พูดถึงการทำธุรกิจยุคในนี้ ถ้าไม่มีจุดเด่นก็อาจล้มกันง่าย ๆ ในพริบตาเชียวนะครับ วันนี้เลยจะพาไปเรียนรู้แบรนด์สุดครีเอทีฟที่มีความโดดเด่นจนเป็นที่รู้จักในเวลาอันสั้น “Guss Damn Good” แบรนด์ไอศกรีมสุดคราฟต์สัญชาติไทย ที่บอกเล่าประเด็นแห่งยุคสมัยผ่านรสชาติแสนอร่อย เพราะตัวแบรนด์เชื่อว่าไอศกรีมไม่ใช่แค่ขนมหวาน แต่เป็นสัญลักษณ์แทนความรุู้สึกที่ทำให้เราย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ แต่ละรสชาติมีที่มาที่ไป พร้อมชื่อสะดุดหู ซึ่งก็ตรงกับเทรนด์ Content Marketing ในปี 2020 ว่าด้วยเรื่องการตลาดของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับสังคมมากขึ้นและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ
การเล่าเรื่องผ่านรสชาติ ‘Story to Flavor’
จุดเริ่มต้นของ Guss Damn Good ร้านไอศกรีมสุดเก๋ที่ให้ทั้งความคราฟต์และ
เรื่องราวชวนติดตาม เป็นไอเดียของระริน ธรรมวัฒนะ และ นที จรัสสุริยงค์ นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีแรงบันดาลใจมาจากตอนเรียนปริญญาโทอยู่ที่บอสตัน ระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ได้ชิมไอศกรีมหลาย ๆ ร้านด้วยกัน มีอยู่วันหนึ่งได้สังเกตเห็นร้านไอศกรีมร้านหนึ่งมีคนต่อคิวยาวมากทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว จึงได้ถามเพื่อนที่อยู่บอสตันก็ได้คำตอบว่า คนที่นี่ชอบกินไอศกรีมในช่วงหน้าหนาว เพราะมันทำให้พวกเขาได้นึกถึงบรรยากาศในช่วงหน้าร้อนที่ผู้คนออกไปปิกนิกกัน และได้กินไอศกรีมอร่อย ๆ เพื่อคลายร้อน
จากบทสนทนาครั้งนั้นทำให้รู้สึกได้ว่า “ไอศกรีมเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกและเป็นตัวแทนของเรื่องราวดี ๆ” ทั้งสองจึงได้สานต่อไอเดียนี้ด้วยการเริ่มทดลองทำไอศกรีมด้วยตนเองในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่บอสตันแล้วตระเวนให้เพื่อนชิม หลังจากที่เรียนจบทั้งสองได้กลับมาที่ประเทศไทยแล้วอยากสานฝันให้เป็นจริง จึงเลือกทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเปิดตัวแบรนด์ครั้งแรกในงาน Winter Market Fest ของแสนสิริ โดยทุกรสที่มาจาก Guss Damn Good ล้วนเกิดมาจากเรื่องราวรอบตัวและพัฒนามาเป็นไอศกรีมให้พวกเราได้ทานกัน
เริ่มต้นด้วยเรื่องราวแต่วัตถุดิบก็เป็นเลิศ
Guss Damn Good ให้ความสำคัญมากกับเรื่องวัตถุดิบ Texture ของเนื้อไอศกรีม เช่น การเลือกน้ำผึ้งก็เลือกจากฟาร์มที่เลี้ยงผึ้งด้วยดอกลำไย คาราเมลต้องกวนเอง นมก็ใช้นมสดแท้ ไม่ใช่นมผงที่ตกแต่งกลิ่นและสี ซึ่งเป็นไอศกรีมที่ไม่มีท็อปปิ้ง ให้เนื้อไอศกรีมเน้น ๆ โดยทุกสูตรของร้าน
ใส่ใจทุกขั้นตอน ละเอียดถึงขนาดใช้ Microsoft Excel คำนวณสูตรเพื่อให้มาตรฐานรสชาติคงที่ จึงมั่นใจได้ว่าไอศกรีมทุกรสที่มาจาก Guss Damn Good กินแล้วไม่ผิดหวัง เข้ามาซื้อกี่ครั้งก็ประทับใจ
อ้างอิงภาพจาก : https://www.facebook.com/gussdamngood/
นับหนึ่งด้วยรส “Don’t Give up #18” : ต้องสู้ถึงจะชนะ
ไอศกรีมรสแรกของ Guss Damn Good มีชื่อรสว่า “Don’t Give up #18” เป็นไอศกรีมรสนมสด มีที่มาจากผู้ก่อตั้งทั้งสองไม่มีประสบการณ์ในการทำร้านไอศกรีมเลยและต้องการทำให้ไอศกรีมออกมามีคุณภาพมากที่สุด จึงต้องขวนขวายด้วยการไล่ซื้อนมและครีมทุกเจ้าที่มีในตลาดมาทดลองทำ ทดลองไปเรื่อย ๆ จนได้สัดส่วนที่ลงตัวที่สุด ส่วนผสมที่ได้คือนมจากฟาร์มของเมืองไทยกับครีมจากฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่ต้องต่อสู้กันไป ต้องไม่ยอมแพ้ ถึงจะประสบความสำเร็จ แค่ไอเดียเรื่องราวเริ่มต้นก็ปลุกพลังแล้ว ต่อมาทางร้านก็คิดริเริ่มสูตรใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งทุกรสทั้งเนื้อรสชาติและเรื่องราวจะสอดคล้องกันเสมอ
