EXECUTIVE SUMMARY
ปี 2568 อุตสาหกรรมไบโอดีเซลมีทิศทางเติบโตชะลอลงตามกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ได้รับแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยน้อยกว่าปีก่อน ขณะที่บรรยากาศการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ปัจจัยข้างต้นทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซลเพื่อผสมน้ำมันดีเซลสำหรับการเดินทางและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงระดับหนึ่ง ขณะที่ปี 2569 และ 2570 คาดว่าความต้องการใช้ไบโอดีเซลจะทรงตัวหรือกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยที่ระดับเฉลี่ย 3.7-3.8 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5-2.5% ต่อปี ผลจากเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตอย่างช้าๆ จากแรงส่งด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก รวมถึงการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ E-commerce ที่ระดับเฉลี่ย 15% ต่อปี และจำนวนรถเครื่องยนต์ดีเซลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้งาน ตลอดจนนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐทั้งแนวโน้มการเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็น B7 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2567-2580 ที่กำหนดให้เพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลได้ตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา
ปัจจัยท้าทายของอุตสาหกรรมมาจากเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางเติบโตช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ไขได้ยาก ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จากการยุติการชดเชยราคาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2569 และการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะในยามที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับสูงขึ้น
มุมมองวิจัยกรุงศรี
วิจัยกรุงศรีประเมินผลประกอบการของอุตสาหกรรม ดังนี้
ข้อมูลพื้นฐาน
ไบโอดีเซล หรือที่เรียกว่า B100 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากน้ำมันพืช ไขมันสัตว์ หรือน้ำมันที่เหลือใช้จากการปรุงอาหาร นำมาผ่านกระบวนการทางเคมีร่วมกับแอลกอฮอล์ได้เป็นสารเอทิลเอสเทอร์ (Ethyl ester) หรือเมทิลเอสเตอร์ (Methyl ester) ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล จึงถูกนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบ เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ความต้องการใช้และการผลิตไบโอดีเซลในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยไบโอดีเซลถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในยุโรป สหรัฐฯ แคนาดา ละตินอเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น รวมถึงเอเชียบางประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการใช้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 3.3 หมื่นล้านลิตรในปี 2558 เป็นเฉลี่ย 6.5 หมื่นล้านลิตรปี 2565-67 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.8% ต่อปี (ภาพที่ 1) ขณะที่ ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 3.2 หมื่นล้านลิตร มาเป็นเฉลี่ย 6.6 หมื่นล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.3% ต่อปีในช่วงเดียวกัน ด้านผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย และบราซิล (ภาพที่ 2) ส่วนใหญ่ใช้เรปซีด เมล็ดทานตะวัน มะพร้าว ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ สำหรับไทยเป็นผู้ผลิตไบโอดีเซลอันดับ 6 ของโลก ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันปาล์มดิบ (Crude palm oil) เป็นวัตถุดิบการผลิต
การผลิตไบโอดีเซลเพื่อใช้ผสมน้ำมันดีเซลเชิงพาณิชย์ของไทยเริ่มต้นขึ้นในปี 2550 โดยระยะแรก ภาครัฐกำหนดให้ผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลที่สัดส่วน 2-3% เรียกว่า B2 และเพิ่มเป็น 5% (B5) 7% (B7) และ 10% (B10) ในปี 2554 ปี 2557 และปี 2562 ตามลำดับ (ภาพที่ 3) ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาครัฐจะปรับเพิ่ม/ลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นกับความเพียงพอของผลผลิตปาล์มน้ำมัน อาทิ ปี 2559 ปรับลดสัดส่วนไบโอดีเซลจาก 7% เหลือ 5% ในเดือนกรกฏาคม และเหลือ 3% ในเดือนสิงหาคมเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์ม และป้องกันการขาดแคลนน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค ก่อนปรับเป็น 5% อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนเมื่อสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การผลิตไบโอดีเซลจะเน้นใช้ในประเทศเกือบทั้งหมด ขณะที่การนำเข้าไบโอดีเซลจากต่างประเทศจะต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมธุรกิจพลังงาน
นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมไบโอดีเซล โดยเฉพาะแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan: AEDP) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการผลผลิตน้ำมันปาล์มให้เพียงพอสำหรับการผลิตไบโอดีเซล รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนและสิทธิพิเศษต่างๆ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิเป็นเวลา 8 ปี การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 50% ของอัตราปกติเป็นเวลา 5 ปี และการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร เป็นต้น
การผลิตไบโอดีเซลของไทยใช้น้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil: CPO) เป็นวัตถุดิบหลัก นอกจากนี้ ยังผลิตได้จากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (Refined Bleached and Deodorized Palm Oil: RBDPO) ไขน้ำมันปาล์ม (Palm stearin) หรือน้ำมันพืช (ภาพที่ 4) โดยข้อมูลปี 2567 พบว่าไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน 6.3 ล้านไร่ ให้ผลผลิตปาล์มดิบ 18.6 ล้านตัน นำมาผลิตเป็น CPO ได้ 3.3 ล้านตัน ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล 1.05 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 31.8% ของปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ ส่วนที่เหลือนำไปใช้เพื่อการบริโภค
การแข่งขันของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลไม่สูงมากนัก เนื่องจากมีผู้ประกอบการน้อยราย ข้อมูลล่าสุด (เดือนกรกฎาคม 68) พบว่าผู้ผลิตที่ขึ้นทะเบียนกับกรมธุรกิจพลังงานมีจำนวน 15 ราย กำลังการผลิตรวม 11.7 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจาก 11.9 ล้านลิตรต่อวันในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตที่ต่อยอดจากอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากการกลั่น และการผลิตเคมีภัณฑ์ ผู้ผลิตรายสำคัญ ได้แก่ บจ.น้ำมันพืชปทุม บมจ.โกลบอลกรีนเคมีคอล บจ.นิว ไบโอดีเซล บจ.บีบีจีไอ ไบโอดีเซล และ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ตามลำดับ (ตารางที่ 1) การผลิตไบโอดีเซลจะเน้นเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ส่วนการผลิตเพื่อใช้เองในชุมชน1/ ส่วนมากจะอยู่ในภาคเกษตรเขตพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้
โครงสร้างต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล ส่วนใหญ่เป็นต้นทุน CPO คิดเป็นสัดส่วน 70% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ที่เหลือเป็นต้นทุนสารเคมี 20% และค่าดำเนินการ 10% สำหรับการกำหนดราคาไบโอดีเซลในประเทศจะเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน และใช้เป็นราคาอ้างอิง2/ ในการขายให้กับโรงกลั่นน้ำมันและ/หรือผู้ค้าน้ำมันตามพ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ผลประกอบการของธุรกิจขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) นโยบายพลังงานทดแทนของประเทศ3/ ในการบริหารจัดการสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลให้สอดคล้องกับปริมาณวัตถุดิบ4/ และ (2) ส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาวัตถุดิบ (โรงกลั่นน้ำมัน/ผู้ค้าน้ำมันมักมีอำนาจต่อรองเหนือผู้ผลิตไบโอดีเซล โดยอาจกำหนดราคารับซื้อมาก/น้อยกว่าราคาอ้างอิงจากทางการ)

สถานการณ์ที่ผ่านมา
ปี 2565 อุตสาหกรรมไบโอดีเซลเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดรุนแรงของโรค COVID-19 ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมชะงักงัน ส่งผลให้ภาครัฐปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเหลือเพียง 5% (B5) ก่อนเพิ่มเป็น 7% (B7) ในเดือนตุลาคม 2565 เพื่อดูดซับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน หลังมีการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นจากราคาที่จูงใจให้เกษตรกร ขณะที่ยังคง B20 สำหรับใช้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซลลดลงเหลือเพียง 3.8 ล้านลิตร เทียบกับระดับสูงสุด 5.1 ล้านลิตรในปี 2563 อย่างไรก็ตาม การทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งหลังของปี และการกลับมาดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับปี 2564 ผลักดันความต้องการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2566 ที่ 4.4 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 15.8% จากปี 2565 (ภาพที่ 5 และ 6) ขณะที่ราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 34.1 บาทต่อลิตร
ปี 2567 ความต้องการใช้ไบโอดีเซลได้แรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวซึ่งทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น ขณะที่การเติบโตของธุรกิจ E-commerce ทำให้มีการใช้รถขนส่งเชิงพาณิชย์มากขึ้น สะท้อนจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2.3% จากปี 2566 อย่างไรก็ตาม ราคาไบโอดีเซลขยับสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากผลผลิตปาล์มที่ลดลงหลังเผชิญสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง (ช่วงปลายปี 2565 ต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม 2566) รวมถึงการเกิดภาวะอุทกภัยในหลายพื้นที่ของภาคใต้ ส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวและการขนส่งผลปาล์ม ผนวกกับความต้องการใช้น้ำมันปาล์มปรับสูงขึ้นเพื่อทดแทนน้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาสูง ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40-45 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับราคาเฉลี่ย 30-33 บาทในช่วง 3 ไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สต็อกน้ำมันปาล์มลดลงมาอยู่ที่ 200,000 ตัน ส่งผลให้ราคา CPO เฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้น 13.4% จากปี 2566 หรือ 35.5 บาทต่อกิโลกรัม ผลักดันให้ราคาไบโอดีเซลสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยสูงกว่าราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซล (B0) ที่ 1.5 เท่าในเดือนกรกฎาคม และสูงกว่า 2.5 เท่าในช่วงปลายเดือนตุลาคม ทำให้ต้นทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและลดภาระการอุดหนุนแก่กองทุนน้ำมันฯ ภาครัฐจึงกำหนดให้ลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นไม่ต่ำกว่า 5% (B5) จากเดิม 7% (B7) (มีผล 21 พฤศจิกายน 2567) ซึ่งทำให้การใช้ CPO ในภาคพลังงานลดลงประมาณ 28,000 ตันต่อเดือน ขณะที่ต้นทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงประมาณ 0.46 บาทต่อลิตร โดยสถานการณ์ไบโอดีเซลปี 2567 สรุปได้ดังนี้
-
ความต้องการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ยที่ 4.4 ล้านลิตรต่อวัน ใกล้เคียงปี 2566 และลดลง -10.5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติ COVID-19 ในปี 2562 ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ (B7/ B10/ และ B20) เฉลี่ยที่ 66.8 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.2% จากปี 2566 (ภาพที่ 7)
-
ปริมาณการผลิตไบโอดีเซลลดลงเล็กน้อย -0.4% จากปี 2566 โดยเฉลี่ยที่ 4.6 ล้านลิตรต่อวัน สาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้ไบโอดีเซลที่ทรงตัว ประกอบกับมีการเร่งผลิตไบโอดีเซลในปี 2566 เนื่องจากราคา CPO ปรับลดลงตามปริมาณผลผลิตที่มีมาก สะท้อนจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลอยู่ที่ 44.6% ก่อนปรับลดลงมาอยู่ที่ 39.1% ในปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับระดับความต้องการของตลาดที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี ด้านสต๊อกน้ำมันปาล์ม ณ สิ้นเดือนธันวาคมอยู่ที่ 204,194 ตัน ลดลง -28.9% จากปี 2566 (ภาพที่ 8)
แนวโน้มธุรกิจ
ปี 2568 ความต้องการใช้ไบโอดีเซลมีทิศทางปรับลดลงต่อเนื่อง จากกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ท่ามกลางสัญญาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่แผ่วลง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนแรกของปีลดลง -7.2% YoY ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโตเพียง 2.4% ชะลอลงจาก 4.4% ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บรรยากาศการค้าโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ ปัจจัยข้างต้นกระทบความต้องการเดินทางและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ลดลงในระดับหนึ่ง เมื่อผนวกกับภาครัฐยังคงสัดส่วนผสมไบโอดีเซลที่ B5 ทำให้ความต้องการ CPO เพื่อทำไบโอดีเซลมีจำกัด กดดันราคา CPO ปรับลดต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดตามฤดูเก็บเกี่ยว โดยสถานการณ์ไบโอดีเซล สรุปได้ดังนี้
-
