ปี 2569-2571 คาดว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตไก่เนื้อจะเติบโต 1.7-2.7% ต่อปี อยู่ที่ 2.05-2.15 พันล้านตัว เทียบเท่าปริมาณเนื้อไก่ที่ 3.58-3.83 ล้านตัน เติบโต 2.6-3.6% ต่อปี จากความต้องการบริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยปริมาณการบริโภคในประเทศคาดว่าจะเติบโต 1.7-2.7% ต่อปี จาก 1) การทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหาร ในช่วงปี 2570-2571 2) ผลิตภัณฑ์ไก่เป็นแหล่งโปรตีนไขมันต่ำที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย จึงยังเป็นที่นิยมมากขึ้นของกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ท่ามกลางภาวะที่ค่าครองชีพยังในระดับสูง 3) เนื้อไก่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งด้านศาสนาและความยั่งยืน ต่างจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีข้อจำกัดด้านความเชื่อสำหรับบางศาสนาและยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสูงกว่าเนื้อไก่ และ 4) เนื้อไก่มีความสะดวกในการปรุงเหมาะกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ขณะที่ปริมาณส่งออกของไทยคาดว่าจะเติบโต 3.7-4.7% ต่อปี ผลจาก 1) การขยายสู่ตลาดตะวันออกกลางซึ่งยอมรับในมาตรฐานสินค้าฮาลาลของไทย และตลาดประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สปป.ลาว มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่เชื่อมั่นคุณภาพไก่แช่เย็นแช่แข็งจากไทย 2) ความนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์โปรตีนที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย และ 3) ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของสินค้าไทย ท่ามกลางความกังวลของสถานการณ์ไข้หวัดนกที่ระบาดในประเทศผู้ผลิตสำคัญ ส่วนผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จะยังคงจำกัด เนื่องจากมูลค่าส่งออกจากไทยไปยัง 2 ประเทศดังกล่าวยังมีสัดส่วนไม่สูงนัก
โรงงานไก่แช่แข็งและแปรรูป: ความต้องการของตลาดในประเทศอาจยังชะลอตัวในปี 2569 จากภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลบั่นทอนความเชื่อมั่นในการบริโภค ก่อนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2570-2571 ตามทิศทางกิจกรรมเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกยังมีทิศทางขยายตัว จากการเติบโตต่อเนื่องในตลาดหลักแม้จะมีอัตราชะลอลงปี 2569 และการขยายตัวในตลาดเกิดใหม่ของกลุ่มประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง จากจุดแข็งของไทยด้านกระบวนการผลิตที่ได้รับการยอมรับจากคู่ค้าหลากหลายประเทศ แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากนโยบายกีดกันการค้า รวมถึงมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แต่ผลกระทบโดยตรงคาดว่าจะไม่รุนแรง
ไก่เป็นสัตว์ที่ให้โปรตีนสูงอันดับหนึ่งในกลุ่มเนื้อสัตว์บก1/ มีไขมันต่ำ และเป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนเร็ว เนื่องจากใช้เวลาในการเลี้ยงสั้นกว่าสัตว์เศรษฐกิจประเภทอื่น อีกทั้งมีอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัวสูง2/ และต้านทานโรคได้ดี โดยอัตราการบริโภคไก่ทั่วโลกในปี 25673/ เฉลี่ยอยู่ที่ 10.5 กิโลกรัม/คน/ปี ในขณะที่สุกรและเนื้อวัวอยู่ที่ 10.8 และ 6.0 กิโลกรัม/คน/ปี ตามลำดับ (ภาพที่ 1) สำหรับผลิตภัณฑ์ไก่เพื่อการบริโภค ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ 1) ไก่แช่เย็น 2) ไก่แช่แข็ง และ 3) ไก่แปรรูปหรือไก่ปรุงสุก/ปรุงรสแช่แข็ง ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์มีกรรมวิธีการผลิตที่ต่างกัน ดังนี้
ไก่แช่เย็น (Chilled Chicken): เป็นการเก็บรักษาเนื้อไก่ที่อุณหภูมิต่ำเฉลี่ย 0 - 5 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปของไก่ทั้งตัว ชิ้นเนื้อและเครื่องในไก่ชำแหละ และส่วนอื่นๆของไก่
ไก่แช่แข็ง (Frozen Chicken): เป็นการถนอมอาหารที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปของไก่ทั้งตัว ชิ้นเนื้อและเครื่องในไก่ เนื้อไก่ตัดขนาดเท่าลูกเต๋าและเนื้อไก่บด เป็นต้น
ไก่แปรรูป (Processed Chicken): ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายที่ช่วยเพิ่มมูลค่าเนื้อไก่ แบ่งเป็น 1) เนื้อไก่แปรรูปที่ไม่ผ่านการทำให้สุก เพื่อให้ผู้บริโภคนำไปประกอบอาหารขั้นสุดท้าย และ 2) ผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปที่ผ่านการทำให้สุกหรือกึ่งสุก จากนั้นจะผ่านกระบวนการแปรรูปแช่แข็งด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปของขาไก่ย่าง ปีกไก่รมควัน สะเต๊ะไก่ เบอร์เกอร์ไก่ นักเก็ตไก่ สเต็กไก่ ไก่คาราเกะ ลูกชิ้นไก่ ไก่ชุบแป้งทอด และไก่หมักซอส เป็นต้น

ปี 2567 ปริมาณผลผลิตเนื้อไก่ทั่วโลกอยู่ที่ 103.6 ล้านตัน ทรงตัวจากปีก่อนหน้า (ภาพที่ 2) โดยภูมิภาคอเมริกาเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วน 47.3% ของปริมาณผลผลิตทั่วโลก รองลงมา คือ เอเชีย (25.9%) ยุโรป (19.3%) ตะวันออกกลาง (4.0%) และแอฟริกา (1.7%) หากพิจารณาเป็นรายประเทศ สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตไก่เนื้ออันดับ 1 ของโลก มีปริมาณผลผลิต 21.3 ล้านตัน (สัดส่วน 20.6% ของปริมาณผลผลิตทั่วโลก) รองลงมา คือ จีน 15.4 ล้านตัน (14.8%) บราซิล 15.0 ล้านตัน (14.5%) และสหภาพยุโรป 11.5 ล้านตัน (11.1%) (ภาพที่ 3) สำหรับประเทศไทยมีปริมาณผลผลิตเนื้อไก่ 3.4 ล้านตัน (3.3%) อยู่ในอันดับ 7 ของโลก (ที่มา : USDA และ OAE) โดยผลผลิตไก่เนื้อของโลกส่วนใหญ่ใช้บริโภคในประเทศเป็นหลัก (สัดส่วนเฉลี่ย 97.7% ของปริมาณผลผลิตทั่วโลก) ส่วนปริมาณการบริโภคเนื้อไก่ทั่วโลกอยู่ที่ 101.2 ล้านตัน ทรงตัวจากปีก่อนหน้าเช่นกัน โดยประเทศผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก คือ สหรัฐฯ มีปริมาณการบริโภครวม 18.4 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 18.2% ของปริมาณการบริโภคไก่เนื้อทั่วโลก รองลงมา ได้แก่ จีน 15.1 ล้านตัน (14.9%) สหภาพยุโรป 10.4 ล้านตัน (10.3%) และบราซิล 10.1 ล้านตัน (10.0%) โดยประเทศไทยบริโภคเนื้อไก่ 2.2 ล้านตัน (2.2%) อยู่ในอันดับ 9 ของโลก


การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อในตลาดโลกมีปริมาณ 18.2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 42.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ประเทศผู้ส่งออกไก่เนื้อรายใหญ่ของโลก คือ บราซิล มีสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 27.5% ของปริมาณส่งออกไก่เนื้อของโลก รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ (17.9%) โปแลนด์ (9.8%) เนเธอร์แลนด์ (7.3%) และไทย (6.3%) (ภาพที่ 4) สำหรับประเภทผลิตภัณฑ์ไก่ส่งออกและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก จำแนกได้ดังนี้
ไก่แช่แข็ง มีสัดส่วน 65.8% และ 50.0% ของปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก ตามลำดับ โดย 84.4% ของปริมาณการส่งออกไก่แช่แข็งทั้งหมดของโลก เป็นผลิตภัณฑ์ไก่ชำแหละ ที่เหลือเป็นการส่งออกไก่แช่แข็งทั้งตัว ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ ได้แก่ บราซิล สหรัฐฯ และโปแลนด์ มีสัดส่วนส่งออกรวมกันมากกว่า 66.9% ของปริมาณส่งออกไก่แช่แข็งในตลาดโลก ส่วนไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 5 สัดส่วน 3.9%
ไก่แปรรูป มีสัดส่วน 14.1% และ 26.8% ของปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก ตามลำดับ ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วน 26.3% ของปริมาณส่งออกไก่แปรรูปทั้งหมดในตลาดโลก รองลงมา คือ จีน 13.8% โปแลนด์ 10.1% และเยอรมัน 6.7%
ไก่แช่เย็น มีสัดส่วน 20.1% และ 23.2% ของปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก ตามลำดับ โดย 88.4% ของปริมาณการส่งออกไก่แช่เย็นทั้งหมดของโลกเป็นผลิตภัณฑ์ไก่ชำแหละ ที่เหลือเป็นการส่งออกไก่แช่เย็นทั้งตัว ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก คือ โปแลนด์ สัดส่วน 22.4% ของปริมาณส่งออกไก่แช่เย็นในตลาดโลก สหรัฐฯ 19.4% และเนเธอร์แลนด์ 15.9% ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 31 มีสัดส่วน 0.2%

สำหรับประเภทผลิตภัณฑ์ไก่นำเข้า และผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก จำแนกได้ดังนี้ (ภาพที่ 5)
ไก่แช่แข็ง มีสัดส่วน 67.0% ของปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก ตลาดผู้นำเข้ารายใหญ่ ได้แก่ จีน มีสัดส่วน 8.0% ของปริมาณการนำเข้าไก่แช่แข็งทั่วโลก รองลงมา คือ ญี่ปุ่น 5.5% ซาอุดีอาระเบีย 5.2% และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5.1%
ไก่แช่เย็น มีสัดส่วน 19.3% ของปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าของประเทศที่อยู่ในภูมิภาคยุโรป โดยผู้นำเข้ารายใหญ่ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สัดส่วน 12.6% ของปริมาณนำเข้าไก่แช่เย็นของโลก เยอรมนี 12.1% สหราชอาณาจักร 11.1% และฝรั่งเศส 10.2% ขณะที่เม็กซิโกและแคนาดาในทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนนำเข้า 17.2% และ 3.8% ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ
ไก่แปรรูป มีสัดส่วน 13.7% ของปริมาณนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ทุกประเภทของโลก โดยประเทศผู้นำเข้าสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น มีสัดส่วน 21.2% ของปริมาณนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปของโลก รองลงมา คือ สหราชอาณาจักร 19.2% เนเธอร์แลนด์ 6.6% เยอรมนี 5.1% และฝรั่งเศส 4.8%

ในปี 2567 ปริมาณผลผลิตเนื้อไก่ของไทยอยู่ที่ 3.4 ล้านตัน ขณะที่การบริโภคเนื้อไก่ในประเทศอยู่ที่ 2.2 ล้านตัน หรือประมาณ 66.1% ของผลผลิตไก่เนื้อทั้งหมด (ภาพที่ 6) ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคในรูปเนื้อไก่สดชำแหละ ส่วนผลผลิตไก่เนื้อที่เหลือจะถูกนำไปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมไก่แปรรูปและไก่แช่แข็ง ซึ่งเน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 และ 5 ของโลกสำหรับไก่แปรรูปและไก่แช่แข็ง ตามลำดับ (ที่มา: Trademap 2567)

โครงสร้างการส่งออกอุตสาหกรรมไก่แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูปของไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนับจากปี 2547 ผลจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกอย่างรุนแรง4/ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลีใต้ และจีน ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่แช่แข็งจากไทย (สัดส่วนส่งออกรวมกันถึง 79.5% ของปริมาณส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย ในปี 2546) ผู้ประกอบการไทยจึงปรับไปผลิตและส่งออกไก่แปรรูปซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้า5/ ทำให้ไก่แปรรูปกลายเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกหลักของอุตสาหกรรมนี้จนถึงปัจจุบัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด อยู่ที่ 59.0% ของปริมาณการส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย และ 26.3% ของปริมาณการส่งออกไก่แปรรูปทั้งหมดของโลกในปี 2567
ผลิตภัณฑ์ไก่ส่งออกของไทยจำแนกเป็นไก่แปรรูป ไก่แช่แข็งและไก่แช่เย็น คิดเป็นสัดส่วน 59:40:1 ในเชิงปริมาณ (ข้อมูลปี 2567) (ภาพที่ 7) โดยตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง ได้แก่ ญี่ปุ่น ซึ่งเน้นนำเข้าไก่แปรรูปและไก่แช่แข็ง รองลงมาคือสหภาพยุโรปที่เน้นนำเข้าไก่แปรรูป ส่วนประเทศคู่แข่งสำคัญของไทย คือ บราซิล ซึ่งเป็นผู้ส่งออกไก่แช่แข็งอันดับหนึ่งของโลก โดยสัดส่วนการส่งออกรายผลิตภัณฑ์ของไทย มีดังนี้
ไก่แปรรูป สัดส่วน 59.0% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น (สัดส่วน 44.5% ของปริมาณส่งออกไก่แปรรูปทั้งหมด) สหราชอาณาจักร (29.4%) เนเธอร์แลนด์ (6.6%) และเกาหลีใต้ (4.3%)
ไก่แช่แข็ง สัดส่วน 40.3% ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น (สัดส่วน 38.5% ของปริมาณส่งออกไก่แช่แข็งทั้งหมด) รองลงมา คือ จีน (24.4%) มาเลเซีย (20.2%) และเกาหลีใต้ (4.7%)
ไก่แช่เย็น สัดส่วน 0.7% ตลาดส่งออกหลักเป็นประเทศ เมียนมา (สัดส่วน 63.1% ของปริมาณส่งออกไก่แช่เย็นทั้งหมด) ฮ่องกง (12.9%) ลาว (12.0%) และสิงคโปร์ (6.2%)

ปริมาณการผลิตไก่เนื้อในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.99 พันล้านตัว6/ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยมีปริมาณการผลิตเนื้อไก่รวมกันประมาณ 96%7/ ของผลผลิตเนื้อไก่ในประเทศ ส่วนใหญ่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำแบบครบวงจร ตั้งแต่อาหารสัตว์ ฟาร์มไก่เนื้อ (ทั้งฟาร์มของบริษัทเองและฟาร์มของเกษตรกรภายใต้พันธสัญญากับบริษัท (Contract Farming)) โรงงานฆ่าสัตว์และโรงงานแปรรูปที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ทำให้มีข้อได้เปรียบด้านการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ จึงได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ขณะที่ผลผลิตเนื้อไก่ของเกษตรกรรายย่อย (สัดส่วน 4%)7/ เกือบทั้งหมดส่งให้โรงชำแหละเพื่อบริโภคในประเทศ (ภาพที่ 8)


ปี 2567 ผลผลิตไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น 1.0% อยู่ที่ 1.99 พันล้านตัว จาก 1.97 พันล้านตัวในปี 2566 (ภาพที่ 10) คิดเป็นผลผลิตเนื้อไก่เพิ่มขึ้น 1.0% อยู่ที่ 3.40 ล้านตัน จาก 3.36 ล้านตันในปี 2566 ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ยังคงขยายตัวได้ดี สวนทางกับอุปสงค์ในประเทศที่ปรับลดลง โดยใน 8 เดือนแรกของปี 2568 ผลผลิตยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง พิจารณาจากดัชนีผลผลิตของไก่เนื้อที่เพิ่มขึ้น 1.0% YoY ตามทิศทางของตลาดส่งออกที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดในประเทศเริ่มฟื้นตัว สำหรับปี 2568 คาดว่าผลผลิตไก่เนื้อของไทยจะยังขยายตัวได้ไม่สูงนักที่อัตรา 0.8-1.8% คิดเป็นผลผลิตเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้น 2.3-3.3%9/ แรงหนุนการเติบโตมาจากราคาไก่ที่ปรับเพิ่มขึ้นจูงใจเกษตรกรให้เพิ่มผลผลิต ขณะที่ตลาดทั้งในประเทศและส่งออกอาจเติบโตชะลอลงจากผลกระทบทางอ้อมของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของไทยและประเทศคู่ค้า

ในปี 2567 ปริมาณการบริโภคไก่เนื้อในประเทศลดลง -1.5% อยู่ที่ 2.24 ล้านตัน จาก 2.28 ล้านตัน เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการบริโภคเนื้อสัตว์บกอื่นซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่มีราคาปรับลดลง โดยเฉพาะสุกรซึ่งราคาปรับลดในอัตราที่สูงกว่าไก่ (ภาพที่ 11 และ 12) ในขณะที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการเลือกบริโภคเนื้อสุกรมากขึ้น หลังจากความกังวลในโรคระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) ลดลง พิจารณาจากการบริโภคเนื้อสุกรที่ขยายตัว 6.1% สำหรับปี 2568 คาดว่าปริมาณการบริโภคไก่เนื้อในประเทศจะกลับมาขยายตัวได้ที่อัตรา 0.5-1.5% เนื่องจาก 1)ผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคเนื้อไก่เพิ่มขึ้นแทนเนื้อหมูซึ่งมีราคาปรับขึ้นในอัตราที่สูงกว่าเนื้อไก่ (8 เดือนแรกของปี 2568 ราคาไก่ +3.0% YoY, ราคาหมู +15.1% YoY) จากต้นทุนอาหารสุกรที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสุกรซึ่งเป็นสัตว์ที่ไวต่อสภาพอากาศ และ 2) ผู้บริโภคกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพเลือกบริโภคเนื้อไก่ซึ่งเป็นอาหารสุขภาพที่มีโปรตีนสูง ไขมันน้อย และราคาถูก ท่ามกลางค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง

ราคาไก่เนื้อหน้าฟาร์มอยู่ในระดับเฉลี่ยลดลง -6.5% อยู่ที่ 40.7 บาท/กิโลกรัม ในปี 2567 ตามปริมาณผลผลิตของเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้น ในทิศทางเดียวกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลผลิตเนื้อสัตว์บกอื่นโดยเฉพาะสุกร หลังจากการระบาดของโรค ASF คลี่คลาย มีผลให้ราคาหน้าฟาร์มของเนื้อสุกรและเนื้อโคปรับลดลงมากถึง -11.6% และ -10.5% ตามลำดับในปี 2567 ยิ่งกดดันให้ราคาเนื้อไก่ปรับลดลงตาม แม้เป็นอัตราการลดลงที่ยังน้อยกว่าเนื้อสุกรและโค (ภาพที่ 12) อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ราคาไก่เนื้อหน้าฟาร์มปรับเพิ่มขึ้น 3.2% YoY เฉลี่ยอยู่ที่ 42.0 บาท/กิโลกรัม และคาดว่าทั้งปี 2568 ราคาจะทรงตัวอยู่ในระดับ 42.2 บาท/กิโลกรัม จาก 1) ตลาดส่งออกที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้ จากความเชื่อมั่นในมาตรฐานสินค้าไทย แม้จะเติบโตชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ และ 2) ต้นทุนการผลิตที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง

ปริมาณการส่งออกในปี 2567 ขยายตัว 6.3% อยู่ที่ 1.15 ล้านตัน เนื่องจาก 1) ข้อได้เปรียบของผลิตภัณฑ์จากไก่ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนราคาเข้าถึงง่าย ท่ามกลางค่าครองชีพทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและ 2) การขยายตลาดส่งออกไปสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ยังมีกำลังซื้อและส่วนใหญ่เชื่อมั่นในคุณภาพความปลอดภัยด้านกระบวนการผลิตของไทยตามมาตรฐานฮาลาล อย่างไรก็ตาม ราคาส่งออกที่ปรับลดลงเล็กน้อย -0.6% อยู่ที่ 3,751.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ตามทิศทางต้นทุนราคาไก่เนื้อหน้าฟาร์ม ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ในอัตราต่ำกว่าปริมาณส่งออกเล็กน้อย โดยอยู่ที่ 5.7% อยู่ที่ 4.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ปัจจัยสนับสนุนข้างต้นยังคงส่งผลให้ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 6.1% YoY อยู่ที่ 805.8 พันตัน (ภาพที่ 13) ประกอบกับราคาส่งออกที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.9% อยู่ที่ 3,781.4ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ช่วยหนุนให้มูลค่าการส่งออกปรับเพิ่มขึ้น 8.1% YoY อยู่ที่ 3,047.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าแรงส่งนี้จะยังคงหนุนการเติบโตทั้งปีในตลาดหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป แต่อัตราการเติบโตอาจชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ส่วนตลาดใหม่อย่างตะวันออกกลางยังมีทิศทางขยายตัวดีต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ยังมีสัดส่วนน้อย (เพียง 0.003% ของมูลค่าส่งออกไก่แปรรูปทั้งหมดในปี 2567) ทำให้ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เท่าใดนัก แนวโน้มปริมาณการส่งออกในปี 2568 จึงน่าจะขยายตัว 6.0 -7.0% และมูลค่าการส่งออกปรับเพิ่มขึ้น 7.5-8.5% โดยจำแนกการส่งออกของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
ไก่แช่เย็น: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 7.5 พันตัน (-1.1%) คิดเป็นมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-7.7%) โดยราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 2,159.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (-6.7%) โดยตลาดคู่ค้าที่ปริมาณส่งออกหดตัว อาทิ เมียนมา (-9.4%) จากค่าครองชีพที่มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และ ฮ่องกง (-4.0%) จากการหันไปนำเข้าจากจีนแทน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6.0 พันตัน (+17.4% YoY) ตามอุปสงค์ของประเทศกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนอุปทานไก่ในประเทศกัมพูชาที่ลดลงหลังการระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ขณะที่ราคาส่งออกเฉลี่ยทรงตัวอยู่ที่ 2,128.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (-0.4% YoY) ส่งผลให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+17.0% YoY) สำหรับทั้งปี 2568 คาดว่าปริมาณการส่งออกไก่แช่เย็นของไทยจะขยายตัวได้ 11.0-12.0%
ไก่แช่แข็ง: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 463.7 พันตัน (-2.9%) คิดเป็นมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 1,343.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+1.7%) โดยราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 2,896.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (+2.5%) โดยตลาดคู่ค้าที่ปริมาณส่งออกหดตัว อาทิ ฮ่องกง (-72.8%) เนื่องจากฮ่องกงหันไปนำเข้าไก่แช่แข็งจากประเทศอื่นแทนมากขึ้น เช่นจากจีน และบราซิล ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไก่รายใหญ่ของโลกที่มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำ และเกาหลีใต้ (-30.8%) จากกำลังซื้อที่อ่อนแอลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าไก่แช่แข็งของเกาหลีใต้ที่หดตัวเกือบทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกไก่แช่แข็งไปประเทศคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่นยังเติบโตได้ดี (+55.0%) ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ปริมาณส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 338.0 พันตัน (+10.0% YoY) ส่วนมูลค่าส่งออกโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 972.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+11.3% YoY) สอดคล้องกับราคาส่งออกเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2,876.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (+1.1% YoY) โดยตลาดคู่ค้าหลักที่ปริมาณส่งออกยังเติบโตได้ต่อเนื่อง อาทิ มาเลเซีย (+13.2% YoY) เกาหลีใต้ (+51.0% YoY) และประเทศในตะวันออกกลางอย่าง สหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ (+206.4%) สำหรับทั้งปี 2568 คาดว่าปริมาณการส่งออกไก่แช่แข็งของไทยจะขยายตัวได้ 10.3-11.3%
ไก่แปรรูป: ในปี 2567 ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 677.9 พันตัน (+13.8%) โดยปริมาณการส่งออกไก่แปรรูปขยายตัวได้ดีใน ญี่ปุ่น (+5.3%) และ สหราชอาณาจักร (+24.1%) อย่างไรก็ตาม ผลของราคาส่งออกที่ลดลง -5.4% เฉลี่ยอยู่ที่ 4,354.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในช่วงที่กำลังซื้อของตลาดคู่ค้าหลายประเทศยังถูกกดดันจากค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้มูลค่าส่งออกขยายตัวตัวได้เพียง 7.7% อยู่ที่ 2,951.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ปริมาณส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่องอยู่ที่ 461.9 พันตัน (+3.3% YoY) ขณะที่ราคาส่งออกเฉลี่ยจะปรับเพิ่มขึ้น 3.1% YoY อยู่ที่ 4,464.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หนุนให้มูลค่าส่งออกปรับเพิ่มขึ้น 6.6% YoY อยู่ที่ 2,062.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าหลักยังขยายตัวได้ (เชิงปริมาณ) อาทิ สหราชอาณาจักร (+2.8% YoY) เนเธอร์แลนด์ (+6.8% YoY) ญี่ปุ่น (+2.1%) และไอร์แลนด์ (+6.5% YoY) สำหรับทั้งปี 2568 คาดว่าปริมาณการส่งออกไก่แช่แปรรูปของไทยจะขยายตัวได้ 3.0-4.0%

ปี 2569-2571 คาดว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตไก่เนื้อจะเติบโต 1.7-2.7% ต่อปี อยู่ที่ 2.05-2.15 พันล้านตัว เทียบเท่าปริมาณเนื้อไก่ที่ 3.58-3.83 ล้านตัน เติบโต 2.6-3.6% ต่อปี (ภาพที่ 14) จากความต้องการบริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ดังนี้
แนวโน้มปริมาณการบริโภคในประเทศคาดว่าจะเติบโต 1.7-2.7% ต่อปี (ภาพที่ 14) โดยความต้องการของตลาดในประเทศอาจยังชะลอตัวในปี 2569 จากภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลบั่นทอนความเชื่อมั่นในการบริโภค ก่อนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2570-2571 แรงหนุนจาก 1) การทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ 2) ผู้บริโภคยังคงมองหาสินค้าที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย ท่ามกลางภาวะที่ค่าครองชีพยังในระดับสูง ทำให้เนื้อไก่ยังเป็นตัวเลือกหลักของครัวเรือน และหากไทยบรรลุข้อตกลงนำเข้าข้าวโพดหรือกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ก็จะยิ่งเอื้อให้ราคาจำหน่ายมีโอกาสปรับลดลงได้อีกจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ปรับลดลง 3) กระแสรักสุขภาพที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ 4) เนื้อไก่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งด้านศาสนาและความยั่งยืน ต่างจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีข้อจำกัดด้านความเชื่อสำหรับบางศาสนา อีกทั้ง กระบวนการผลิตเนื้อไก่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู10/ และ 5) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปพร้อมทานหรือกึ่งพร้อมทานมีความหลากหลายมากขึ้นและพร้อมนำไปปรุงต่อได้สะดวก จึงตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เร่งรีบ




โดยทิศทางราคาไก่แช่แข็งและไก่แปรรูปคาดว่าจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในช่วง 2,800-2,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และ 4,300-4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในช่วงปี 2569-2571 (จาก 2,896.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และ 4,354.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในปี 2024) (ภาพที่ 18) ตามอุปสงค์โลกที่อาจยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนโดยเฉพาะในปี 2569 ก่อนที่อุปสงค์จะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปี 2570-2571 ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ อาทิ ข้าวโพดและถั่วเหลืองมีแนวโน้มทยอยลดลง โดยเฉพาะข้าวโพด หากการทำข้อตกลงนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ภายใต้การเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้ราคานำเข้าถูกลงเมื่อเทียบกับการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน

สำหรับปัจจัยท้าทายต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไก่แช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ที่อาจมีผลต่ออัตราการเติบโต ได้แก่
มาตรการกีดกันทางภาษีของสหรัฐฯ แม้ผลกระทบโดยตรงจะยังมีไม่มากนักเนื่องจากไทยส่งออกไก่ไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อย (0.003% ของมูลค่าการส่งออกของผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในปี 2567) แต่จะมีผลกระทบทางอ้อมในการบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดคู่ค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกไก่รายสำคัญของโลก หากมีการเจรจากับประเทศอื่นเพื่อให้นำเข้าไก่จากสหรัฐฯ ไทยอาจเสียส่วนแบ่งในตลาดโลก
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ รวมถึงลดทอนประสิทธิภาพการเจริญเติบโตและเพิ่มอัตราการตายของไก่จากภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะความเข้มงวดของมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีของประเทศผู้นำเข้า เช่น ข้อกำหนดด้านสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม สวัสดิภาพสัตว์ และแรงงานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนแก่ผู้ส่งออกไทย รวมถึงนโยบายปกป้องตลาดภายในของบางประเทศและการทำข้อตกลงทางการค้าระหว่างกันของประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย อาจลดความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทย และส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของไทยในระยะยาว
ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ยังมีผลกระทบโดยตรงไม่มากนัก (สัดส่วนมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยไปกัมพูชาเพียง 0.3% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยทั้งหมด) แต่อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคอินโดจีนผ่านกัมพูชา ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องหาเส้นทางการขนส่งทางเลือกอื่นที่มีต้นทุนสูงขึ้น
ด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการมีแนวโน้มหันมาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ 1) การเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล และก๊าซชีวภาพ พร้อมกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเน้นเครื่องจักรใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) การให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) เพื่อลดขยะจากกระบวนการผลิต และ 3) การเข้าร่วมโครงการต่างๆ ที่สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ อาทิ โครงการปลูกป่าชุมชน
ด้านสังคม ผู้ประกอบการเน้นการมีส่วนร่วมช่วยเหลือและพัฒนาสังคมมากขึ้น ได้แก่ 1) การช่วยเหลือชุมชน อาทิ การนำวัตถุอินทรีย์ที่เหลือจากกระบวนการผลิตไปช่วยเหลือเกษตรกรในชุมชนเพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมถึงสนับสนุนชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การรับผู้พิการเข้าทำงานหรือมีอาชีพเลี้ยงตนเองได้ 2) การช่วยเหลือบุคลากร อาทิ การสนับสนุนสวัสดิการต่างๆ ให้ครอบคลุมบุคคลในครอบครัว รวมถึงการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม 3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานและปลอดภัย ปราศจากการปนเปื้อนหรือสารเคมีตกค้างต่อผู้บริโภค และ 4) การดูแลสวัสดิภาพสัตว์ตามหลัก 5 ประการ11/
ด้านธรรมาภิบาล ผู้ประกอบการเน้นความสำคัญของการกำกับดูแลเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยรวม อาทิ 1) การกำกับดูแลกิจการที่ดี ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน หรือคอร์รัปชันภายในองค์กร 2) การบริหารจัดการความเสี่ยง ด้านสภาพภูมิอากาศ น้ำ ภัยธรรมชาติ หรือภัยคุกคามอื่นๆ และ 3) การรักษาจรรยาบรรณของผู้ประกอบการโดยรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ เนื่องจากอาหารสัตว์เป็นต้นทุนหลัก โดยมีสัดส่วนประมาณ 70% ของต้นทุนการผลิต ความก้าวหน้าด้านผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญสู่ความยั่งยืนในอนาคต ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาโปรตีนทางเลือก เช่น หนอนแมลงวันลาย (Black Soldier Fly Larvae)12/ สามารถให้โปรตีนทดแทนถั่วเหลือง13/ ซึ่งเป็นพืชที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน และอาจจะเผชิญปัญหาการรุกล้ำป่า นอกจากนี้ หนอนแมลงวันลายยังช่วยย่อยขยะอินทรีย์ต่างๆ เพื่อพัฒนาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้14/
