ในช่วงปี 2569-2571 แนวโน้มปริมาณการจำหน่ายอาหารพร้อมทานในประเทศคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 2.3-3.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม การเติบโตในปี 2569 จะยังมีอัตราไม่สูงนัก จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง หนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว แต่คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในปี 2570-2571 แรงหนุนจาก 1) วิถีชีวิตของผู้คนที่เร่งรีบมากขึ้น เอื้ออุปสงค์ต่ออาหารสำเร็จรูปที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว 2) การใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ผลิตเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากขึ้น 3) การขยายตัวของร้านสะดวกซื้อช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่าย และ 4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในตัวสินค้า
ขณะที่ปริมาณส่งออกคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 2.9-3.9% ต่อปี โดยในปี 2569 จะยังคงเผชิญปัจจัยเหนี่ยวรั้งจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว 2) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลัก และ 3) การส่งออกไปยังกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไทยที่จะยังคงชะลอตัวจากปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แต่คาดว่าอัตราการเติบโตจะปรับสูงขึ้นปี 2570-2571 จากทิศทางกำลังซื้อในประเทศคู่ค้าที่น่าจะทยอยฟื้นตัว และแนวโน้มการขยายช่องทางตลาดในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะในประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้า (FTAs, RCEP) กับไทย รวมทั้งยุโรปในกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมอาหารนานาชาติ ส่วนตลาดสหรัฐฯ ผู้ผลิตจะเน้นตลาดพรีเมียมที่นิยมอาหารไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง
ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: แนวโน้มรายได้ยังมีโอกาสเติบโต จากศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องโดยเน้นตลาดผู้บริโภคยุคใหม่และตลาดสินค้าพรีเมียมที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อ ขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่างยังมีโอกาสขยายตัวได้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวจากลักษณะผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย โดยตลาดส่งออกในเอเชียและยุโรปยังมีศักยภาพเติบโตได้ ทั้งจากผู้บริโภคในระดับครัวเรือนและร้านค้าที่นิยมนำผลิตภัณฑ์ไปประกอบอาหารมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ราคาวัตถุดิบหลัก อาทิ ข้าวสาลีที่มีโอกาสผันผวนตามความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยแล้งในประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย และแคนาดา อาจส่งผลต่อต้นทุนและความสามารถในการทำกำไรได้
ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง: การขยายตัวของเมืองเอื้อให้อาหารพร้อมทานรูปแบบต่างๆเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายหลัก รวมถึงวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เน้นความเร่งรีบหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเต็มรูปแบบ
ผู้ผลิตซีเรียลพร้อมทาน: กระแสรักสุขภาพของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับอาหารธัญพืชมากขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายตอบโจทย์ในช่วงเวลาเร่งรีบ ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ของผู้ผลิตยังมีแนวโน้มเติบโตได้ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาดส่งออกที่สูงขึ้น ความผันผวนของราคาธัญพืชและต้นทุนการขนส่ง ซึ่งอาจส่งผลกดดันกำไรของธุรกิจ
ผู้ผลิตซุปพร้อมทาน: ตลาดยังมีกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายค่อนข้างจำกัด จากระดับราคาที่สูงเมื่อเทียบกับซุปตามร้านอาหารหรือปรุงเอง รวมถึงกระแสสุขภาพของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง คาดว่าอาจส่งผลต่อรายได้ของผู้ผลิต
อาหารพร้อมทาน (Ready-to-eat Food) คือ อาหารที่ผ่านการเตรียมหรือปรุงล่วงหน้า และแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมรับประทานได้สะดวก เมื่อจะนำมารับประทานสามารถใช้วิธีผ่านความร้อนเพื่อให้อาหารดูสดใหม่ อีกทั้งยังสะดวกรวดเร็วและง่ายต่อการรับประทาน ในปี 2567 อุตสาหกรรมอาหารพร้อมทานมีปริมาณจำหน่ายในประเทศและส่งออกรวมกัน 531.8 พันตัน และมีมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพึ่งพาตลาดในประเทศ 281.1 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 52.9% ของปริมาณจำหน่ายอาหารพร้อมทานทั้งหมด รวมมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 64.7% ของมูลค่าจำหน่ายอาหารพร้อมทานทั้งหมด โดยอาหารพร้อมทานที่จำหน่ายในประเทศจำแนกเป็น 2 ประเภท (ภาพที่ 1) ได้แก่
อาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นาน (Dried and Shelf Stable Ready-to-eat Foods):
อาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นาน เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานโดยไม่เน่าเสีย ซึ่งผ่านกรรมวิธีแปรรูปอาหารด้วยความร้อน (Thermal Processing) อาทิ การสเตอริไลซ์ (Sterilization)1/ การพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurization)2/ และการทำให้แห้ง (Dehydration) รวมถึงอาจจะมีการปิดผนึกบรรจุภัณฑ์ด้วยสุญญากาศ (Vacuum-Sealed) กระบวนการเหล่านี้จะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์อื่นๆ ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย
ในปี 2567 อาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นานมีปริมาณจำหน่ายในประเทศ 166.1 พันตัน คิดเป็นมูลค่า 796.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 59.1% ในเชิงปริมาณ และ 51.5% ในเชิงมูลค่าของอาหารพร้อมทานที่จำหน่ายในประเทศ จำแนกออกเป็น 1) อาหารพร้อมทานแบบแห้ง (Dried Ready-to-eat Food) คิดเป็นสัดส่วน 99.0% ในเชิงปริมาณของอาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นาน ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งมีสัดส่วน 90.2% ของอาหารพร้อมทานแบบแห้ง ตามด้วย อาหารพร้อมทานแบบแห้งอื่นๆ 4.9% และซีเรียลพร้อมทาน 3.9% ของอาหารพร้อมทามแบบแห้งทั้งหมด และ 2) อาหารพร้อมทานแบบเก็บรักษาได้นาน3/ (Shelf-stable Ready-to-eat Food) คิดเป็นสัดส่วน 1.0% ในเชิงปริมาณของอาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นาน อาทิ กับข้าวพร้อมทานบรรจุถุง (Retort Pouch)4/ ข้าวสวยพร้อมทาน น้ำพริกสำเร็จรูป
อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นและแช่แข็ง (Chilled and Frozen Ready Meals):
อาหารแช่เย็นเป็นการเก็บรักษาอาหารไว้ที่อุณหภูมิ 2-6 องศาเซลเซียส สามารถคงคุณภาพได้ประมาณ 3-7 วัน ส่วนอาหารแช่แข็งจะเก็บรักษาอาหารไว้ที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า เพื่อป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียและการเน่าเสียของผลิตภัณฑ์ จึงสามารถรักษาความสดและรสชาติของอาหารไว้ได้นาน (สูงสุดประมาณ 18 เดือน) โดยบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ต้องทนทานต่ออุณหภูมิต่ำเพื่อเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ รวมถึงต้องทนความร้อนสูงเมื่อผู้บริโภคนำไปอุ่นร้อนก่อนรับประทาน5/
ในปี 2567 อาหารแช่เย็นและแช่แข็งมีปริมาณจำหน่ายในประเทศ 115.0 พันตัน คิดเป็นมูลค่า 749.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 40.9% ในเชิงปริมาณ และ 48.5% ในเชิงมูลค่าของอาหารพร้อมทานที่จำหน่ายในประเทศ จำแนกออกเป็น อาหารแช่แข็งคิดเป็นสัดส่วน 55.8% ของปริมาณจำหน่ายอาหารแช่เย็นและแช่แข็งทั้งหมดในประเทศ ที่เหลือ 44.2% เป็นอาหารแช่เย็น

ในปี 2567 ปริมาณส่งออกอาหารพร้อมทานโดยรวมอยู่ที่ 250.7 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 47.1% ของปริมาณจำหน่ายอาหารพร้อมทานทั้งหมด โดยมีคิดเป็นมูลค่า 842.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 35.3% ของมูลค่าจำหน่ายอาหารพร้อมทานทั้งหมด (ภาพที่ 2) โดยประเทศสหรัฐฯเป็นคู่ค้าหลัก มีสัดส่วน 17.9% ในเชิงปริมาณตามมาด้วย ออสเตรเลีย (13.2%) ลาว (9.1%) กัมพูชา (7.1%) และเมียนมา (7.0%) โดยผลิตภัณฑ์ส่งออก จำแนกเป็น
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป6/ มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 98.9 พันตัน มีมูลค่า 309.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 39.5% ในเชิงปริมาณ และ 36.7% ในเชิงมูลค่าของการส่งออกอาหารพร้อมทานตามลำดับ โดยประเทศกัมพูชาเป็นคู่ค้าหลักมีสัดส่วน 15.7% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รองลงมาได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (15.4%) ลาว (11.3%) เมียนมา (10.8%) และสหรัฐฯ (9.2%) ตามลำดับ
ซีเรียล7/ มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 89.4 พันตัน มีมูลค่า 288.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 35.7% ในเชิงปริมาณ และ 34.2% ในเชิงมูลค่าของการส่งออกอาหารพร้อมทานตามลำดับ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าหลักมีสัดส่วน 27.0% ของปริมาณส่งออกซีเรียล รองลงมาได้แก่ ออสเตรเลีย (24.5%) เดนมาร์ก (8.1%) ฟิลิปปินส์ (8.0%) และจีน (5.2%) ตามลำดับ
อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง8/ มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 60.5 พันตัน มีมูลค่า 237.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 24.1% ในเชิงปริมาณ และ 28.2% ในเชิงมูลค่าของการส่งออกอาหารพร้อมทานตามลำดับ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าหลักมีสัดส่วน 18.7% ของปริมาณส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง รองลงมาได้แก่ ลาว (13.0%) ออสเตรเลีย (10.6%) เมียนมา (8.0%) และฝรั่งเศส (5.6%) ตามลำดับ
ซุปพร้อมทาน9/ มีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 1.8 พันตัน มีมูลค่า 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 0.7% ในเชิงปริมาณ และ 0.9% ในเชิงมูลค่าของการส่งออกอาหารพร้อมทานตามลำดับ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าหลักมีสัดส่วน 22.1% ของปริมาณส่งออกซุปพร้อมทาน รองลงมาได้แก่ ออสเตรเลีย (13.8%) เมียนมา (13.2%) ฮ่องกง (7.4%) และสิงคโปร์ (4.9%) ตามลำดับ

ในปี 2567 อุตสาหกรรมอาหารพร้อมทาน10/ ในไทยมีโรงงานที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและยังดำเนินการอยู่จำนวน 575 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) 548 แห่ง แบ่งเป็น 1) โรงงานผลิตอาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นาน (Dried and Shelf Stable Ready-to-eat Foods) 225 แห่ง คิดเป็นสัดส่วน 39.1% ของจำนวนผู้ผลิตอาหารพร้อมทานทั้งหมด โดยโรงงานผลิตอาหารพร้อมทานแบบแห้งและแบบเก็บรักษาได้นานเป็นโรงงานขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) 212 แห่ง และโรงงานขนาดใหญ่ 13 แห่ง โดยจำแนกตามประเภทผลิตภัณฑ์ได้เป็น ผู้ผลิตอาหารปรุงสำเร็จบรรจุในภาชนะปิดสนิทโดยวิธีสุญญากาศจำนวน 153 แห่ง ตามด้วยผู้ผลิตอาหารจำพวกแป้งชนิดสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป 36 แห่ง และผู้ผลิตน้ำซุปและอาหารพิเศษ 36 แห่ง และ 2) โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป แช่เย็นและแช่แข็ง 350 แห่ง (Chilled and Frozen Ready-to-eat Foods) สัดส่วน 60.9% ของจำนวนผู้ผลิตอาหารพร้อมทานทั้งหมด โดยโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่เย็น-แช่แข็งเป็นโรงงานขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) 336 แห่ง และโรงงานขนาดใหญ่ 14 แห่ง (ภาพที่ 3)

อุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Instant Noodles)
มูลค่าจำหน่ายตลาดในประเทศอยู่ที่ 610.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 66.4% ของมูลค่าการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สำคัญประกอบด้วย11/ บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (แบรนด์มาม่า) บจก. โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย (แบรนด์ไวไว) บจก. อายิโนะโมะโต๊ะ (แบรนด์ยำยำ) บจก. ซัมยัง ฟู้ดส์ (แบรนด์ซัมยัง) บจก. นงชิม (แบรนด์นงชิม) และ บจก. นิสชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) (แบรนด์นิสชิน) ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 93.4% ของมูลค่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย สำหรับปริมาณการบริโภคโดยรวมเติบโตเฉลี่ย 2.0% ต่อปี CAGR (ข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567) ขยายตัวได้ดีในภาวะที่กำลังซื้อซบเซา เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาถูก และใช้บริโภคทดแทนได้ในยามขาดแคลนอาหารสด อีกทั้งยังเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่หลากหลายและแปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนปริมาณการจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 149.8 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 60.2% ของปริมาณจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด โดยปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยสูงเป็นอันดับ 9 ของโลกด้วยจำนวน 4.08 พันล้านหน่วยบริโภค และมีอัตราการบริโภค 56.7 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี อยู่อันดับ 3 ของโลก รองจากเวียดนาม (81.3 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี) และเกาหลีใต้ (79.3 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี) เทียบกับการบริโภคเฉลี่ยทั้งโลกอยู่ที่ 15.0 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี (ภาพที่ 4 และ 5)
ปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 99.0 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 39.8% ของปริมาณจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด โดยมีมูลค่า 309.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 33.6% ของมูลค่าจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด โดยเป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายของผู้ผลิตไปยังตลาดกัมพูชา เนเธอร์แลนด์ ลาว และสหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังซื้อทยอยฟื้นตัว
ภาวะการแข่งขันยังมีทิศทางรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองเนื่องจากเป็นสินค้าจานด่วนที่เน้นการใช้กลยุทธ์ด้านราคาและแข่งขันพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ๆ เพื่อจูงใจผู้บริโภค โดยเน้นกลุ่มระดับรายได้ปานกลางถึงล่างซึ่งกำลังซื้อยังคงเประบาง ในปัจจุบันผู้ผลิตเน้นเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่กำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยการพัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ที่เน้นคุณภาพของวัตถุดิบ (Premium Instant Noodles) พร้อมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น
ต้นทุนการผลิตยังมีทิศทางผันผวน ซึ่งส่วนใหญ่จะผันแปรตามราคาแป้งสาลีเนื่องจากเป็นวัตถุดิบหลัก (สัดส่วน 50-80% ของวัตถุดิบในการผลิต) ที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ตามมาด้วยน้ำมันปาล์ม และเครื่องปรุงรสชาติต่างๆ ขณะที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมราคาของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทำให้การปรับขึ้นราคาตามต้นทุนทำได้จำกัด ผลประกอบการจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารต้นทุน โดยในปี 2567 ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างแป้งสาลีปรับตัวลดลง หลังจากที่ปรับสูงขึ้นในช่วงปี 2564-2566 ส่งผลให้ผู้ผลิตมีความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น

