ในยุคที่สังคมโลกเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และการบริโภคนิยมที่มาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์ แนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงเป็นปรัชญาที่มีคุณค่า และความหมายอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินชีวิตในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนถึงระดับชุมชนและประเทศ เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำทางให้เราสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนสำหรับประชาชนทุกระดับ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานแนวคิดนี้เพื่อเป็นหลักในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง
คำว่า “พอเพียง” หมายถึง การดำเนินชีวิตอย่างมีความสมดุล ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป โดยมุ่งเน้นให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพาจากภายนอก และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ไม่ได้หมายถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือไม่พัฒนา แต่มุ่งให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้ตนเองก่อนที่จะขยายผลไปสู่สังคมในวงกว้าง โดยทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีความรู้คู่คุณธรรม
เจาะลึกหลักเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถสรุปได้เป็นแนวทาง “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความสมดุลและยั่งยืนในการดำเนินชีวิต ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างมั่นคง
หลักเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง
การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ หรือที่เรียกว่า “3 ห่วง” ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งทั้งสามประการนี้ต้องดำเนินไปพร้อมกันเพื่อให้เกิดความสมดุลในการดำเนินชีวิต
ห่วงที่ 1 ความพอประมาณ
คือ การดำรงชีวิตให้เหมาะสม ซึ่งเราควรจะมีความพอประมาณทั้งการหารายได้ และพอประมาณในการใช้จ่าย ความพอประมาณในการหารายได้ คือ ทำงานหารายได้ด้วยช่องทางสุจริต ทำงานให้เต็มความสามารถ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนความพอประมาณในการใช้จ่าย หมายถึง การใช้จ่ายให้เหมาะกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเกินตัว และในขณะเดียวกัน ก็ใช้จ่ายในการดูแลตนเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่อยู่อย่างลำบาก และฝืดเคืองจนเกินไป
ห่วงที่ 2 ความมีเหตุผล
ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวัน เราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจตลอดเวลา ซึ่งการตัดสินใจที่ดี ควรตั้งอยู่บนการไตร่ตรองถึงเหตุ รวมทั้งคำนึงถึงผลที่อาจตามมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
ห่วงที่ 3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งสภาพลม ฟ้า อากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร การเปลี่ยนแปลงในบริษัทคู่ค้า การเลิกจ้างพนักงานในบริษัทใหญ่ หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่มีผลต่อการลงทุน เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ เช่น เตรียมแผนสำรองสำหรับแต่ละสถานการณ์ การมีรายได้หลายทางเพื่อลดความเสี่ยงในวันที่ถูกเลิกจ้าง หรือการ
กระจายความเสี่ยงในการลงทุน
หลักเศรษฐกิจพอเพียง 2 เงื่อนไข
นอกจากหลักการ 3 ห่วงแล้ว การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติยังต้องคำนึงถึงเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ ความรู้ และคุณธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้การนำหลักการ 3 ห่วงไปใช้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง
เงื่อนไขที่ 1 ความรู้
การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจำเป็นต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการนำความรู้ และวิทยาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และดำเนินชีวิต ความรู้ที่จำเป็นมีหลายระดับ ตั้งแต่ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพของตน ความรู้เกี่ยวกับ
การวางแผนการเงิน ไปจนถึงความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และเศรษฐกิจโลก
การแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราสามารถปรับตัว และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกัน การมีความรอบคอบในการนำความรู้มาใช้ก็จะช่วยให้การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
เงื่อนไขที่ 2 คุณธรรม
คุณธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องควบคู่ไปกับความรู้ในการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง หลักคุณธรรมในที่นี้ครอบคลุมถึงความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร และการใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
ในระดับบุคคล หรือก็คือตัวเราเอง คุณธรรมจะช่วยกำกับให้การใช้ความรู้ และการตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เช่น การประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น การมีความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน และการมีความอดทนต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น
เศรษฐกิจพอเพียงพบได้ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคมใหญ่
