เมื่อพูดถึงการลงทุน
“กองทุนรวม” ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมเสมอมา โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยความเสี่ยงที่มักไม่สูงเท่าสินทรัพย์อื่น ๆ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า กองทุนรวมนั้นแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 2 ประเภท คือ
กองทุนรวมปันผล และกองทุนรวมไม่ปันผล ซึ่งมีจุดเด่น จุดด้อยต่างกันอย่างชัดเจน วันนี้ Krungsri The COACH จะพาไปไขความลับนี้ พร้อมชี้ว่า กองทุนแต่ละแบบเหมาะกับใคร มีข้อควรรู้อะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุน ตามมาดูกันเลย
กองทุนรวมปันผลคืออะไร
กองทุนรวมปันผล คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่มีนโยบายในการแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากการดำเนินงาน และการลงทุนคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปแบบของ “เงินปันผล” โดยความถี่ในการจ่ายอาจเป็นรายไตรมาส รายครึ่งปี หรือรายปี ตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนของกองทุนนั้น ๆ จำนวนเงินปันผลที่ได้รับจะผันแปรตามผลประกอบการ และเมื่อมีการจ่ายปันผล มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ก็จะปรับลดลงตามสัดส่วนเงินปันผลที่จ่ายออกไป
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนปันผล
การลงทุนในกองทุนปันผลมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มชื่นชอบเป็นพิเศษ ดังนี้
1. มีโอกาสรับเงินปันผลออกมาอย่างสม่ำเสมอ
จุดเด่นหลักของกองทุนปันผล คือ การมอบกระแสเงินสดคืนให้กับผู้ลงทุนตามรอบที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน (เมื่อกองทุนมีกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิเพียงพอ) เช่น ทุกไตรมาส หรือทุกปี ทำให้นักลงทุนได้รับเงินสดอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องขายหน่วยลงทุนออกมา เงินส่วนนี้สามารถนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือจะนำไปลงทุนต่อยอดในสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มก็ได้
2. สร้างความมั่นใจในช่วงตลาดผันผวน
ในยามที่ตลาดการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูง การได้รับเงินปันผลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถช่วยสร้างความรู้สึกมั่นคง และลดความกังวลให้กับนักลงทุนได้ การเห็นผลตอบแทนที่จับต้องได้จริง ๆ มีส่วนช่วยให้นักลงทุนอดทนถือหน่วยลงทุนต่อไปได้ และลดโอกาสที่จะตัดสินใจขายออกไปอย่างตื่นตระหนกเมื่อตลาดปรับตัวลงชั่วคราว
3. เหมาะกับคนที่ไม่อยากจับจังหวะตลาด
สำหรับนักลงทุนที่ไม่สะดวกจับจังหวะในการขายหน่วยลงทุนเอง การลงทุนในกองทุนปันผลถือว่าตอบโจทย์ เพราะมีผู้จัดการกองทุนในการบริหารการลงทุน และกำหนดจังหวะจ่ายผลตอบแทน ทำให้ผู้ที่ลงทุนมีโอกาสได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตามนโยบาย
กองทุนรวมปันผลเหมาะกับใคร
จากลักษณะและข้อดีที่กล่าวมา ทำให้กองทุนปันผลนั้นมีความเหมาะสมกับนักลงทุนบางกลุ่มเป็นพิเศษ ได้แก่
- ผู้ที่ต้องการรายได้ระหว่างทาง
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอเพื่อใช้จ่าย เช่น ผู้ที่เกษียณอายุแล้ว หรือผู้ที่มีรายจ่ายประจำแต่ไม่มีรายได้ทางอื่น การได้รับเงินปันผลช่วยให้มีเงินใช้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขายหน่วยลงทุนออกมา
- ผู้ที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องติดตามตลาดตลอดเวลา
ตอบโจทย์นักลงทุนที่ไม่สะดวกติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด หรืออาจไม่ถนัดในการจับจังหวะซื้อขายทำกำไรด้วยตนเอง เพราะกองทุนประเภทนี้มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแล และยังเปิดโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลตามนโยบายที่กำหนด
กองทุนรวมไม่ปันผล (หรือกองทุนรวมแบบสะสมมูลค่า) คืออะไร
กองทุนรวมไม่ปันผล หรือที่มักเรียกว่า
“กองทุนรวมชนิดสะสมมูลค่า” (Accumulation Class) เป็นกองทุนประเภทที่จะไม่จ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหน่วยลงทุน แต่จะนำผลกำไรทั้งหมดที่ได้จากการลงทุนไป
“ลงทุนต่อ” โดยอัตโนมัติ ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มีโอกาสเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว ตามแนวคิดของผลตอบแทนทบต้น หากกองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี
ข้อดีของกองทุนรวมไม่ปันผล
กองทุนประเภทนี้ก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เน้นการเติบโตของเงินลงทุน
1. สะสมผลตอบแทนให้เติบโตต่อเนื่อง
เนื่องจากกำไรจากการลงทุนไม่ได้ถูกจ่ายออกมาเป็นเงินปันผล แต่ถูกนำกลับไปลงทุนต่อทันที จึงช่วยเพิ่มพลังการเติบโตให้กับมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) อย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินลงทุนมีโอกาสงอกเงยได้เต็มที่ในระยะยาว ตามหลักการดอกเบี้ยทบต้น
2. เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
กองทุนประเภทนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว เช่น การเก็บเงินเพื่อใช้หลังเกษียณ การสะสมทุนเพื่อการศึกษาบุตร หรือเป้าหมายทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคตที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินในเร็ววันนี้
3. ไม่ต้องตัดสินใจนำเงินปันผลไปลงทุนเอง
ต่างจากกองทุนปันผลที่เมื่อได้รับเงินปันผลแล้ว ผู้ลงทุนอาจต้องตัดสินใจเองว่า จะนำเงินนั้นไปลงทุนต่อหรือไม่ และอย่างไร สำหรับกองทุนไม่ปันผล กองทุนจะบริหารจัดการนำผลกำไรไปลงทุนต่อให้อัตโนมัติ ช่วยให้การลงทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
กองทุนรวมไม่ปันผลเหมาะกับใคร
กองทุนรวมแบบไม่ปันผล หรือสะสมมูลค่า มักจะเหมาะสมกับนักลงทุนกลุ่มนี้ คือ
- ผู้มีรายได้ประจำและไม่จำเป็นต้องใช้เงินปันผลระหว่างทาง
เหมาะสำหรับคนวัยทำงาน หรือผู้ที่มีกระแสเงินสดจากแหล่งอื่นเพียงพออยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินปันผลเพื่อใช้จ่าย การไม่รับปันผลช่วยให้เงินลงทุนได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพโดยไม่มีสะดุด และไม่ต้องเสียเวลาหรือตัดสินใจนำเงินปันผลเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไปลงทุนใหม่ด้วยตนเอง
- ผู้ที่ต้องการสะสมความมั่งคั่งระยะยาว
ด้วยกลไกการนำกำไรไปลงทุนต่อ ทำให้เงินทำงานสร้างผลตอบแทนทบต้น กองทุนประเภทนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายการเงินระยะยาว เช่น การวางแผนเกษียณ การเตรียมทุนการศึกษา หรือการเก็บเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อทรัพย์สินในอนาคต ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนรวมได้สูงกว่าในระยะยาว
สรุปความแตกต่าง กองทุนรวมปันผล VS กองทุนรวมไม่ปันผล (หรือกองทุนรวมแบบสะสมมูลค่า)
ความแตกต่างสำคัญระหว่างกองทุนรวมปันผลกับไม่ปันผลอยู่ที่
วิธีจัดการกับผลกำไรที่กองทุนทำได้
กองทุนรวมปันผลจะนำกำไรส่วนหนึ่ง (ตามนโยบาย) มาจ่ายคืนให้ผู้ถือหน่วยในรูปแบบเงินปันผลตามรอบเวลา เช่น รายไตรมาส หรือรายปี ทำให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดระหว่างทาง แต่ข้อสังเกตคือ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) จะลดลงหลังวันขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนไม่มีสิทธิรับเงินปันผล) และเงินปันผลที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ทันที ซึ่งเป็นอัตราคงที่โดยไม่เกี่ยวกับฐานภาษีของผู้ลงทุน
ในส่วนของกองทุนรวมไม่ปันผล (สะสมมูลค่า) จะนำกำไรทั้งหมดที่ทำได้กลับไปลงทุนต่อในกองทุน เพื่อเพิ่มมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ให้เติบโตขึ้น ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวจากพลังของผลตอบแทนทบต้น โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ในรูปแบบของส่วนต่างกำไร (Capital Gain) ซึ่งข้อดีคือ กำไรส่วนนี้ ได้รับการยกเว้นภาษี (สำหรับบุคคลธรรมดา) ทำให้ได้รับผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สรุปง่าย ๆ กองทุนรวมไม่ปันผล (สะสมมูลค่า) เหมาะกับผู้ที่
ลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว ไม่ต้องการกระแสเงินสดระหว่างทาง และต้องการให้เงินเติบโตเต็มที่ (เช่น คนวัยทำงานวางแผนเกษียณ) ส่วนกองทุนรวมปันผลเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอมาใช้จ่าย (เช่น ผู้เกษียณอายุ หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำ) นั่นเอง
ตารางเปรียบเทียบ กองทุนรวมปันผล VS กองทุนรวมไม่ปันผล
ทางเลือกสำหรับคนวัยทำงานที่ชอบกองทุนปันผล
หากคุณเป็นคนวัยทำงานที่ชอบแนวคิดของการได้รับกระแสเงินสดสม่ำเสมอเหมือนกองทุนปันผล แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสให้เงินลงทุนเติบโตระยะยาว และไม่อยากเสียภาษีเงินปันผล 10% ยังมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจ ดังนี้
1. ใช้วิธีทยอยขายกองทุนรวมแทน
คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมแบบไม่ปันผล (สะสมมูลค่า) ที่เน้นการเติบโต แล้วใช้วิธี
“ทยอยขายคืน” หน่วยลงทุนออกมาเป็นงวด ๆ ตามจำนวนเงินที่ต้องการใช้
วิธีนี้มีข้อดีคือ กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้คุณได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่ถูกหัก 10% เหมือนเงินปันผล แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไข และค่าธรรมเนียมการขายคืน (Back-End Fee) ของแต่ละกองทุนด้วย
2. กองทุนรวมที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ
อีกทางเลือกที่สะดวกสบายคือ การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบาย
“รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ” (Auto Redemption หรือ R Class) กองทุนประเภทนี้จะทำการขายคืนหน่วยลงทุนของผู้ถือหน่วยเป็นประจำตามรอบที่กำหนด (เช่น ทุกเดือน ทุกไตรมาส) และโอนเงินเข้าบัญชีให้โดยอัตโนมัติ คล้ายกับการรับเงินปันผล แต่เงินที่ได้มาจากการขายคืนนี้ ไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาเงื่อนไขในหนังสือชี้ชวนให้ดี เพราะบางกองทุนอาจมีนโยบายขายคืนอัตโนมัติแม้ในช่วงที่กองทุนขาดทุนอยู่ก็ได้
Krungsri The COACH ขอแนะนำ : กองทุนรวมที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือน
สำหรับคนวัยทำงานที่สนใจกองทุนรวมที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอแต่ไม่ต้องเสียภาษี Krungsri The COACH ขอแนะนำกองทุนรวมที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติที่น่าสนใจ ได้แก่
“KFSINCFX-R” ซึ่งช่วยให้คุณได้รับเงินสม่ำเสมอเหมือนได้รับเงินปันผล แต่ไม่ต้องถูกหักภาษี 10%
ข้อดีของกองทุนรวมที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ
- ได้รับกระแสเงินสดสม่ำเสมอตามรอบที่กองทุนกำหนด
- เงินที่ได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุน ไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% เหมือนเงินปันผล
- สะดวกสบาย ไม่ต้องส่งคำสั่งขายด้วยตนเอง
- บางกองทุนอาจมีความยืดหยุ่นในการกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการรับ (โปรดตรวจสอบเงื่อนไข)
การเลือกระหว่างกองทุนรวมปันผลกับไม่ปันผลนั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ความต้องการกระแสเงินสด และสถานการณ์ทางภาษีของนักลงทุนแต่ละคน หากคุณต้องการเงินสดใช้จ่ายระหว่างทาง และยอมรับภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ กองทุนปันผลอาจตอบโจทย์ แต่หากคุณเน้นการเติบโตระยะยาว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินระหว่างทาง และต้องการประโยชน์ทางภาษีสูงสุด กองทุนไม่ปันผล (สะสมมูลค่า) ดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า นอกจากนี้ทางเลือกอย่างกองทุน Auto Redemption ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดแต่ไม่อยากเสียภาษี การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญในการเลือกกองทุนรวมที่ใช่สำหรับคุณ
อ้างอิง