อุตสาหกรรมซีเรียลพร้อมทาน (Ready-to-eat Cereals)
มูลค่าจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 79.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 21.6% ของมูลค่าจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานทั้งหมด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายซีเรียลพร้อมทานที่สำคัญประกอบด้วย บจก. เนสท์เล่ (ประเทศไทย) (แบรนด์โกโก้ครั้นช์ ฟิตเนสส์ ไมโล และฮันนี่สตาร์ส) บจก.เคลลาโนวา (ประเทศไทย) (แบรนด์เคลล็อกส์) บจก. ยูโรเปี้ยน สแนค ฟู้ด (แบรนด์คอปป) บจก. บรันช์ไทม์ (แบรนด์ไดมอนด์ เกรนส์) ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 75.6% ของมูลค่าตลาดซีเรียลของไทย สำหรับปริมาณการบริโภคโดยรวมทรงตัวโดยหดตัวเล็กน้อยเฉลี่ย -0.1% ต่อปี CAGR (ข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567) เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปประเภทอื่นที่แข่งขันกันพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในเรื่องความสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะมื้อเช้าจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน โดยผลิตภัณฑ์ซีเรียลพร้อมทานส่วนใหญ่ทำมาจากวัตถุดิบหลากหลาย เช่น ข้าวโพด (Cornflakes) ข้าวสาลี (Wheat flakes) ข้าวโอ๊ต (Oatmeal) ข้าว (Rice Cereal) กราโนล่า (Granola)
ปริมาณการจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 6.5 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 6.8% ของปริมาณการจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานทั้งหมด โดยผู้ผลิตได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อแข่งขันกับผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานรูปแบบอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เน้นเจาะตลาดกลุ่มกระแสรักสุขภาพ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ในระยะหลังจะเน้นสินค้าที่มีขนาดเล็กพกพาได้ง่าย เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างหรืออาหารมื้อเดียว ปัจจุบันช่องทางจำหน่ายหลักอยู่ที่ห้างโมเดิร์นเทรดกว่า 75.0% ของช่องทางการจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานทั้งหมดในประเทศ รองลงมาเป็นร้านสะดวกซื้อ (11.1%) และร้านขายของชำท้องถิ่น (9.4%) (ภาพที่ 6)
ปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 89.4 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 93.2% ของปริมาณจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานทั้งหมด โดยมีมูลค่า 288.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 78.4% ของมูลค่าจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกรองรับความต้องการในตลาดหลักอย่างออสเตรเลียและสหรัฐฯ ที่ผู้บริโภคกลุ่มรักสุขภาพยังคงเติบโตดี หนุนอุปสงค์ต่ออาหารสำเร็จรูปที่มีประโยชน์ และไขมันต่ำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีราคาที่ยังเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับอาหารสุขภาพประเภทอื่นๆ ในสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีแรงกดดันจากค่าครองชีพสูง
ต้นทุนการผลิตผันแปรตามราคาธัญพืชที่เป็นส่วนประกอบหลัก เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเมียนมา ยูเครน ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และบัลแกเรีย ในสัดส่วนรวมกันกว่า 80.8% ของปริมาณนำเข้าธัญพืชทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในปี 2567 ราคาธัญพืชทั่วโลกได้ปรับลดลงโดยเฉลี่ย -14.3% ต่อปี (CAGR) จากระดับสูงสุดในปี 2565 ที่ได้รับผลกระทบจากทั้ง Covid-19 ซึ่งยังระบาดต่อเนื่อง และการปะทุของสงครามรัสเซีย-ยูเครน (ภาพที่ 7) ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตซีเรียลพร้อมทานปรับตัวลดลงบ้างตามทิศทางราคาวัตถุดิบ อย่างไรก็ดี ราคาวัตถุดิบธัญพืชในปี 2567 ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงปี 2560-2563

อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง (Chilled and Frozen Ready Meals)
มูลค่าจำหน่ายตลาดในประเทศอยู่ที่ 834.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 77.8% ของมูลค่าจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปทั้งหมด โดยผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปที่สำคัญประกอบด้วย เครือเจริญโภคภัณฑ์ (แบรนด์อีซี่โก เซเว่นเฟรช อีซี่ช้อยส์ ซีพี เจด ดราก้อน) บมจ. สุรพลฟู้ดส์ (แบรนด์สุรพลฟู้ดส์) กลุ่มยูนิลีเวอร์ประเทศไทย (แบรนด์คนอร์) บมจ. เอส แอนด์ พี ซินดิเคท (แบรนด์ ควิกมีล) บมจ. ไทย อกริ ฟู้ดส์ (แบรนด์ลิตเติ้ลเชฟ) ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 81.8% ของมูลค่าตลาดอาหารพร้อมทานของไทย สำหรับปริมาณการบริโภคโดยรวมเติบโตเฉลี่ย 6.3% ต่อปี CAGR (ข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567) ตามทิศทางการขยายตัวของชุมชนเมือง และวิถีชีวิตของผู้บริโภคในสังคมเมืองที่มีพฤติกรรมเร่งรีบ โดยเฉพาะในปี 2567 ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญานฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการบริโภคอาหารที่มีความสะดวก ประกอบกับสินค้ากลุ่มนี้สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อซึ่งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้ผู้บริโภคได้เลือก เช่น อาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลี่ยน
การจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 123.1 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 67.1% ของปริมาณการจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมด โดยผู้นำตลาดส่วนใหญ่มีช่องทางจำหน่ายในเครือของตัวเองทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย พร้อมความได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ทำให้สามารถจำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับอาหารทั่วไปตามท้องตลาด รวมถึงมีโปรโมชั่นต่างๆเพื่อดึงดูดผู้บริโภค โดยการบริโภคอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและอาหารพร้อมทานแช่เย็น มีสัดส่วนรวมกันกว่า 93.4% ของปริมาณจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปทั้งหมด (ภาพที่ 8)
ปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 60.5 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 32.9% ของปริมาณจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมด โดยมีมูลค่า 237.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 22.2% ของมูลค่าจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมด ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งอุปสงค์ต่ออาหารสำเร็จรูปกลุ่มนี้กำลังขยายตัวในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคมากขึ้น
ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบสินค้าเกษตรภายในประเทศที่มีความหลากหลาย ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องปรุงต่างๆ ที่สามารถหาได้จากในประเทศ โดยสามารถปรับเปลี่ยนเมนูอาหารให้เหมาะสมตามผลผลิตเกษตรที่ออกสู่ตลาดตามฤดูกาลตลอดทั้งปี ทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่มีความสามารถในการบริหารจัดการด้านอุปทานและต้นทุนวัตถุดิบได้ อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังใช้พลาสติกเป็นหลัก จึงอาจได้รับผลกระทบจากภาวะผันผวนของราคาน้ำมัน (ภาพที่ 9)

อุตสาหกรรมซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นาน (Dry Soup & Shelf Stable Soups)
มูลค่าจำหน่ายตลาดในประเทศอยู่ที่ 11.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 60.1%ของมูลค่าจำหน่ายซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นานทั้งหมด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่สำคัญประกอบด้วย บจก. ซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) (แบรนด์แคมป์เบลล์) บจก. จิมสกรุ๊ป (แบรนด์เลดี้แอนนา) บจก. ริเวอร์แคว อินเตอร์แนชั่นแนล อุตสาหกรรมอาหาร (แบรนด์ริเวอร์แคว) ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 53.4% ของมูลค่าตลาดซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นานทั้งหมดของไทย สำหรับปริมาณการบริโภคโดยรวมหดตัวเฉลี่ย -2.0% ต่อปี (ข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567) เนื่องจากที่ผ่านมาผู้บริโภคในประเทศหันมานิยมรับประทานซุปที่ทำจากส่วนผสมของเครื่องเทศสดใหม่ที่มีประโยชน์ตามกระแสสุขภาพนิยม และรูปแบบของซุปที่มีความใส ขณะที่ซุปพร้อมทานส่วนใหญ่เป็นครีมซุป ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเพียงบางกลุ่มที่เน้นวิถีชีวิตสะดวกรวดเร็ว
การจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 1.7 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 48.0% ของปริมาณการจำหน่ายซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นานทั้งหมด โดยปริมาณการจำหน่ายจำกัดอยู่เพียงบางกลุ่ม เนื่องจากเป็นสินค้าประเภทพรีเมียมและมีราคาสูง ทำให้มีจำนวนผู้บริโภคในประเทศให้ความสนใจค่อนข้างน้อย
ปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 1.8 พันตัน คิดเป็นสัดส่วน 52.0% ของปริมาณจำหน่ายซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นานทั้งหมด โดยมีมูลค่า 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 39.9% ของมูลค่าจำหน่ายซุปแห้งและซุปที่เก็บรักษาไว้ได้นานทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การส่งออกมีทิศทางปรับตัวลงจากปัจจัยกดดันทั้งด้านกระแสรักสุขภาพ และด้านกำลังซื้อ โดยตลาดหลักอย่างเกาหลีใต้มีการรณรงค์เลี่ยงการบริโภคอาหารโซเดียมสูง ขณะที่เมียนมายังเผชิญปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ กดดันกำลังซื้อในการบริโภคสินค้าที่มีราคาสูง
ต้นทุนการผลิตมีทิศทางปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย 1) ต้นทุนจากส่วนประกอบที่ใช้ทำน้ำซุป ครีมเทียม และเครื่องปรุงรสอื่นๆ ที่สูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ และ 2) ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นตามราคาเชื้อเพลิง

การจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานในประเทศ
ปี 2567 การจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานในประเทศเพิ่มขึ้น 4.4% ในเชิงปริมาณ และขยายตัว 4.6% ในเชิงมูลค่า ผลจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบซึ่งผลักดันให้ผู้บริโภคมองหาอาหารที่สะดวกและรวดเร็ว ทำให้อาหารพร้อมทานซึ่งมีจำหน่ายทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อและมีราคาใกล้เคียงกับอาหารปรุงสุกตอบโจทย์ผู้บริโภคเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และกลยุทธ์ทางการตลาดที่ผู้ผลิตต่างแข่งขันเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพโดยใช้วัตถุดิบคุณภาพพร้อมบรรจุภัณฑ์ทันสมัย การขยายช่องทางผ่านโซเชียลมีเดีย และการแถมหรือลดราคา อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายอาหารพร้อมทานในประเทศปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราชะลอลงที่ 1.5-2.5% จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้ยังมีแรงบวกจากความต้องการอาหารที่มีราคาเข้าถึงได้ หาซื้อได้สะดวก และสอดคล้องกับวิถีชีวิตเร่งรีบของผู้บริโภคที่ช่วยหนุนให้ยอดขายยังคงขยายตัวได้ โดยจำแนกสถานการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานในประเทศได้ ดังนี้

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: ในปี 2567 ปริมาณจำหน่ายขยายตัว 2.8% คิดเป็นการขยายตัวของมูลค่าที่ 1.6% แรงหนุนจาก 1) กลยุทธ์การทำตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเปิดตัวรสชาติใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค พร้อมกับการใช้พรีเซนเตอร์รุ่นใหม่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทันสมัยและดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ และ 2) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ขับเคลื่อนโดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยในปี 2568 คาดว่าปริมาณจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ 1.4-2.4% ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ความไม่มั่นคงทางการเมือง และสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่จะยังหนุนให้ผู้บริโภคระดับกลางลงมาซึ่งมีกำลังซื้อที่อ่อนแอลงมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายและหันมาเน้นอาหารกึ่งสำเร็จรูปในราคาสามารถซื้อหาได้ อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวอาจชะลอลงในส่วนของผลิตภัณฑ์พรีเมียม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น

อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง: ในปี 2567 ปริมาณจำหน่ายขยายตัว 6.5% และมูลค่าจำหน่ายขยายตัว 7.0% แรงหนุนจาก 1) การทยอยฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในวงกว้าง 2) การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่กลับสู่ความเร่งรีบ ทำให้ความต้องการอาหารพร้อมทานที่ตอบโจทย์ความสะดวกและรวดเร็วเพิ่มขึ้น 3) การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและความหลากหลายทางรสชาติ อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่าปริมาณจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งจะขยายตัวชะลอลงที่ 1.8-2.8% ภายใต้แรงกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายที่ลดลงตามภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากร้านอาหารและผู้ให้บริการอาหารปรุงสุกที่เปิดตัวมากขึ้น แม้ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากความคุ้มค่าในเชิงราคา และการประหยัดเวลา ที่เป็นข้อได้เปรียบทำให้ตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งยังเติบโตได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้บริโภคกลุ่มทำงานเมืองและครัวเรือนรายได้ปานกลาง

ซีเรียลพร้อมทาน: ในปี 2567 ปริมาณจำหน่ายขยายตัว 4.8% และมูลค่าจำหน่ายขยายตัว 4.3% จาก 1) กระแสการเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคมองหาอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและเก็บรักษาได้นาน 2) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกและประหยัดเวลา โดยในปี 2568 คาดว่าปริมาณจำหน่ายซีเรียลพร้อมทานจะขยายตัวชะลอลงที่ 0.4-1.4% จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่อ่อนแรงลง ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารที่ให้ความอิ่มท้องและความคุ้มค่ามากกว่า อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอาหารเช้าทางเลือกอื่นๆ เช่น ข้าวกล่อง อาหารปรุงสำเร็จ ขนมปังหรือแซนด์วิช รวมถึงเครื่องดื่มที่ให้พลังงานหรือโปรตีนสูง ซึ่งอาจตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องความคุ้มค่ามากกว่า

ซุปพร้อมทาน: ในปี 2567 ปริมาณจำหน่ายทรงตัว 0.0% ขณะที่มูลค่าจำหน่ายขยายตัว 0.9% เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกลุ่มผู้บริโภคค่อนข้างจำกัด มีราคาสูงเมื่อเทียบกับซุปตามร้านอาหารหรือทำเอง ทำให้การเติบโตของตลาดยังทรงตัวในเชิงปริมาณ ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาที่ขยับสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ โดยในปี 2568 คาดว่าปริมาณจำหน่ายซุปพร้อมทานจะยังคงหดตัวที่ -0.5% ถึง -1.5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการบริโภค ขณะที่ผู้บริโภคบางส่วนที่เน้นสุขภาพหันไปรับประทานซุปที่ปรุงสดใหม่มากขึ้น

ปี 2567 การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานโดยรวมเพิ่มขึ้น 9.8% ในเชิงปริมาณและ 10.7% ในเชิงมูลค่า จาก 1) วิถีชีวิตในสังคมที่เร่งรีบมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเน้นความสะดวกและประหยัดเวลา หนุนอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าหลักให้ขยายตัวได้ดี 2) ความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้คู่ค้าหันมานำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานจากไทยมากขึ้น 3) ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดส่งออกทั้งด้านราคา แหล่งวัตถุดิบ และการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การส่งออกอาหารพร้อมทานใน 8 เดือนแรกของปี 2568 หดตัว -6.0% ในเชิงปริมาณ และ -5.8% ในเชิงมูลค่า โดยคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะหดตัว -8.0% ถึง -9.0% ในเชิงปริมาณและ -8.7% ถึง -9.7% ในเชิงมูลค่า ผลจาก 1) มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่กดดันความสามารถในการแข่งขันของไทยและกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทย (ภาพที่ 2) และ 2) ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้การค้าชายแดนชะลอตัวหรือหยุดชะงัก รวมถึงกระแสต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งมีกัมพูชาเป็นตลาดหลัก โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานแยกตามประเภทได้ดังนี้

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกขยายตัว 4.1% ใกล้เคียงกับมูลค่าจำหน่ายที่ขยายตัว 4.3% ซึ่งปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากตลาดส่งออกหลักอย่าง กัมพูชา (ปริมาณการส่งออกขยายตัว +3.9%) เนเธอร์แลนด์ (+3.9%) สหรัฐอเมริกา (+11.0%) รวมถึง สหราชอาณาจักร (+82.5%) จากกระแสนิยมที่ผู้บริโภคและร้านค้านำเส้นบะหมี่สำเร็จรูปมาปรุงอาหารโดยประยุกต์เป็นเมนูต่างๆ เพื่อลดต้นทุน12/ อย่างไรก็ตาม การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใน 8 เดือนแรกของปี 2568 หดตัว -7.0% ในเชิงปริมาณ และ -2.9% ในเชิงมูลค่า โดยคาดว่าทั้งปี 2568 ปริมาณการส่งออกจะหดตัวที่ -9.0% ถึง -10.0% คิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หดตัว -6.6% ถึง -7.6% จากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญ (ตลาดอันดับ 5 ของไทย สัดส่วน 9.2% ของปริมาณส่งออกปี 2567) ทำให้ราคาสินค้าไทยสูงขึ้นจากต้นทุนนำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ลดทอนกำลังซื้อในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ขณะเดียวกัน การส่งออกไปกัมพูชา (ตลาดอันดับ 1 ของไทย สัดส่วน 15.7%) มีแนวโน้มหดตัวจากความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาที่นำไปสู่การปิดด่านชายแดนและกระแสการแบนสินค้าจากไทย

อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกขยายตัว 10.4% และมูลค่าส่งออกขยายตัว 10.3% โดยมีแรงหนุนจากเกือบทุกตลาดหลัก โดยเฉพาะปริมาณส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ขยายตัว 38.0% จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกและประหยัดในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ตามด้วย สปป.ลาว (+20.6%) และ ออสเตรเลีย (+8.9%) อย่างไรก็ตาม การส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็งใน 8 เดือนแรกของปี 2568 หดตัว -13.7% ในเชิงปริมาณ และ -15.6% ในเชิงมูลค่า โดยคาดว่าทั้งปี 2568 ปริมาณการส่งออกจะหดตัวที่ จะหดตัว -14.5% ถึง -15.5% เช่นเดียวกับมูลค่าส่งออกที่คาดว่าจะหดตัว -16.7% ถึง -17.7% จากผลกระทบโดยตรงของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่จะลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เนื่องจากสินค้าจากไทยมีราคาที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหลักอื่นๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลงตามภาวะเศรษฐกิจ

ซีเรียลพร้อมทาน: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกขยายตัว 17.8% และมูลค่าจำหน่ายขยายตัว 19.6% จากปริมาณการส่งออกไปยังตลาดหลักที่ขยายตัว อาทิ สหรัฐฯ (+59.0%) และออสเตรเลีย (+17.5%) ตามกระแสความนิยมในอาหารสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ซีเรียลแบบเส้นใยสูง น้ำตาลน้อย หรือ plant-based เช่น โอ๊ต หรือซีเรียลธัญพืชอื่น ๆ ขณะที่ราคาส่งออกของไทยโดยรวมยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เนื่องจากความได้เปรียบด้านวัตถุดิบบางชนิด เช่น ข้าว น้ำตาล และน้ำมันปาล์ม แม้ตลาดระดับพรีเมียมหรือสูตรเฉพาะ เช่น ออร์แกนิก/ไร้กลูเตน ยังมีต้นทุนสูงจากการพึ่งวัตถุดิบนำเข้า อย่างไรก็ตาม การส่งออกซีเรียลพร้อมทานใน 8 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 0.7% ในเชิงปริมาณ แต่หดตัว -1.0.% ในเชิงมูลค่า โดยคาดว่าทั้งปี 2568 ปริมาณการส่งออกจะหดตัว -2.5% ถึง -3.5% ในเชิงปริมาณและ -5.1% ถึง -6.1% ในเชิงมูลค่า จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ (สัดส่วน 27.0% ของปริมาณการส่งออกในปี 2567) ที่มีแนวโน้มหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากมีการเร่งส่งออกไปในช่วงต้นปี ก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ขณะเดียวกัน ไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ อาทิ อินเดีย แคนาดา เม็กซิโก และเกาหลีใต้ เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นแหล่งนำเข้าหลักของสหรัฐฯ โดยไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐ เพียง 6.1% ของปริมาณการนำเข้าซีเรียลของสหรัฐฯ ทั้งหมดในปี 2567

ซุปพร้อมทาน: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกหดตัว -29.1% และมูลค่าจำหน่ายหดตัว -7.1% โดยมีแรงฉุดจากปริมาณส่งออกไปยังบางตลาดที่หดตัว ได้แก่ เกาหลีใต้ (-79.3%) และฟิลิปปินส์ (-84.9%) ซึ่งมีสัดส่วนรวมกัน 7.9% ของปริมาณส่งออกซุปพร้อมทานจากไทยทั้งหมด จากกระแสการรณรงค์ด้านสุขภาพในการลดบริโภคโซเดียม (เกลือ) โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมทานประเภทซุป ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกซุปพร้อมทานหดตัว -8.5% ในเชิงปริมาณ และขยายตัว 13.9% ในเชิงมูลค่า โดยคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะหดตัว -10.0% ถึง -11.0% ในเชิงปริมาณ จากภาวะซบเซาของกำลังซื้อในตลาดคู่ค้า จากผลกระทบของภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อีกทั้งผู้บริโภคในหลายประเทศมีแนวโน้มพฤติกรรมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการเน้นอาหารที่โซเดียมต่ำและการหันไปรับประทานอาหารที่สดใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตในเชิงมูลค่าอาจยังขยายตัวได้ 5.0-6.0% ส่วนหนึ่งจากผลของต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการหันไปเน้นผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมในตลาดบนมากขึ้นในภาวะที่กำลังซื้อในตลาดกลางลงมาชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยซุปเกรดพรีเมียมดังกล่าวส่วนใหญ่จะเน้นวัตถุดิบเฉพาะทางที่เป็นออร์แกนิก (Organic) มีโปรตีนและเส้นใยสูงที่เจาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้รักสุขภาพ

ในช่วงปี 2569-2571 คาดว่าแนวโน้มปริมาณการจำหน่ายอาหารพร้อมทานในประเทศจะเติบโตโดยเฉลี่ย 2.3-3.3% ต่อปี แบ่งเป็น 1) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว 2.0-3.0% ต่อปี 2) อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัว 2.8-3.8% ต่อปี 3) ซีเรียลพร้อมทาน ขยายตัว 0.9-1.9% ต่อปี และ 4) ซุปพร้อมทาน ทรงตัวอยู่ในช่วง -0.6% ถึง 0.6% ต่อปี โดยแรงหนุนการเติบโตมาจาก 1) วิถีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบทำให้ผู้บริโภคเน้นอาหารที่สามารถจัดเตรียมได้สะดวกสบายและเก็บรักษาได้นาน 2) การใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ผลิตเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม พร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการกระจายสินค้า 3) การขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ ที่ช่วยเพิ่มช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น และ 4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแตกต่าง โดยผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มร้านค้าและเชฟที่มีชื่อเสียง เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และสร้างประสบการณ์ใหม่ในตัวสินค้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงกดดันการเติบโตมาจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง หนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูงกดดันการใช้จ่ายของประชาชน กระแสการบริโภคเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคที่มองว่าอาหารพร้อมทานมีสารปรุงแต่งและโซเดียมสูง รวมถึงภาคการท่องเที่ยงที่อาจยังฟื้นตัวช้า อาจมีผลจำกัดอัตราการเติบโตในปี 2569 ให้อยู่ในอัตราไม่สูงนัก ก่อนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในปี 2570-2571

แนวโน้มปริมาณการส่งออกอาหารพร้อมทานคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 2.9-3.9% ต่อปี แบ่งเป็น 1) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว 2.6-3.6% ต่อปี 2) อาหารสำเร็จรูปแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัว 3.1-4.1% ต่อปี 3) ซีเรียลพร้อมทาน ขยายตัว 3.3-4.3% ต่อปี แต่สำหรับ 4) ซุปพร้อมทาน คาดว่าจะหดตัว -4.0% ถึง -5.0% ต่อปี จากกระแสการรณรงค์ลดการบริโภคโซเดียม (เกลือ) ที่น่าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตโดยรวมในปี 2569 จะยังคงอยู่ในอัตราไม่สูงนัก จากปัจจัยเหนี่ยวรั้งได้แก่ 1) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังรอการฟื้นตัว ทำให้กำลังซื้อในประเทศคู่ค้ายังชะลอตัว 2) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลัก ทำให้ราคาสินค้าของไทยปรับสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น และ 3) การส่งออกไปยังกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งการปิดด่านการค้าและกระแสการรณรงค์ต่อต้านสินค้าจากไทยในกัมพูชาน่าจะยังคงยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นปี 2570-2571 จากแรงหนุนของ 1) กำลังซื้อในตลาดประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่มีแนวโน้มเริ่มทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ 2) แนวโน้มการขยายช่องทางตลาดในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศที่มีข้อตกลงทางการ (FTAs, RCEP) กับไทย ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งต้นทุนโลจิสติกส์ยังต่ำและผู้บริโภคมีความนิยมในรสชาติอาหารไทย รวมทั้งภูมิภาคยุโรป (โดยเฉพาะตลาดยุโรปตะวันตก) ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จากการเติบโตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ที่นิยมอาหารนานาชาติ โดยเฉพาะอาหารไทยซึ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยขายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตในราคาที่ยังเข้าถึงได้ง่าย ส่วนตลาดสหรัฐฯ ผู้ผลิตจะเน้นตลาดพรีเมียมที่นิยมอาหารไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยรายงาน Mordor Intelligence ประเมินว่า ตลาดอาหารไทย (Thai cuisine) จะเติบโตประมาณ 8.4% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2568-2573 3) ความเร่งรีบในการใช้ชีวิตของผู้คนที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และ 4) ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะครัวของโลก จากข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรและวัตถุดิบทางการเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความหลากหลายและคุณภาพสูง

มาตรการการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าอาหารพร้อมทานของไทย เนื่องจากทำให้ราคาสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักปรับสูงขึ้น ลดทอนความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย ทั้งในกรณีที่เทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ เอง และกับคู่แข่งจากประเทศอื่นที่ถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า หรือมีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการไทยมีแนวโน้มลดลง ขณะที่การใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดทำได้จำกัด เนื่องจาก 1) ต้นทุนการผลิตภายในประเทศยังคงสูงจากแรงกดดันทั้งด้านค่าแรง ต้นทุนด้านวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และ 2) ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไม่สูงนัก ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีอำนาจการต่อรองในการเลือกซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชา ส่งผลให้การส่งออกอาหารพร้อมทานของไทยเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งจากบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียด บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้าจากไทย มาตรการควบคุมชายแดนที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น และกระแสการต่อต้านสินค้าจากไทยที่ทำให้ผู้บริโภคกัมพูชาหันไปเลือกนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่แข่งแทน
สภาพอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น ส่งผลให้ 1) ภัยแล้งและคลื่นความร้อนเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปริมาณผลผลิตธัญพืชจึงมีทิศทางไม่แน่นอน และ 2) อุณหภูมิของน้ำทะเลมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้จึงมีแนวโน้มลดลง ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและภาวะความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานการผลิต
นโยบายสนับสนุนการลดการบริโภคโซเดียม (Sodium intake reduction) ทั้งของไทยและทั่วโลก สอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการอาหารแปรรูปลดปริมาณโซเดียมในอาหารลง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ซึ่งปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวันคือ 2,000 มิลลิกรัม หรือเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน (ประชากรไทยบริโภคเฉลี่ย 10.8 กรัมต่อวัน)13/ และมีแนวโน้มที่ภาครัฐของไทยจะออกมาตรการเก็บภาษีความเค็มให้มีผลบังคับใช้ในอนาคต14/
กระแสรักษ์สุขภาพทั่วโลกที่เน้นการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารที่มีปริมาณคุณค่าของสารอาหารครบถ้วน และเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการในการยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐาน
การคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น15/ อาทิ สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ ซึ่งตั้งเป้าที่จะรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี ค.ศ. 2030 ส่งผลให้สินค้าที่จำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปมีการติดฉลาก recyclable ตามสินค้าเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้ารักษ์โลกและปฏิบัติตามมาตรการสหภาพยุโรป16/
ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ อาจส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันในระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการขนส่งเป็นระยะ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อต้นทุนทั้งด้านวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์