“ผมต้องทำงานไปด้วยแล้วเรียนต่อโทไปด้วย ตอนนี้ในหัวมีแต่เพลงพี่เบิร์ดวนไป กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง… ทำงาน 5 วัน เรียน 2 วัน ไหนจะงานที่ทำงาน รายงานที่เรียน ณ จุดนี้อยากมี 20 มือเหมือนทศกัณฐ์ มีเวลาเพิ่มเป็นวันละ 48 ชั่วโมง ตอนแรก ๆ ก็สนุกและท้าทายอยู่หรอกครับ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ทางจนเริ่มกังวลว่าจะไปไม่รอด...” ต่อลาภ พนักงานบริษัทและนักศึกษาปริญญาโทแห่งหนึ่ง
หากใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่เหมือนต่อลาภ อย่าเพิ่งท้อแท้ไป เรามาดูวิธีปรับแนวคิด ขจัดมารกังวล และหาหนทางไปสู่ความสำเร็จกันดีกว่าค่ะ
วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เคยสังเกตไหมคะ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณรู้สึกยุ่งเหยิง ไม่รู้จะเริ่มอะไรก่อนดี จนสุดท้ายงานก็เสร็จไม่ทันสักอย่าง หรือถึงจะเสร็จทันแต่ก็ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร นั่นเป็นเพราะคุณขาดการวางแผน หากคุณมีการวางแผนที่ดีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งมีแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน จะทำให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำงานอย่างเป็นระบบ และมีตารางการทำงานที่แน่นอน รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน 1-2-3 วันนี้ต้องทำอะไร พรุ่งนี้ต้องทำอะไร สัปดาห์หน้าต้องทำอะไร ซึ่งจะช่วยให้คุณใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่เสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์ สำเร็จลุล่วงทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนแน่นอนค่ะ
เรียงลำดับความสำคัญ
การที่คุณต้องทั้งทำงานและเรียนในเวลาเดียวกัน บางครั้งคุณก็อาจเผลอเอาทุกอย่างมาปนกัน จนแยกไม่ออกว่าควรทำอะไรก่อน-หลัง John C. Maxwell ผู้เขียนหนังสือขายดีทั่วโลกเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ และ
ความสำเร็จในการทำงาน กล่าวว่า มีกฎ 80:20 คือ ในงาน 100 อย่าง มี 20% ที่ทำแล้วได้ผลลัพธ์ถึง 80% ในขณะที่งาน 80% ที่เหลือให้ผลลัพธ์เพียง 20% ดังนั้น คุณจึงควรโฟกัสที่งาน 20% ที่ได้ผลลัพธ์ 80% ก่อน เช่น มีรายงานที่ต้องส่งไล่เลี่ยกัน แต่มีเวลาทำจำกัด ชิ้นแรก 50 คะแนน ชิ้นที่สอง 10 คะแนน มีเวลา 10 วัน คุณอาจจะแบ่งเวลาเป็น 8:2 วัน คือ ให้เวลางานชิ้น 50 คะแนนมากกว่าและทำให้เสร็จก่อน เรื่องงานที่ทำงานก็เช่นกัน ถ้างานไหนสำคัญแล้วเร่งด่วน คุณต้องรีบทำให้เสร็จด้วยตัวเองทันที ถ้างานไม่สำคัญและไม่เร่งคุณอาจจะทำภายหลัง หรือมอบหมายให้ลูกน้องทำแทน
รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ถ้าคุณไม่รู้จักแบ่งเวลาให้ดี ต่อให้มีเวลาวันละ 48 ชั่วโมงก็รู้สึกไม่พอ ยิ่งคุณต้องทำงานและเรียน 7 วันไม่มีวันหยุด คุณจะยิ่งรู้สึกว่าไม่มีเวลาทำอะไรเลย แป๊บ ๆ หมดวันอีกแล้ว แต่บางคนกลับทำได้หลายอย่างมาก นั่นเป็นเพราะคุณแบ่งเวลาไม่เป็น ทำให้ใช้เวลาไม่คุ้มค่าและไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นคุณควรแบ่งเวลาให้ชัดเจน เวลาทำงานคุณก็โฟกัสเรื่องงานเป็นหลัก เวลาเลิกงานและเสาร์อาทิตย์คุณก็โฟกัสเรื่องเรียน ที่ขาดไม่ได้ คือ ไม่ว่าคุณจะเคร่งเครียดเรื่องงานและเรียนแค่ไหน แต่คุณควรแบ่งเวลาสำหรับคนรอบข้างและตัวเองด้วย เช่น แบ่งเวลาไปดูแลสุขภาพ
ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เครียด จะทำงานและเรียนได้อย่างเต็มที่ ทางเดียวกันถ้าคุณแบ่งเวลาให้ครอบครัว ให้คนรอบข้างบ้าง ทุกคนก็จะมีความสุข คุณก็จะได้รับกำลังใจ ชีวิตคุณก็จะสมดุลขึ้น
สร้างกำลังใจให้ตัวเอง
รู้ไหมคะว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณผ่านทุกเรื่องไปได้อย่างราบรื่นนั่นคือ คุณจะต้องมีกำลังใจเสียก่อน เพราะเมื่อใดที่คุณหมดกำลังใจ คุณก็จะท้อแท้สิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวจะดูมืดหม่น ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ไม่รู้จะเดินไปทางไหน วิธีสร้างกำลังใจให้ตัวเองมีมากมาย เช่น มองกระจกแล้วยิ้มให้กำลังใจตัวเอง บอกตัวเองว่าคุณทำได้ หรือถ้าล้าก็หยุดพักแล้วออกไปเดินเล่น ออกไปอยู่กับธรรมชาติ ให้รางวัลตัวเองด้วยการทานอาหารดี ๆ สักมื้อ ดูหนังดี ๆ สักเรื่อง อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม เป็นต้น
มีสติรับมืออยู่ตลอดเวลา
การที่คุณต้องเคร่งเครียดทั้งเรื่องงาน และเรื่องเรียนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมา คุณอาจจะธาตุไฟแตกได้ง่ายกว่าปกติ เช่น อยู่ ๆ เพื่อนในแผนกป่วยกะทันหัน เจ้านายเลยมอบหมายงานเพิ่ม ต้องหอบงานกลับมาทำบ้านทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะรีบทำรายงานส่งอาจารย์ พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณอาจจะยิ่งรู้สึกกดดันจนพาลทำอะไรไม่ดีสักอย่าง ดังนั้นคุณควรตั้งสติ หายใจเข้า-หายใจออกช้า ๆ และหาวิธีรับมือให้ดีที่สุด ค่อย ๆ ทำให้เสร็จไปทีละอย่าง หรือลองขอให้เพื่อนคนอื่นในแผนกช่วยเรื่องงานจะได้เสร็จไวขึ้น
การที่ต้องเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย คุณจะต้องพยายามและทำงานหนักมากกว่าคนอื่น 2 เท่า ทำให้เกิดความเครียดและความกังวลใจ แต่เชื่อว่าถ้าคุณมีแรงใจในการต่อสู้ และนำวิธีที่เราแนะนำไปใช้ รับรองความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียน พอวันนั้นมาถึงรับรองว่าคุณจะภูมิใจในตัวเองสุด ๆ ไปเลยค่ะ