เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

By คุณพัชรพล แตงรื่น (Alex Face)

คาแรคเตอร์เด็กน้อยสามตาบนกำแพงที่หลายคนเห็นแล้วต้องร้อง “อ๋อ” เพราะเคยเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ และถึงจะไม่ได้เป็นแฟนสตรีทอาร์ตตัวยง แต่ใครก็ตามที่พบเจอก็สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าคาแรคเตอร์ดังกล่าวดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลย นอกเหนือจากความน่ารักน่าเอ็นดู คาแรคเตอร์เหล่านั้นยังแฝงไว้ด้วยเรื่องราวและมุมมองต่อพื้นที่จัดแสดงงานผ่านสายตาของศิลปิน กราฟิตี้ที่ชื่อ Alex Face

อะไรคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มทำกราฟิตี้

พื้นฐานของผมเป็นเด็กชอบวาดรูป ตั้งแต่เด็ก ๆ มาเรื่อย ๆ ไปประกวดวาดรูปตามโรงเรียนแล้วก็เลือกเรียนศิลปะเลือกเรียนวิจิตรศิลป์ ในช่วงที่เรียนวิจิตรศิลป์เป็นช่วงที่กราฟิตี้และวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอปเข้ามา มันมีความน่าสนใจดูน่าสนุกดี ผมก็เลยอยากศึกษาว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไรก็เลยเข้าเว็บไซต์จนไปเจอเขาพ่นสเปรย์ จำได้ว่าซื้อสีมาพ่นชื่อตัวเองเป็นชื่อ Alex ที่สำคัญผมรู้สึกว่ามันเป็นเทคนิคที่ฉับไวและสนุก ตอนช่วงแรกก็เลยเริ่มไปหากำแพงพ่นกับเพื่อน
เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

ฉายา “Alex Face” ชื่อนี้มีที่มา

อย่างกราฟิตี้จะต้องมีฉายาใช่ไหมครับ ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า Alex ก็แท็กเป็นลายเซ็นชื่ออยู่พักนึง เริ่มรู้สึกว่าอยากจะพ่นอะไรที่บอกคนให้จดจำได้แล้วเพราะ Graffiti คือการประกาศตัวตน แต่ผมรู้สึกว่าถ้าจะประกาศตัวตนก็เอาหน้ามาโผล่ดีกว่า เลยเริ่มต้นคาแรคเตอร์ที่เป็นหน้าตัวเองก่อน ก็เป็นภาพมาจากที่ทำงานส่งอาจารย์ตอนเรียน พอไปพ่นกำแพงก็กลายเป็นสัญลักษณ์คือหน้าของผมในที่ต่าง ๆ ก็เลยรวมกันเป็น Alex Face

ที่มาของคาแรคเตอร์เด็กสามตามีความหมายอย่างไร

มีแรงบันดาลใจมาจากลูก ผมพ่น Alex Face มาอยู่ประมาณ 8 ปี มันก็ค่อนข้างนานพอสมควร มันอิ่มตัวแล้ว ช่วงนั้นมันก็เป็นช่วงผมพยายามคิดงานใหม่ ๆ เทคนิคใหม่ ๆ ประกอบกับชีวิตที่มันเปลี่ยนพอดี ช่วงนั้นมันหักเหอะไรหลาย ๆ อย่าง พอมีลูก ผมก็อยู่กับการเลี้ยงลูกพาลูกไปทำกิจกรรม ตอนเขาเล็ก ๆ เขาจะทำหน้าบูด ๆ บี้ ๆ เห็นหน้าเขาแล้วผมก็เกิดคำถามเขาคงกังวลในอนาคตหรือเปล่า? ความจริงแล้วเด็กก็ไม่กังวลหรอกแต่ผมได้ไอเดีย จินตนาการของผมในอนาคตผ่านการมีลูก ผ่านความกังวล เราก็เป็นพ่อมือใหม่ ผมคิดว่าในโลกเราต่อไปอนาคตจะเป็นยังไง ลูกเราจะโตไปอยู่ในโลกแบบไหน สังคมแบบไหน ก็เลยกลายเป็นว่าเอา character หน้าเด็กที่มันดูเบื่อ ๆ ก็เลยเริ่มไปพ่นตามถนน รู้สึกว่าถ้าเราไปพ่นหน้าเด็กที่กังวลหรือสงสัยอาจทำให้คนเกิดคำถามขึ้นมา หน้าเด็กเป็นการส่งสารอะไรบางอย่างให้คนได้ฉุกคิด แบบลูกหลานโตไปจะเป็นยังไง อีกอย่างการพ่นส่วนใหญ่ตอนนั้นอยู่พื้นที่เมือง พื้นที่แบบกรุงเทพวุ่นวายถ้าเด็กทำหน้าแบบนั้นในสภาพแวดล้อมของความเป็นเมืองมันเล่าเรื่องของความเป็นเมืองใหญ่ได้ดี บางคนอยู่ในเมืองคนเยอะ ๆ รถติด ๆ คนก็รู้สึกแบบนั้น เป็นแบบเราต้องอยู่ในเมืองใหญ่มันเข้ากับบริบทในการเป็นเมืองเข้ากับบริบทของสตรีทอาร์ต
ส่วนการนำเอาสัตว์เข้ามาร่วมในงานเพราะสัตว์เป็นสัญลักษณ์ที่สามารถสื่ออารมณ์ได้ เช่น สิงโต สัตว์ดุร้ายทำให้เรารู้สึกโกรธ, นกอินทรีย์ที่ดูผงาด, นกฮูกเรื่องของความมืด ความลี้ลับ และช่วงหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงต่อเด็กค่อนข้างเยอะ เลยรู้สึกว่าเด็กเป็นเหยื่อของความรุนแรงแบบเขาไม่มีทางสู้เปรียบเทียบแล้วก็น่าจะเป็นกระต่ายเด็กที่ถูกกระทำ หูของกระต่ายก็อาจจะสื่ออารมณ์ด้วย บางทีหูตกก็คือเศร้า หูตั้งอาจจะดูตระหนก แล้วก็มีที่เกิดจากความผิดพลาดคือเอาสีไปไม่พอ จะพ่นลูกตาอีกข้างหนึ่งแล้วสีแดงหมดเหลือสีน้ำเงิน ก็คิดได้ว่าคนเราไม่ได้มีแค่ด้านเดียว อย่างในสังเวียนมวยก็มีมุมแดงมุมน้ำเงิน ก็อยากจะบอกว่ามนุษย์เรามีหลากหลายอารมณ์ หลายมุม หลายมิติ คนหนึ่งคนไม่ได้ดีหรือชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ผ่านลูกตา 2 สี เป็นบุคลิกมุมแดงมุมน้ำเงินอะไรอย่างนี้
เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

การเตรียมตัวในการทำงาน ขั้นตอน และใช้อะไรเป็นแรงบันดาลใจ

ส่วนใหญ่ก็เกิดจากเราอยากเล่า มันมีประเด็นอะไรที่มันกระทบที่มันเกิดขึ้นในสังคม ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะพูดออกไปให้คนอื่นเขาได้ฉุกคิดผ่านงานศิลปะของเรา ขณะนั้นประเด็นอะไรที่คนพูดถึง เป็นการแชร์ผ่านกระบวนการเชิงสร้างสรรค์ก็เลยทำให้เราอยากออกไปวาดหรือว่าอยากออกไปพ่น เพราะว่าการออกไปพ่นหรือไปวาดแต่ละครั้งเราต้องทนกับความร้อน ต้องทนกับมลภาวะ ต้องพ่นกลางแดดทั้งวัน ถ้าเกิดว่าไม่มี passion จริง ๆ จะไม่อยากออกไปนะมันร้อน ต้องมีแรงผลักที่เราจะอยากสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หลังจากนั้นเรื่องขั้นตอนเทคนิค ก็คือแบบ เราต้องร่างแบบก่อนเป็นข้อมูลที่อยู่ในสมุดก็เอามาปรับใช้ในการทำงานกำแพง ทำงานแต่ละพื้นที่มันจะต่างกัน ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่ บางย่านมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาตามท้องถิ่น ลักษณะของกำแพงเป็นยังไง สูงไหมหรือกำแพงยาวพื้นที่มันไม่เหมือนกัน มีต้นไม้ไหม มีสายไฟไหม ทุกอย่างเอามาเป็นงานหมดเลยแล้วก็ต้องเอามาคิดกับสภาพแวดล้อมตรงนั้นให้มากที่สุด เอาบริเวณนั้นมาเล่นกับงานให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นเสน่ห์ของการทำงานจริง ๆ

หลักเกณฑ์หรือมุมมองในการเลือกสถานที่ ที่จะเข้าไปทำงานต้องดูอย่างไร?

กรณีที่เราชอบกำแพงนั้นจะบอกได้เลยว่ากำแพงนี้โดน ถ้าสเปคมันตรงกับที่เราคิดไว้พอเห็นแล้วไอเดียจะมาเลย และมีกำแพงอีกแบบที่เขาอยากให้เราทำงานให้ก็ต้องตีโจทย์ให้มีประเด็น มันจะไม่เหมือนที่เราไปเจอแล้วเราชอบมันโดน ก็มีความหลากหลายส่วนใหญ่เขาก็จะมีโจทย์อยู่ในสิ่งที่เขาอยากได้ ถ้าเป็นงาน commercial จะเป็นประเภทงาน urban Festival มีกำแพงให้เราไปทำงาน เขาก็มักจะไม่บังคับอะไรให้เราคิดเต็มที่ไปเลย

โปรเจคต์ที่ประทับใจ

กำแพงที่ผมชอบก็จะมีแถวตรงข้ามมาบุญครอง ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่เป็นโปรเจคต์ที่ทำเกี่ยวกับสันติภาพของกรุงเทพ แล้วกำแพงตรงนั้นเป็นเหมือนใจกลางเมืองก็เป็นโอกาสที่ผมได้ทำงานชิ้นใหญ่ ๆ ชิ้นแรก เป็นความท้าทายด้วย เพราะเราจะควบคุมให้มันอยู่ได้ยังไงในเมื่อมันใหญ่ขนาดนั้น ปรากฏว่าสนุกแล้วก็ท้าทายมาก เพราะถ้าพ่นใหญ่แล้วไม่มีพื้นที่ให้คนได้มองก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเราเห็นงานไม่เต็มที่ แต่ชิ้นนี้เราทำให้คนมองเห็นได้จากชั้นต่าง ๆ ของตึก
เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

ความแตกต่างของวิธีจัดการเวลาทำงานก่อนและหลังมีครอบครัว

ค่อนข้างโชคดีที่ผมสามารถแบ่งเวลาส่วนตัวได้ อย่างตอนเลี้ยงลูกเขาตื่นก็ตื่นไปกับลูก พอลูกหลับก็หลับไปพร้อมกับลูกได้ ไม่ต้องตื่นไปทำงานตามเวลาเหมือนกับคนอื่นที่ตอนเช้าต้องไปทำงาน คือทุกคนก็คงสามารถจัดการเวลาเกี่ยวกับครอบครัวได้ แต่ผมอยู่บ้านทำงานที่บ้านสามารถอยู่กับครอบครัวได้สะดวก

ความหมายของสตรีทอาร์ตในความคิดของ Alex Face

Street Art คืองานที่เรียกร้อง หรือต้องมี Message เป็นการบอกเล่าอะไรบางอย่างออกไปให้คนได้รับรู้ได้เกิดคำถาม ที่หลายคนรู้สึกว่า สตรีทอาร์ตถ้าแปลตรงตัวก็คือศิลปะบนถนน แต่ผมรู้สึกว่าถ้าเราไปวาดดอกไม้บนกำแพงอย่างนี้โดยที่ดอกไม้ดอกนั้นมันไม่ได้สื่อสารอะไรเลยผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ หรือหลายคนบอกว่า เออ...เอาชอล์กไปวาดบนถนนเป็นสตรีทอาร์ตไหม? ผมก็ว่ามันก็ใช่แต่มันยังไม่ใช่ในความรู้สึกของผมนะ มันจะมีวัฒนธรรมของมันอยู่บางอย่าง เหมือนมีการบอกเล่าอะไรบางอย่าง ต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่าง แล้วมันก็เล่นกับสภาพแวดล้อม มีความตรงไปตรงมาบางทีเห็นแล้วเข้าใจได้เลยว่าต้องการจะสื่ออะไร ต้องการจะพูดอะไร เสน่ห์อยู่ที่ความคิดตรงไปตรงมาและความฉับพลันที่อยู่ในตัวงาน
คิดว่ามีอะไรที่คนนอกยังไม่ค่อยเข้าใจสังคมของชาวกราฟิตี้หรือสตรีทอาร์ตบ้าง
ถ้าพูดรวม ๆ แล้วสตรีทอาร์ตหรือกราฟิตี้มันยังหลากหลายอยู่ บางคนก็ต้องการทำเพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่างของตัวเอง ต้องการแค่ความตอบสนองอะไรภายในของตัวเองเป็นความอิสระของเขาอะไรแบบนี้ คือผมว่ามันมีความหลากหลายอยู่เยอะค่อนข้างที่จะบอกยากว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันมีทุกแบบเลยแต่ผมคิดว่าทุกอย่างมันคือการแสดงออก ตอนนี้มีทั้งเฟสติวัลมีอีเวนต์อะไรต่าง ๆ ที่งานสตรีทอาร์ตก็เริ่มมีคนนำมาทำเยอะขึ้นในกรุงเทพ
เปิดดวงตาที่ 3 ผ่านมุมมองสตรีทอาร์ตของ Alex Face

อยากให้พูดถึงเด็กๆ ที่กำลังค้นหาเส้นทางตามความชอบของตัวเอง

ช่วงวัยที่เราอยู่ในการค้นหาต้องเรียนรู้ก็โชคดีว่าผมรู้ตัวตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ตัวแล้วก็โฟกัสกับมัน ตอนแรกที่ทำกราฟิตี้เนี่ยในช่วงแรก ๆ มันไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับผมนะ เหมือนกับว่าคนที่เรียนด้วยกันก็มองว่าผมทำอะไรที่มันไร้สาระ ไม่มีอนาคต ไปพ่นทำไมกำแพงเป็นพวกมือบอนเป็นพวก Underground มันไม่มีประโยชน์ทำไมไม่เอาเวลามาทำงานศิลปะ ทำไมต้องเอาเวลาไปพ่นกำแพง ใช่มันอาจจะดูไร้สาระแต่ผมรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ไม่ได้ฟังแล้วรู้สึกตามไปว่าไร้สาระ เลิกทำมันไปมันก็ไม่เกิดการพัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ต้องหาสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ก็ค้นหาว่าเราชอบอะไรไม่ควรอยู่นิ่ง ๆ ลอย ๆ เราต้องลงทุนหาหนังสืออ่าน ต้องลงมือทำแล้วจะเรียนรู้จากการลงมือว่าเราชอบมันจริงไหม บางคนที่ชอบศิลปะอย่างเดียวเลยก็ต้องฝึกฝนค้นหาเทคนิควาด ผมอยากรู้ว่าการวาดรูปต้องทำยังไงก็ไปตามหาคนที่เขาวาดเป็นผมก็ฝากตัวเป็นศิษย์เลยนะ พี่สอนผมหน่อย วาดต้นไม้ วาดดอกไม้ วาดวิว วาดทะเล และทุกอย่างวาดยังไงให้สวยผมไปหาหมดเลย เมื่อก่อนไม่มี Social Media ก็ไปซีคอนสแควร์ ไปสยาม ไปมาบุญครอง ผมอยู่ฉะเชิงเทรานั่งรถเมล์มาเพื่อมาดูในห้างเขาวาดกันยังไง ไปชลบุรีตามห้างที่เขามีวาดรูปเหมือน ผมตั้งใจไปเพื่อมาดูแค่นั้นแล้วกลับไปวาด กลับไปเปิดหนังสือหัดวาดตาม
เวลาไปหาคนสอนผมก็วาดรูปไปก่อนแล้วให้เขาดูว่าผมวาดเป็นยังไง? ไม่ใช่ว่าเราให้เขาสอนโดยที่เราไม่ทำให้ดูว่าของเราโอเคหรือเปล่า ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยแล้วเขาจะสอนอะไรล่ะ อันนี้คนส่วนมากคิดว่าเป็นอะไรที่มันได้มาง่าย ๆ อย่างตอนฝึกที่เขาใช้ให้ไปติดตั้งป้ายแล้วต้องทำโครงไม้ไผ่ผมไม่ถามเลยว่าเขาให้เงินเท่าไหร่ เวลาทำก็ทำให้สุดไปเลยไม่ใช่ว่าเราได้พ่นครั้งหนึ่งแล้วบอกว่าตัวเองเป็นศิลปินกราฟิกตี้แล้วนะ ตอนนั้นผมพ่นทุกวัน ดูเว็บเขาพ่นยังไง? ใครพ่นสไตล์ไหน? ที่ต่างประเทศเขาเป็นยังไงกัน? มีครั้งหนึ่งผมไปไต้หวันอยากได้กำแพงตรงนั้นเป็นหมู่บ้านศิลปิน การจะไปพ่นต้องผ่านขั้นตอนนี่นั่น แล้วผมมารู้ว่าจะได้กำแพงนั้นตอนที่จะกลับ กำหนดขึ้นเครื่องประมาณ 3 โมงเย็น แต่มารู้เรื่องตอนบ่าย 2 ผมวิ่งไปพ่นครึ่งชั่วโมงเสร็จเก็บของไปแอร์พอร์ตทั้งที่มือเลอะสีเลย ถ้าเราไม่ได้พ่นเนี่ยผมจะรู้สึกแย่ตอนนั่งบนเครื่องบินคงไม่สบายใจ

ขอคำนิยามของ Alex Face ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

เป็นคนที่ค่อนข้างอยู่กับปัจจุบันเยอะพอสมควร คือผมก็มีเป้าหมายในอนาคต แต่ไม่ได้ไปเรียกร้อง คาดหวัง เร่งเร้า จะอยู่กับความสุขก็แค่สิ่งที่เราทำในตอนนี้ ถ้าทำงานก็จะคิดงานที่ทำปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุดก่อนแค่นั้นเอง แค่นั้นง่าย ๆ ส่วนอนาคตมันจะรันไปของมันเอง โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกแค่ว่ามีความสุขกับการได้นั่งวาดรูป ปัจจุบันนี้ผมยังมีความสุขกับการวาดรูปอยู่เหมือนตอนที่ผมเป็นเด็ก และถ้าในอนาคตผมยังได้ทำสิ่งนี้อยู่ผมว่านั่นแหละผมก็ประสบความสำเร็จแล้ว
มีวันหนึ่งที่ผมนั่งวาดรูปนั่งปั้นดินน้ำมันอยู่แล้วมีลมเย็น ๆ พัดมา ทำให้นึกถึงตอนเด็กที่กำลังนั่งปั้นดินน้ำมันอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน แล้วมันทำให้เราหวนคิดถึงอะไรบางอย่าง เมื่อลมมากระทบแล้วเรากำลังปั้นอยู่ เรากำลังหายใจแบบนี้ ปั้นดินแบบนี้เหมือนตอนเป็นเด็ก ถ้าในอนาคตตอนแก่ยังได้นั่งปั้นดินน้ำมันแบบนี้อยู่ยังโดนลมมากระทบตัวแบบนี้ ผมว่าชีวิตผมก็คงมีแค่นี้แหละ
หลายๆ คนมองว่าศิลปินเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงจนกว่าจะมีชื่อเสียง สำหรับคุณ Alex Face ทำให้เราได้เปิดมุมมองมากขึ้น ทั้งให้ข้อคิดในเรื่องแรงบันดาลใจ ความเพียรพยายามในการฝึกฝนสิ่งที่ชอบ ไม่มีอะไรยากเกินไปถ้าเป็นสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเพราะไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา