เคยสงสัยบ้างไหมครับว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่มีขั้นตอนการผลิตอย่างไร? ความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมแฟชั่น ถูกสังคมตั้งคำถามถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เพราะกระบวนการผลิตสินค้าที่กระทบระบบนิเวศ มีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมหาศาล และขับสารพิษรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ Fast Fashion สินค้าแฟชั่นที่ถูกผลิตออกมาอย่างรวดเร็ว ออกแบบให้ทันกระแสเข้าไว้ เน้นขายง่ายในราคาต่ำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนสไตล์ตามเทรนด์ อย่างไรก็ตามปรากฎการณ์ภาวะโลกร้อน การรณรงค์เรื่องพลาสติก และสปีช How Dare You ของ Greta Thunberg ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค เน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่วนฝั่งแบรนด์เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน แบรนด์ใหญ่ ๆ เข้มงวดกับกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ทำให้ทิศทางของการตลาดแฟชั่นเข้าใกล้คำว่า Go Green มากขึ้น มาดูกันว่ามีแบรนด์ระดับโลกแบรนด์ไหนที่ตอบรับกระแสนี้บ้าง
Zara
แม้แต่แบรนด์ระดับโลกอย่าง ZARA ก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำเอาสะเทือนทั้งวงการ Fast Fashion เพราะสวนทางกับแนวคิดเดิมที่ Zara ใช้เวลาผลิตสินค้าแต่ละคอลเล็กชั่นไม่เกิน 1 เดือน ออกสินค้าใหม่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้คนสนใจและรีบซื้อเพราะกลัวของจะหมดเร็ว แต่กลยุทธ์ใหม่ของแบรนด์เน้นไปที่การบริโภคอย่างยั่งยืน โดยจะผลิตคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าที่มาจากเส้นใยธรรมชาติ (Sustainable Fabrics) และเส้นใยผ้าที่ทำจากขยะรีไซเคิล ไม่เฉพาะเสื้อผ้าเท่านั้น Zara ยังวางแผนจะผลิตอุปกรณ์ใช้งานภายในร้านที่ทำจากขยะรีไซเคิล โดยมีแนวทางเลิกมอบถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้ง เปลี่ยนเป็นกล่องกระดาษรีไซเคิลในการแพ็กสินค้าและขนส่ง รวมถึงการใช้พลังงานทดแทนในองค์กร และร้านค้าแต่ละสาขา โดยคาดว่าจะทำสำเร็จภายในปี 2025 เพื่อครอบคลุมเป้าหมายของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ที่ไม่ได้จำกัดแค่สินค้าแฟชั่นอย่างเดียว
Uniqlo
Uniqlo แบรนด์ Fast Fashion จาก
ญี่ปุ่น ใช้การตลาดรักษ์โลกและการบริโภคสินค้าอย่างยั่งยืนหลอมรวมเข้ากับปรัชญาของแบรนด์ Lifewear ที่มีเป้าหมายผลิตสินค้าดีไซน์เหมาะกับทุกคน และมีคุณภาพการใช้งานที่ยาวนาน ต่อยอดไปสู่การผลิตกางเกงยีนส์ที่ช่วยลดโลกร้อนและลดปริมาณการใช้น้ำในการฟอกลงถึง 99% คิดค้นโดยศูนย์นวัตกรรมยีนส์ฟาสต์รีเทลลิ่ง ของกลุ่มฟาสต์รีเทลลิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Uniqlo โดยใช้เครื่องฟอกอากาศขนาดนาโนเมตรและโอโซนเพื่อลดการใช้น้ำ ใช้หินสังเคราะห์แทนการใช้หินภูเขาไฟในกระบวนการชะล้างผ้ายีนส์ รวมถึงขั้นตอนการฟอกยีนส์และขึ้นลายริ้วสวยงามต่าง ๆ ก็หันมาใช้วิธียิงเลเซอร์แทนการใช้แรงงานมือ ช่วยลดมลพิษในโรงงานและประหยัดเวลาในการผลิตอีกด้วย Uniqlo คาดว่าถ้าภายในปี 2020 จะสามารถใช้กระบวนการนี้ในการผลิตกางเกงยีนส์ได้ทุกรุ่น ดังนั้นกางเกงยีนส์กว่า 40 ล้านตัวจะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ถึง 3 ล้านลิตร
Prada
Prada ผู้นำแฟชั่นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องผลิต
กระเป๋าจากวัสดุไนลอน เรียกได้ว่าเป็น Signature ของแบรนด์เลยก็ว่าได้ ก้าวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมคือการเปลี่ยนแปลงไปใช้ไนลอนที่ผลิตจากการรีไซเคิลทั้งหมดภายในปี 2021 เพื่อช่วยลดขยะและมลภาวะทางทะเล ซึ่งตอนนี้ประเดิมด้วยคอลเล็กชั่น “Re-Nylon” กระเป๋าทั้ง 6 แบบ ประกอบไปด้วย กระเป๋าคาดเอว, กระเป๋าหิ้วใบใหญ่, กระเป๋าดัฟเฟิล กระเป๋าสะพายไหล่ และกระเป๋าเป้สะพายหลัง 2 แบบ ทั้งหมดนี้ผลิตจากวัสดุไนลอนรีไซเคิลที่เรียกว่า Econyl ที่มาจากเศษขยะพลาสติกก้นทะเล เช่น ตะข่ายจับปลา และขยะเส้นใยสิ่งทอ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างปลอดภัยและบริสุทธิ์ โดยไม่มีสารพิษตกค้าง ซึ่งแบรนด์แฟชั่นอีกหลายแบรนด์ ก็นำวัสดุนี้ไปใช้แล้วด้วย เช่น Stella McCartney, Adidas และ Triumph นอกจากนี้รายได้ส่วนหนึ่งจากยอดขายคอลเล็กชั่น Re-Nylon จะบริจาคให้กับแคมเปญพัฒนาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
Christian Dior
หลายประเทศรณรงค์งดการใช้หลอดพลาสติกอย่างจริงจัง เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองแล้ว ยังใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 200 ปี และส่วนใหญ่ขยะเหล่านี้จะถูกทิ้งลงมหาสมุทรอีกด้วย เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน้ำทะเล Christian Dior แบรนด์หรูจากฝรั่งเศสเห็นถึงปัญหานี้ จึงเอาใจแฟชั่นนิสต้าฐานะมั่งมีและรักษ์โลกด้วยคอลเล็กชั่น Toile de Jouy straws ชุดหลอดแก้วที่นำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการใช้
พลาสติก โดยเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมดสนนราคาอยู่ที่ชุดละ 150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,600 บาท ใน 1 ชุด แบ่งเป็น 3 หลอดแก้วเคลือบสีทอง และอีก 3 หลอดแก้วใสเดินลายเกลียวสีทอง สลักชื่อแบรนด์ไว้ตรงกลางและปลายหลอด สินค้าทำด้วยมือทุกขั้นตอน ถูกบรรจุอยู่ในกล่องสวยสไตล์วินเทจ ดีไซน์หรูหราสมราคา
ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแก้ได้ด้วยการผลักความรับผิดชอบไปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของแบรนด์แฟชั่นระดับโลกต่อกระแสนี้ ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ช่วยกระตุ้นให้อีกหลาย ๆ แบรนด์ และธุรกิจอื่นปรับตัวไปด้วย เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.marketingoops.com
https://thestandard.co/
https://brandinside.asia/
https://mgronline.com/