เลือกซื้อรถยังไงให้เหมาะกับกำลังซื้อของตัวเอง

เลือกซื้อรถยังไงให้เหมาะกับกำลังซื้อของตัวเอง

By Krungsri Guru
การเป็นเจ้าของรถ นับเป็นหนึ่งในความฝันของหลายคน ถึงแม้บางคนอาจมองว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อีกทั้งมูลค่าก็นับวันจะลดลง แต่หากเรามองอีกมุม รถก็สามารถถูกนำมาใช้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มได้เช่นกัน เช่น ใช้รถในการติดต่อหาลูกค้าได้มากขึ้น หรือใช้ขนส่งสินค้าในการทำธุรกิจ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การเลือกซื้อรถจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับกำลังซื้อของตัวเองด้วย วันนี้ เรามีวิธีการตรวจสอบกำลังการซื้อ และการเลือกซื้อรถให้เหมาะสมมาฝากกันครับ

ตรวจสอบกำลังการซื้อ

ก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไร เราจำเป็นต้องรู้งบประมาณที่มีก่อนนะครับ บางท่านที่มีเงินก้อนเพียงพอ ก็สามารถซื้อรถด้วยเงินสดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยจากการผ่อนชำระ ส่วนท่านที่ตัดสินใจซื้อเงินผ่อน ต้องคิดให้รอบคอบว่า เรามีความสามารถในการผ่อนชำระมากน้อยเพียงใด โดยประเมินจากรายรับ และรายจ่ายในแต่ละเดือน เช่น
เต้ตัดสินใจจะซื้อรถด้วยการผ่อน โดยเต้มีรายได้หลังหักภาษีในแต่ละเดือน เป็นเงิน 30,000 บาท ในแต่ละเดือน เต้จะสำรองเงินไว้ 40% ของรายรับ เพื่อเป็นเงินออมและค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือคิดเป็นเงิน 40,000 x 40% = 16,000 บาท เต้มีภาระในการผ่อนบ้าน เดือนละ 10,000 บาท ซึ่งจากการคำนวณจะเห็นไว้ว่า เต้สามารถรับภาระในการผ่อนรถได้ไม่เกิน 40,000-16,000-10,000 = 14,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ การกำหนดสัดส่วนเงินออม และค่าใช้จ่ายย่อมแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละท่านนะครับ สำหรับกรณีของเต้ เพื่อความปลอดภัย เต้กำหนดค่างวด ไว้ไม่เกิน 10,000 บาท เพราะต้องสำรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก เช่น ค่าประกันภัยรถ ค่าน้ำมัน ค่าดูแลรักษา
ทั้งนี้ การวางเงินดาวน์ก้อนใหญ่จะช่วยให้ภาระในการผ่อนถูกลงได้ โดยบางท่านที่ออกรถใหม่ อาจนำรถคันเก่าไปขายเพื่อให้ได้เงินสดมาเป็นเงินดาวน์ นอกจากนี้ อย่าลืมสำรองเงินไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการออกรถ อันได้แก่ ค่าอากร ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าสมุดเล่มทะเบียน ค่าทะเบียนป้ายรถ เป็นต้น

เลือกรถให้เหมาะสม

เมื่อรู้กำลังการซื้อของเราแล้ว ต่อไปเราก็มาเลือกรถกันครับ นอกเหนือจากความชอบส่วนตัวแล้ว อย่าลืมที่จะพิจารณาจากการใช้งานส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันของเราด้วย เช่น รถซีดานขนาดเล็ก เหมาะกับการใช้ชีวิตในเมือง มีผู้โดยสารประจำไม่เกินสองท่าน มีจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมัน รถยนต์ขนาดใหญ่ และรถยนต์อเนกประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัวขนาดใหญ่ เหมาะกับการใช้เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ แต่ก็แลกมาด้วยอัตราการใช้น้ำมันที่สูงกว่า หรือรถปิคอัพสำหรับใช้งานขนส่งของ เนื่องจากเต้เป็นหนุ่มออฟฟิศ ยังไม่มีครอบครัว จึงเลือกรถยนต์ซีดานขนาดเล็ก โดยเน้นที่ความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก
จากนั้นมาพิจารณาต่อกันที่ค่ายรถครับ ในตลาดจะมีรถขนาดใกล้เคียงกันจากหลายค่าย ซึ่งมีจุดเด่นที่ต่างกัน เช่น รถญี่ปุ่นมีจุดเด่นที่ราคาไม่แพง มีศูนย์บริการเยอะ หาอะไหล่ได้ง่ายในราคาที่ย่อมเยา ในขณะที่รถยุโรป มีจุดเด่นเรื่องความแข็งแรง แต่ส่วนมากมีราคาสูง และค่าบำรุงรักษาสูงกว่า ในตัวอย่างของเรา ถึงแม้เต้จะชอบการออกแบบของรถยุโรปรุ่นหนึ่ง แต่ด้วยราคาที่ต่างกันมาก เต้จึงเลือกใช้รถญี่ปุ่นที่มีการออกแบบคล้ายกันครับ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีความรู้ในการดูแลรักษาและความรู้เบื้องต้นในการซ่อมรถอยู่บ้าง การเลือกซื้อรถมือสอง อาจเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ได้รถในราคาที่ถูกลง ทั้งนี้ ผู้ซื้อรถมือสองจำเป็นต้องมีความรู้ หรือสามารถหาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยตรวจสอบว่า รถที่สนใจนั้น เป็นรถที่มีสภาพดีสมราคา สำหรับการซื้อรถในตลาดมือสองนั้น อย่าลืมที่จะตรวจสอบประวัติว่า รถคันดังกล่าวไม่เคยประสบอุบัติเหตุใหญ่ ๆ ที่อาจจะมีผลต่อสภาพของรถมาก่อน อีกหนึ่งข้อสำคัญ คือ ผู้ซื้อควรที่จะดูแล และบำรุงรักษารถในเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งต่างจากการซื้อรถป้ายแดงที่มีประกันหลังการขายครับ
เพียงเท่านี้ การเป็นเจ้าของรถก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถึงแม้ว่า เราอาจจะมีรถในฝัน แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้ความฝันมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตในปัจจุบันมากเกินไป จริงไหมครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา