“จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต กับเคล็ดลับขยายธุรกิจ ให้เป็นเรื่องจิ๊บ ๆ

“จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต กับเคล็ดลับขยายธุรกิจ ให้เป็นเรื่องจิ๊บ ๆ

By Guest Guru
คุณจิ๊บ สมยศ เชาวลิต
วันนี้ กรุงศรี กูรูได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณจิ๊บ สมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าไอทีแบบครบวงจรที่ประสบความสำเร็จมากว่า 16 ปี ผู้ซึ่งผ่านอุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ จากการไม่มีอะไรเลย ให้กลายมาเป็นผู้นำแห่งคอมพิวเตอร์อีกเจ้าหนึ่งของเมืองไทย จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมาจนถึงปัจจุบันนี้

อะไรคือสิ่งที่คุณจิ๊บมาอยู่ตรงจุดนี้ได้?


ความจน… เพราะเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำงานเลย คือแม่ก็ใช้ทำนู่นทำนี่ ตั้งแต่ตี 4 ผมนี่ทำเป็นทุกอย่างเลย หุงข้าวเอง หาข้าวกินเอง ล้างจานเอง ซักผ้าเอง งานบ้านหลัก ๆ นี่ ทำเองหมด พอโตขึ้นมาในระดับที่ใช้กำลังแรงได้แล้ว ก็เริ่มจากการปอกมะพร้าว ห้ามหยุดปอกแม้กระทั่งฝนตก ยกเว้นอย่างเดียวตอนเวลามีฟ้าผ่าเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับว่า ความสนุกสนานของช่วงเวลาวัยเด็กของผมนั้น ถูกปิดประตูแบบสนิทตายไปโดยปริยาย
 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณจิ๊บเข้าสู่วงการธุรกิจคอมพิวเตอร์คืออะไร?


ผมเป็นคนชอบคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก ผมเลยเรียนทางด้านนี้ และมาทำงานในธนาคาร โดยขณะทำที่ธนาคาร นอกจากจะทำตามตำแหน่งหลักที่ได้รับแล้ว ตำแหน่งเสริมที่ได้รับ คือ เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และนั่นทำให้ผมพาเพื่อน ๆ พนักงานไปซื้อของที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า อยู่เสมอ ด้วยความที่เราจบทางด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และในตอนนั้นถือว่าเป็นของใหม่มาก คนที่จะซ่อมเป็นก็น้อย แค่จอเปิดมาไม่ติด ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็ต้องไปดูให้ พอพาไปซื้อบ่อย ๆ เริ่มคิดว่าเราน่าจะบริการลูกค้าให้ครบวงจรทีเดียว คือ ทั้งเราและลูกค้าไม่ต้องเสียเวลา แต่รับรองว่าลูกค้าต้องได้คอมที่ประกอบจากอุปกรณ์คุณภาพดี และคุ้มค่า เพราะเราตั้งใจเลือกแต่อุปกรณ์ที่ดีให้ อีกอย่างคือ เรามองว่าเราสามารถทำเองได้ และนั่นก็คือ จุดเริ่มต้น เราเริ่มจากคิดค่าบริการเพิ่ม เพราะเราบริการลูกค้าตั้งแต่จัดสเปคให้ตรงตามความต้องการ ตามงบที่ลูกค้ามี ประกอบเครื่องให้ บริการจัดส่งถึงบ้าน รวมถึงดูแลหลังการขายให้เป็นอย่างดี ก็คิดค่าบริการเครื่องละประมาณ 2-3 พัน แลกกับการที่ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาไป ผมเลือกให้ และถ้าเสียผมรับผิดชอบเอง และจากปากต่อปากที่บอกต่อไปเรื่อย ๆ ว่าถ้าเป็นเรื่องคอมพิวเตอร์ต้องให้ผมดูแลจัดการ ส่งผลให้ผมกลายสภาพเป็นเจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับด้านคอมพิวเตอร์รายย่อย ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่เริ่มจากเงิน 0 บาทเลยนะ
 

พอทำมาจนตอนนี้ มีกว่า 130 สาขาทั่วประเทศ คุณจิ๊บมีเทคนิคการบริหารเงินช่วงขยายธุรกิจอย่างไร?


อย่างแรกเลย สาเหตุที่ผมขยายธุรกิจ เป็นเพราะค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย เช่น ฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อ A บอกว่า ถ้าคุณทำได้เดือนละ 1 ล้านบาท คุณจะได้ 5% ซึ่งร้านเจ้าใหญ่ ๆ ทำได้เดือนละล้านอยู่แล้ว แต่เรารายกลาง เราทำได้เพียง 5 แสนบาท นั่นคือ ถ้าคุณทำได้ 1 ล้านบาท คุณได้ 5% แต่ถ้าคุณทำได้ 5 แสนบาท คุณได้ 2% มันดูเหมือนไม่ต่างกันเยอะนะ แต่ถ้าคุณคำนวณเป็นเม็ดเงินดู ขายได้ 1 ล้านบาท คุณได้ 50,000 บาท แต่ถ้าคุณทำได้ 500,000 บาท คุณได้ 10,000 บาท เราทำน้อยกว่าครึ่งเดียว เค้าได้ 50,000 บาท แต่เราได้ 10,000 บาทเอง ผมจึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารเพื่อขยายธุรกิจให้โตขึ้น จึงได้เงินมาซัพพอร์ตครึ่งหนึ่งรวมกับกำไรที่ได้ ทำให้เราขยายสาขาขึ้นมาได้เยอะ แล้วสุดท้ายเราก็มาโตเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ (ยิ้ม) เพราะถ้าเราลองคำนวณดูแล้ว การที่เรากู้เงินมาสร้างธุรกิจที่มันได้กำไรเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าแบบนี้ ใครจะไม่กู้มาลงทุน จริงไหมครับ?
 

แล้วเรื่องการบริหารจัดการการเงิน คุณจิ๊บมีแนวคิดยังไงบ้าง?


เรื่องการเงินผมต้องขอยอมรับว่าผมไม่ค่อยถนัดนะ พอดีให้ภรรยาเป็นคนดู (หัวเราะ) แต่เรามีความคิดการบริหารที่ไม่ซับซ้อน แค่ทำยังไงให้เซฟเรื่องดอกเบี้ยได้มากที่สุด รวมทั้งนโยบายการจ่ายเงินของเราที่เหมือนเอาของมาขายก่อน พอได้เงินมาก็ไปจ่าย และตอนขายเรารับเป็นเงินสด เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการบริหารเงินมากนัก ซึ่งผมเป็นพวกที่คิดอะไรง่าย ๆ แล้วก็ทำออกมาง่าย ๆ ซึ่งตอนหลังด้วยความที่บริษัทใหญ่ขึ้น ทุกคนให้วงเงินเรามากขึ้น พร้อมให้ Credit Term เรายาวขึ้นอีกด้วย ยิ่งช่วงหลังมีธนาคารกรุงศรีเข้ามาซัพพอร์ตค่อนข้างเยอะ ผมนี่สบายเลยครับ
 

คุณจิ๊บคิดว่าจุดเด่นของตลาดออนไลน์คืออะไร?


อย่างแรกเลย ออนไลน์มันไม่มีค่าเช่า สอง คือ เปิดร้านได้ตลอดเวลา 24 ชม. สาม เรื่องการขาย ทางออนไลน์ก็ต้องจ่ายเงินก่อน ต่อราคาไม่ได้ แต่สิ่งที่เราต้องจริงจัง คือ เรื่องของเวลา ได้แก่ ส่งของเร็ว เราจัดส่งของให้เร็ว ถ้าในกรุงเทพฯ เราส่งได้ภายใน 6 ชม. แต่ถ้าต่างจังหวัดเราส่งได้ภายในวันรุ่งขึ้น ในการส่งสินค้าแต่ละชิ้นนั้น ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในการซื้อของของเราได้เลย เพราะเราจะเลือกเฉพาะของที่มาใหม่เท่านั้น ต้องยอมรับว่าการทำธุรกิจไอทีค้าปลีก บางทีมันมีของโชว์อยู่ตามหน้าร้าน แต่เราจะไม่เอาตัวนั้นส่งให้ลูกค้า เราจะเอาของใหม่อย่างเดียว นอกจากนี้คำมั่นสัญญาในเรื่องของการส่งเร็วถือเป็นสิ่งที่พูดแล้วต้องทำให้ได้ โดยเราจะเจอในบางครั้งที่ลูกค้าซื้อของออนไลน์ปุ๊บ บางบริษัทบอกว่าส่ง 3-7 วัน ลูกค้าก็รอต่อไปสิครับ รอเลย แต่ของเราบอกว่าวันไหนแล้วก็ต้องเป็นวันนั้น
 

อยากให้คุณจิ๊บช่วยฝากน้อง ๆ ซึ่งตอนนี้มีเรื่องของ Thailand 4.0 คุณจิ๊บคิดว่า เทรนด์อุตสาหกรรมกับธุรกิจจะเป็นยังไงบ้าง?


Thailand 4.0 ก็คือ การที่เหล่า SMEs นำเทคโนโลยีมาเพิ่ม Value ให้กับตัว Access ของทาง SMEs หรือว่าทางบริษัทนั้น ๆ ที่ตอนนี้ทางรัฐบาลกำลังสนับสนุนอยู่นั้น ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก ๆ เพราะจริง ๆ แล้ว SMEs ทุกราย เขาต้องเอาไอทีมาใช้ในธุรกิจเพื่อให้รู้ว่า สถานะธุรกิจแบบเรียลไทม์ความจริงมันเป็นยังไง ซึ่งตัวอย่างของ J.I.B. เราทำถึงขนาดรายงานยอดขายต่อวันเป็นแบบเรียลไทม์ด้วยซ้ำ โดยผมสามารถดูได้เลยว่าในช่วงปัจจุบันมียอดขายเท่าไหร่ สาขาไหนขายได้เท่าไหร่ ขายอะไรบ้าง เราทำเป็นเรียลไทม์ทั้งหมด จากนั้นก็ทำสรุปยอด ทำให้เรารู้ได้ว่าตั้งแต่วันที่ 1-31 ยอดวันที่ 1-30 ขายได้เท่าไหร่แล้ว และวันที่ 31 จะขายได้เท่าไหร่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ถึงปัจจุบันมีจำนวนเท่าไหร่ ผมสามารถรู้กำไรอยู่ตลอดเวลา และธุรกิจ SMEs ควรจะเอาตรงนี้ไปใช้ เพราะเราจะสามารถวางแผนการลดต้นทุน หรือขยายธุรกิจได้ก่อนที่ปัญหาจะเกิดได้อย่างง่ายดาย
สุดท้าย ผมขอฝากให้นักธุรกิจทุกคนที่กำลังมีความฝันแล้วจะลงมือทำนะครับ คือ ไม่ต้องไปคิดไกลมาก บางคนนี่จะทำธุรกิจก็คิดว่าไม่มีตังค์ทำไม่ได้หรอก สู้คนอื่นไม่ได้หรอก ธุรกิจนี้มีร้านใหญ่เยอะแยะ ผมทำตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นนะ แต่ผมลองย้อนกลับมาคิดแค่ว่า หากเราไม่คิดจะใหญ่มาก คิดแค่ว่าหากเราตั้งใจทำ แล้วก็ดูแลลูกค้าเราอย่างดี แล้วค่อย ๆ โตทีละนิด โดยที่ไม่ได้มองว่าใครใหญ่กว่าเรา เราก็ทำของเราให้เต็มที่ แล้วก็ทำให้เป็นไปตามแผนในระยะที่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นค่อยวางเป้าหมายต่อไป ซึ่งแนวคิดนี้จะช่วยให้คุณกล้าลงมือทำขึ้นมาทันทีเลยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา