใหม่จะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีก 246,000 ตารางเมตร ส่วนใหญ่มาจากโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ (Mega Mixed-use Projects) ที่ทยอยแล้วเสร็จตามเฟส ส่งผลให้พื้นที่ค้าปลีกสะสมเพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2567 โดยอยู่ที่ 7.3 ล้านตารางเมตร ขณะที่อัตราการเช่าจะลดลงสู่ระดับ 93.7% จากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้นช้ากว่าอุปทานโดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง

สำหรับปี 2569-2570 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หนุนการเติบโตของธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า สรุปได้ดังนี้
-
ความต้องการเช่าพื้นที่มีแนวโน้มขยายตัวจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ (1) ภาคท่องเที่ยวและการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทำให้กำลังซื้อในประเทศปรับดีขึ้นจากการจ้างงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 41 ล้านคนในปี 2570 หนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ช่วยเพิ่มอุปสงค์พื้นที่ค้าปลีก (2) การขยายเส้นทางคมนาคมของภาครัฐโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายต่างๆ ช่วยหนุนการเติบโตของชุมชนเมือง ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนในเขตปริมณฑลช่วยส่งเสริมการกระจายตัวของศูนย์การค้าและคอมมูนิตีมอลล์ จากความต้องการสินค้าและบริการที่มากขึ้นตามฐานลูกค้า และ (3) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น การเติมเงินให้ผู้สูงอายุ (เฟส 2) มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt และมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" จะเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ ผลสำรวจของ eMarketer (เดือนกุมภาพันธ์ 2567) พบว่ากลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ยังชอบซื้อของในร้านมากกว่าโดยเฉพาะหากเป็นการซื้อสินค้านั้นครั้งแรก ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคยังต้องการซื้อของในร้านค้าที่สามารถจับต้องสินค้าได้ ปัจจัยข้างต้นช่วยหนุนความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.8% ต่อปี (ภาพที่ 16) อย่างไรก็ตาม อัตราดังกล่าวยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.7% ต่อปีในช่วงปี 2560-2562)
-
อุปทานพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.0% ต่อปี หรือ 450,000 ตารางเมตร (ภาพที่ 17) จากการปรับปรุง/ขยายพื้นที่ในสาขาที่มีทราฟฟิกหนาแน่น และพื้นที่ใหม่จากโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ตามเฟสต่างๆ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานและที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย โดย Mixed-use ส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนปทุมวัน รองลงมา คือโซน สีลม สาทร และบางรัก โครงการสำคัญ อาทิ One Bangkok และ Dusit Central Park จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในอนาคต จึงมีแนวโน้มดึงดูดผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกโดยเฉพาะแบรนด์สินค้าต่างประเทศที่เน้นกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทำให้การแข่งขันของธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกในทำเลดังกล่าวจะมีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่กระจายตัวอยู่มาก สำหรับบริเวณรอบนอกเมืองซึ่งได้อานิสงส์จากความเชื่อมโยงของโครงข่ายรถไฟฟ้า ทำให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนพื้นที่ค้าปลีกเพื่อรองรับลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น (อาทิ เดอะ ฟอเรสเทียส์ แบงค็อก มอลล์ และเซ็นทรัลพหลโยธิน)
ผู้ประกอบการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ามีแนวโน้มขยายการลงทุนตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า อาทิ รถไฟฟ้าสายสีส้ม (กำลังก่อสร้าง) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลางไปจนถึงกรุงเทพฯ ชั้นนอก และคาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าตามมาอีกมาก จึงเพิ่มโอกาสการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมถึงเป็นพันธมิตรกับผู้ค้าปลีกจากธุรกิจอื่น และเพิ่มการลงทุนพัฒนาช่องทางออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมภาพลักษณ์และสร้างบรรยากาศดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าในอนาคต

แนวโน้มพื้นที่ค้าปลีกแต่ละประเภทในช่วงปี 2568-2570 มีดังนี้
-
ศูนย์การค้าแบบปิด: อุปทานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทำเลใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านธุรกิจ รวมถึงเขตชานเมืองที่การขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มหนาแน่นมากขึ้น (เช่น รังสิตและบางนา) ส่วนใหญ่เป็นโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมลูกค้าที่ต้องการความสะดวกและครบวงจร โดยทำเลใจกลางเมืองยังคงเป็นที่ต้องการของแบรนด์ชั้นนำและแบรนด์ต่างประเทศ การแข่งขันของธุรกิจมีแนวโน้มทวีความรุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่จากกลุ่มธุรกิจอื่นเข้ามาลงทุนโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ตามมุมเมืองมากขึ้น ด้านอุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่จะเฉลี่ยอยู่ที่ 94% และแนวโน้มค่าเช่าปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
-
คอมมูนิตี้มอลล์: พฤติกรรมคนยุคใหม่จะใช้บริการร้านค้าใกล้บ้าน ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวกโดยใช้เวลาไม่นาน ทำให้คอมมูนิตี้มอลล์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการขยายตัวของเมือง ทำให้อุปทานคอมมูนิตี้มอลล์กระจายสู่นอกเมืองมากขึ้น (เช่น รังสิต แจ้งวัฒนะ และลาดกระบัง) ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหม่ซึ่งเป็นทุนใหญ่จากภาคธุรกิจอื่น (อาทิ อสังหาฯ และพลังงาน) เข้ามาลงทุนสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ของตนเอง ทำให้ธุรกิจนี้มีความท้าทายและการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวกดดันกำลังซื้อ สะท้อนอุปสงค์ที่จะฟื้นตัวช้ากว่าอุปทาน ผู้ประกอบการจึงต้องสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อดึงดูดผู้ใช้บริการทั้งผู้เช่าพื้นที่และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (อาทิ การหาทำเล การหาพันธมิตรทางธุรกิจ การขยายสาขาเพื่อให้ธุรกิจมีการประหยัดจากขนาด หรือการเปิดพื้นที่สำหรับสำนักงานให้เช่า) ส่งผลให้อัตราการเช่าลดลงอยู่ที่ 91% การปรับขึ้นค่าเช่าจึงทำได้อย่างจำกัด
-
พื้นที่ค้าปลีกสนับสนุน: คาดว่าอุปทานพื้นที่เปิดใหม่จะอยู่ที่ 20,000 ตารางเมตรต่อปี ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่จะเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของอุปทาน มีผลให้อัตราการเช่าลดลงสู่ระดับเฉลี่ย 93% อย่างไรก็ตาม ค่าเช่ามีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับขึ้นเล็กน้อยในย่านใจกลางเมือง

-
ประเด็นท้าทายที่ธุรกิจต้องปรับตัวในระยะอันใกล้ ได้แก่ (1) การเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนและอยู่ในทิศทางชะลอลงจะลดทอนกำลังซื้อหรือทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลางลงมาที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือน ขณะที่การเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจน้อยกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ (2) การแข่งขันของธุรกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากอุปทานพื้นที่ค้าปลีกใหม่จำนวนมากจะทยอยเข้าสู่ตลาด (3) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากช่องทางออนไลน์ (E-commerce) เนื่องจากผู้ประกอบการและประเภทสินค้ามีจำนวนมาก จะลดทอนความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยจะอยู่ที่ 750,000 ล้านบาทในปี 2568 จาก 694,000 ล้านบาทปี 2567 หรือเพิ่มขึ้น 8.1% และ (4) พื้นที่ค้าปลีกแนวราบ (อาทิ ร้านค้าแบบ Standalone retail) มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในย่านที่อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อสูงและจุดพักรถ (Rest area) ตามสถานีบริการน้ำมัน อาจส่งผลให้ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกในบางทำเลลดลง


1/ พื้นที่ค้าปลีก หมายถึง ศูนย์การค้า 3 ประเภท ได้แก่ ศูนย์การค้าแบบปิด คอมมูนิตี้มอลล์ และพื้นที่ค้าปลีกสนับสนุน
2/ จังหวัดหลักของภูมิภาค หมายถึง พื้นที่ต่างจังหวัด (ไม่รวมปริมณฑล) ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก และศูนย์กลางความเจริญในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และภูเก็ต
3/ โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-use real estate) คือ โครงการที่มีทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม โดยมีรูปแบบโครงการที่ประกอบด้วยทั้ง ศูนย์การค้า สำนักงาน และที่อยู่อาศัยอยู่ภายในโครงการเดียวกัน