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น การพึ่งพาตัวเองได้เป็นเพียงส่วนเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเมื่อทุกคนสามารถดูแลตัวเอง และครอบครัวได้แล้ว ขั้นต่อไปอาจทำการพัฒนาธุรกิจ โดยมีการรวมกลุ่มกันในวิชาชีพเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการรวมกลุ่มกันนั้น ไม่จำกัดเฉพาะการรวมกลุ่มของชาวบ้าน เกษตรกร ในรูปของสหกรณ์ การทำงานในเมืองก็สามารถมีการรวมกลุ่มกันได้ เช่น การแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ในการทำธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน การแลกเปลี่ยน
แนวคิดการลงทุน เพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ รวมไปจนถึงการแบ่งปันความช่วยเหลือส่งกลับคืนสู่สังคม ไปสู่กลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ เช่น กิจกรรมจิตอาสา เพื่อสร้างสังคมที่เข้มแข็งและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
Tips by น้องเพลินเพลิน : 5 เทคนิคใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงสร้างความมั่นคงทางการเงิน
การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้กับการบริหารการเงินส่วนบุคคล สามารถช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินได้อย่างยั่งยืน สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี น้องเพลินเพลินมี 5 ทริคในการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงสร้างความมั่นคงทางการเงินมาแนะนำ ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตนเองได้เลย
1. รู้จักประมาณตน
การรู้จักประมาณตนในด้านการเงิน หมายถึง การใช้จ่ายอย่างพอดีกับรายได้และฐานะของตน ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัว และไม่ตระหนี่จนขาดคุณภาพชีวิตที่ดี การประมาณตนยังรวมถึงการรู้จักขีดความสามารถของตนเองในการหารายได้ และไม่สร้างภาระหนี้สินเกินกว่าที่จะสามารถชำระคืนได้
ในทางปฏิบัติ เราสามารถเริ่มต้นจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่ายและสามารถวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการกำหนดงบประมาณในแต่ละหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับรายได้ และความจำเป็น
2. วางแผนการเงินอย่างมีเหตุผล
การวางแผนการเงินที่ดีต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีเหตุผล โดยพิจารณาทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน การตัดสินใจทางการเงินควรผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา หรือกระแสนิยมโดยขาดการวิเคราะห์
นอกจากนี้ การวางแผนการเงินอย่างมีเหตุผลยังหมายถึงการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน และสอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น การวางแผนเกษียณ การวางแผนการศึกษาบุตร หรือการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล และการคาดการณ์ทางการเงินอย่างเป็นระบบ
3. สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แข็งแรง
ภูมิคุ้มกันทางการเงินคือการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การ
สำรองเงินฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน การทำประกันสุขภาพ หรือประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง และการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
การสร้างแหล่งรายได้หลายทางก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน เพราะหากรายได้หลักมีปัญหา ยังมีรายได้จากแหล่งอื่นมาช่วยเสริม นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานได้ดีขึ้น
4. เริ่มลงทุนจากสิ่งเล็ก ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
การลงทุนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายถึงการไม่ลงทุนหรือลงทุนแต่น้อย แต่หมายถึงการลงทุนอย่างมีขั้นตอน เริ่มจากการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ขยายการลงทุนเมื่อมีความพร้อมและความเข้าใจที่มากขึ้น
การลงทุนควรเริ่มจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนรวมตลาดเงิน แล้วจึงค่อย ๆ ขยายไปสู่การลงทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม หรือกองทุนรวมตราสารทุน ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล
5. มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี
ความพอใจในสิ่งที่ตนมีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การบริหารการเงินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อเรารู้จักพอใจในสิ่งที่มี เราจะไม่มุ่งแสวงหาวัตถุหรือความสุขทางวัตถุมากเกินความจำเป็น
การปลูกฝังความพอใจในสิ่งที่มีไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดพัฒนา หรือปรับปรุงตนเอง แต่หมายถึงการไม่ยึดติดกับวัตถุหรือความสุขชั่วคราว และมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ไม่อาจซื้อหาได้ด้วยเงิน เช่น สุขภาพที่ดี ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นในครอบครัว และความสงบสุขในจิตใจ
จะเห็นได้ว่า แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ด้วยการใช้ความรู้และคุณธรรม เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตัวเองได้ และเผื่อแผ่ไปถึงสังคม ซึ่งเราสามารถนำหลักการปฏิบัติไปปรับใช้ได้ทั้งในชีวิตการทำงาน และการดำรงชีวิต