อ้างอิงภาพจาก : https://themomentum.co/
/
ชูใจด้วยรส “Stand by Me” : จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน
ไอศกรีมว่าด้วยโรคซึมเศร้า ที่แบรนด์ร่วมมือกับนิตยสาร a day จับประเด็นโรคซึมเศร้า ถ่ายทอดผ่านรสชาติไอศกรีม ก่อนจะมาเป็นรสชาติแสนอร่อย แบรนด์ต้องทำการค้นคว้าอย่างละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้ มีการลงเวิร์กชอป พูดคุยกับผู้ป่วยจิตแพทย์ และนักจิตบำบัด แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาตีความจนได้รูปแบบไอศกรีมรส Stand By Me ที่สื่อได้สองความหมาย ความหมายแรกเลยคือเราจะยืนข้าง ๆ กัน และรับฟังแบบไม่ตัดสิน ซึ่งแบรนด์ได้นำเอาราสเบอร์รี่สีชมพูหอมหวานมาเป็นตัวแทนของความหมายนี้ ความหมายที่สองคือ อย่าลืมยืนเพื่อตัวเองด้วยนะ หรือเรายังมีตัวเราที่ต้องดูแลด้วยนะ แบรนด์ได้เอาดาร์กช็อคโกแลตรสขมเข้มมาเป็นตัวแทนของความหมายนี้ บ่งบอกว่ารู้นะว่ามันทำไม่ง่ายเลย แต่ทั้งราสเบอร์นี่และดาร์กช็อคโกแลตเมื่อทานรวมกันกลับกลมกล่อม รสชาติที่ค่อย ๆ หวานขึ้น เป็นสัญญาณทางบวกบ่งบอกทั้งสองความหมายของ Stand By Me นอกจากนี้ ทั้งราสเบอร์รี่และดาร์กช็อกโกแลตเอง ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้สดชื่นและอารมณ์ดีอีกด้วย
อ้างอิงภาพจาก : https://www.facebook.com/gussdamngood/
/
ชูประเด็นร้อนด้วยรส “Equality” และ “Love is Love” : รักไม่มีพรมแดน
2 รสชาติฉลอง Pride Month เพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียมในสังคม โดยสองรสนี้มาจากประสบการณ์ของผู้ก่อตั้งที่มีเพื่อนร่วมงานได้ออกไปพบลูกค้าแต่กลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะว่าเป็นเพศที่ 3 เป็นประสบการณ์ที่เป็นเรื่องจริงและเห็นได้ในสังคมทั่วไป เจ้าของร้านจึงเลือกทำเวิร์กชอป ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนช่วยกันระดมไอเดียว่าปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร จนออกมาเป็นไอศกรีมสองรสชาตินี้
รส “Equality” คอนเซ็ปต์หลักคือความอดทนอดกลั้นในการต่อสู้ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ รสชาตินี้เลยมี Toffee Crack และ Sprinkle รูปร่างกลม ๆ หลากสีที่ต้องเคี้ยวเพราะอยู่ในเนื้อไอศกรีมรสนมฟาร์มมิลค์สีขาว ให้ความหมายว่ามนุษย์ทุกคนมีความหลากหลายท่ามกลางเงื่อนไขทางสังคมที่เราต้องปฏิบัติ ส่วน “Love is Love” ได้แรงบันดาลใจจากประโยคที่ว่า ‘Love is beautiful.’ ที่มองว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่ารักนั้นจะเป็นรูปแบบใด ไอศกรีมที่ได้ออกมาจึงเป็นรสมะนาวที่ไม่ได้เป็นสีขาวหรือเขียวตามแบบฉบับปกติ แต่เป็นสีชมพูธรรมชาติจากบีทรูทที่ให้ความรู้สึกและรสชาติภายนอกหวานข้างในเปรี้ยว โดยยังผสม Lemon Curd และ Butter Crumb เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับไอศกรีมด้วย เปรียบเหมือนความรักที่มีความตื่นเต้นอยู่ข้างใน
นี่เป็นแค่ตัวอย่างของรสชาติ แค่ได้ยินชื่อก็อยากชิมแล้ว! ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่เล่าเรื่องชีวิตที่หลากมุมมอง แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านความคิดสร้างสรรค์ มีการสร้างสตอรี่ให้น่าติดตามมากขึ้น ไม่ใช่ทำธุรกิจเพื่อขายอย่างเดียวแต่ยังทำเพื่อช่วยกระตุ้นความคิดให้กับคนในสังคมอีกด้วย สำหรับคนที่คิดจะ
วางแผนทำธุรกิจหรือกำลังทำธุรกิจของตัวเองอยู่ ลองศึกษากลยุทธ์ดี ๆ นี้เพื่อต่อยอดในการทำธุรกิจของคุณเองนะครับ หรือลองกลับมามองดูธุรกิจของคุณว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรบ้างที่ผ่านมา เผื่อพบไอเดียดี ๆ ในการทำการตลาดแบบ Guss Damn Good ครับ