ช่วงครึ่งแรกของปี ราคา CPO เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15.0% YoY ขณะที่ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น 14.1% YoY โดยราคา CPO ทยอยปรับลดในไตรมาส 2 ที่ระดับเฉลี่ย 32.8 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง -25% QoQ ส่งผลให้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 40.9 บาทต่อลิตร ลดลง -23% QoQ ด้านความต้องการใช้ไบโอดีเซลเฉลี่ยที่ 3.5 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง -24.6% YoY ส่งผลให้สต๊อก CPO สะสมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ที่ 475,865 ตัน
-
ช่วงครึ่งหลังของปี คาดว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเติบโตชะลอลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี จะหนุนภาคท่องเที่ยวและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อการเดินทางและขนส่งสินค้ามากขึ้น ผนวกกับภาครัฐมีสัญญาณปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล (B100) จาก 5% เป็น 7% เพื่อพยุงราคาผลปาล์มดิบช่วยเหลือเกษตรกร ส่งผลให้ปี 2568 ปริมาณการใช้ไบโอดีเซลจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 3.6 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง -18% จากปีก่อนหน้า
ปี 2569-2570 วิจัยกรุงศรีคาดว่าความต้องการใช้ไบโอดีเซลจะทรงตัวหรือกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยที่ระดับเฉลี่ย 3.7-3.8 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5-2.5% ต่อปี (ภาพที่ 10) โดยมีปัจจัยหนุนจาก
-
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ที่ระดับเฉลี่ยราว 1.5-2.5% ต่อปี จากแรงส่งด้านการท่องเที่ยว (คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 38 ล้านคนภายในปี 2570) ทำให้มีความต้องการเดินทางเพิ่มมากขึ้น
-
การเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ E-commerce โดย e-Conomy SEA 2024 คาดว่ามูลค่าตลาด E-commerce ของไทยจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 เทียบกับ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 หรือเติบโตเฉลี่ย 15.0% ต่อปี ซึ่งจะหนุนความต้องการรถขนส่งเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะรถปิกอัพ
-
จำนวนรถเครื่องยนต์ดีเซลสะสมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี อานิสงส์จากการเข้าสู่ปรากฏการณ์ La Niña (ปี 2568-2569) เอื้อต่อการเพาะปลูก ทำให้ผลผลิตเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงผลผลิตปาล์มดิบที่คาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% ต่อปี หนุนความต้องการใช้รถกระบะเพื่อบรรทุกพืชผลเกษตรมากขึ้น และ
-
นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ ได้แก่ (1) การปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็น B7 (คาดว่าจะมีผลปลายปี 2568) และ (2) ร่างแผนปฏิบัติการน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2567-2580 (Oil Plan 2024) กำหนดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลไว้ที่ 6.6-7.0% ในระยะแรก ซึ่งเป็นระดับที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ภายใต้มาตรฐาน Euro 5 และในระยะถัดไป เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายให้การรับรองเพิ่มเติม สามารถปรับเพิ่มสัดส่วนผสมได้ในช่วง 5.0-9.9% ตามความเหมาะสมด้านราคาและสต๊อกน้ำมันปาล์มในแต่ละช่วงเวลา
ปัจจัยข้างต้นจะส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.0-2.0% ต่อปี ขณะที่การใช้น้ำมันดีเซล B7 จะเพิ่มขึ้นเป็น 67-68 ล้านลิตรต่อวัน เทียบกับ 66.5 ล้านลิตรปี 2567 นอกจากนี้ ภาครัฐยังกำหนดให้ B7 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานเพียงชนิดเดียว และมีแนวโน้มจะยุติการใช้น้ำมันดีเซล B20 อย่างถาวร สะท้อนจากผู้ค้าน้ำมันทยอยลดหรือเลิกจำหน่าย B20 ตั้งแต่ปี 2565 ขณะที่ข้อมูลช่วงไตรมาสแรกปี 2568 พบว่าปริมาณการใช้ B20 ลดลงมาก โดยเฉลี่ยเหลือเพียง 34,000 ลิตรต่อวัน ความต้องการใช้ไบโอดีเซลเพื่อผสมในน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 39.0-40.0% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เทียบกับ 39.1% ในปี 2567 (ภาพที่ 11) สะท้อนปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่จะมีอยู่ต่อเนื่อง
ในระยะต่อไป โอกาสของอุตสาหกรรมจะมาจากการนำไบโอดีเซลมาผสมน้ำมันเตากำมะถันต่ำมาก (Very low sulphur fuel oil: VLSFO) เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับเรือเดินสมุทร (Bio-VLSFO) ซึ่งปัจจุบันได้จากการผสมน้ำมันเตากำมะถันต่ำกับน้ำมันที่ผลิตจากน้ำมันพืชใช้แล้ว และเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการขนส่งทางน้ำทั่วโลก อย่างไรก็ตาม น้ำมันพืชใช้แล้วยังถูกนำไปใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับการบิน (SAF) เช่นกัน จึงอาจทำให้ปริมาณมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ทั้งนี้ หากไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันได้รับการยอมรับด้านความยั่งยืน ก็จะสามารถนำไปใช้ผลิต Bio-VLSFO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้ประกอบการเดินเรือมีข้อกำหนดต้องผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในสัดส่วนระหว่าง 17.6% ถึง 23.3% กับเชื้อเพลิงที่ใช้ภายในปี 2571 ซึ่งในประเทศไทยมีบริษัทเอกชนที่ผลิต B24-VLSFO เชิงพาณิชย์แล้ว (ผสมไบโอดีเซล 24%) ด้านกรมธุรกิจพลังงานคาดว่าส่วนแบ่งตลาดโลกของ B24 VLSFO5/ จะเพิ่มขึ้นเป็น 29.2% ของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงของเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศภายในปี 2573 จาก 8.3% ปี 2568
ปัจจัยท้าทายของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลมาจาก (1) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้ากว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างและภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ (Reciprocal Tariff) ซึ่งกระทบการเติบโตของไทยและประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน (2) ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จากการยุติการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2569 และแนวโน้มการเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซล (จากปัจจุบัน B5) จะผลักดันราคาปรับสูงขึ้น กระทบความต้องการใช้ไบโอดีเซล และ (3) การบริหารจัดการต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลในแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากน้ำมันปาล์มดิบอาจขาดแคลนในบางช่วงเวลา ผลักดันให้ราคาปรับสูงขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะหลังอินโดนีเซีย (ผู้ผลิตปาล์มรายใหญ่ของโลก) ปรับขึ้นภาษีส่งออกผลิตภัณฑ์ปาล์มจาก 7.5% เป็น 10% (มีผล 17 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) เพื่อเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B35 เป็น B40 (ปี 2568) และ B50 (ปี 2569) ขณะที่มาเลเซียมีแนวโน้มดำเนินการเช่นเดียวกัน โดยธนาคารโลกคาดว่าราคา CPO จะเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2569
ในระยะยาว ยังต้องติดตามทิศทางการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าอาจกระทบความต้องการใช้ไบโอดีเซล โดยกระทรวงพลังงานตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicles: ZEVs) อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน ที่สัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 และส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั่วประเทศ โดยจะติดตั้งสถานีอัดประจุสาธารณะหัวจ่ายแบบ Fast Charging จำนวน 12,000 หัวจ่าย รวมถึงติดตั้งสถานีอัดประจุในสถานีบริการ 2,239 แห่งในปี 2568-2570 เพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จึงอาจทำให้การบริโภคน้ำมันรวมถึงไบโอดีเซลชะลอตัวลง
1/ มีจำนวนกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นศูนย์การเรียนและโครงการส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลในชุมชน
2/ หลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซลจะสะท้อนราคาวัตถุดิบหรือต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิต 3 ชนิด
ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และไขน้ำมันปาล์ม
3/ แผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2561-2580 หรือ AEDP 2018
4/ กรมธุรกิจพลังงานจะกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลตามปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบหลังจัดสรรสำหรับผลิตเพื่อการบริโภค
5/ B24 คือเชื้อเพลิงชีวภาพทางทะเลที่มีส่วนผสมของเมทิลเอสเทอร์ (UCOME) ซึ่งสังเคราะห์จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่จัดเป็นของเสีย ในอัตราส่วน 24% ผสมกับน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (VLSFO) ที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 0.5% โดยเชื้อเพลิงชนิดนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านการปล่อยมลพิษต่ำ และสามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องดัดแปลงเครื่องยนต์หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิงของเรือ