ใกล้สิ้นปี 2566 แล้วเตรียมวางแผนลดหย่อนภาษีกันหรือยัง? วิธีลดหย่อนภาษีที่นิยมมากที่สุด คือ การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี เพราะได้ประโยชน์ 2 ต่อ ทั้งลดหย่อนภาษีได้แถมเพิ่มโอกาสสร้างกำไรให้เงินงอกเงย วันนี้เรามัดรวม 3 ตัวเลือก น่าสนใจ ได้แก่ กองทุน SSF, RMF และ Thai ESG มาให้เลือกสรรตามความเหมาะสมของแต่ละคน
“กองทุน Thai ESG” คืออะไร?
กองทุน Thai ESG คือ กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน หรือ Thailand ESG Fund เป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจากกองทุน SSF และ RMF
โดยกองทุนจะเปิดขายครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของมาตรการภาษีใหม่นี้เพื่อช่วยให้การลงทุนระยะยาวในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น และทำให้ผู้มีเงินออมมีทางเลือกในการออมและการลงทุนระยะยาว อีกทั้งยังช่วยให้กิจการของไทยให้ความสำคัญต่อเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยเริ่มซื้อกองทุน ThaiESG ได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 และ
ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 2566 ได้ หากซื้อกองทุนดังกล่าวภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2566 และภายในเวลาทำการของกองทุน
กองทุน Thai ESG นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไรได้บ้าง?
- หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน ตามหลัก ESG ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance)
- หุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ตราสารหนี้ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืน
- โทเคนดิจิทัลเพื่อการระดมทุนที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืนที่มีมาตรฐานในทำนองเดียวกันกับตราสารหนี้
เปรียบเทียบความแตกต่าง กองทุน SSF vs RMF vs Thai ESG
1. สัดส่วนเงินลงทุนซื้อ และจำนวนสูงสุดเพื่อลดหย่อนภาษี 2566
- Thai ESG : ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 100,000 บาท
- SSF : ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ และต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- RMF : ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
2. ระยะเวลาการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี 2566
- Thai ESG : ถือลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ ไม่บังคับซื้อทุกปี
- SSF : ถือลงทุน 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ไม่บังคับซื้อทุกปี
- RMF : ต้องถือจนถึงอายุ 55 ปี และครบ 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ และต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีหรือปีเว้นปี
3. เงื่อนไขการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี 2566
- Thai ESG : ไม่กำหนดเงินลงทุน และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
- SSF : ไม่กำหนดเงินลงทุน และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
- RMF : ไม่กำหนดเงินลงทุน แต่เมื่อซื้อแล้วต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรือปีเว้นปี
4. สินทรัพย์ที่ลงทุนได้
- Thai ESG : หุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่เข้าหลักเกณฑ์ ESG
- SSF และ RMF : ลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
5. ปีที่ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- Thai ESG : ปี 2566 ถึงปี 2575
- SSF : ปี 2563 ถึงปี 2567
- RMF : ไม่กำหนด
อัปเดตรายชื่อกองทุนทั้งของ SSF, RMF และ Thai ESG ที่น่าซื้อ
1. KFAFIXSSF กองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้-เพื่อการออม
- นโยบายการลงทุน : กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ที่มีคุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ
- วัตถุประสงค์การลงทุน : เพื่อการออม โดยมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ)
รายละเอียดเพิ่มเติมกองทุน KFAFIXSSF
2. KFGBRANSSF กรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้ปันผลเพื่อการออม
- นโยบายการลงทุน : ลงทุนในหุ้นแบรนด์เด่นของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Morgan Stanley investment fund-Global Brands fund (Class Z) (กองทุนหลัก)
- วัตถุประสงค์การลงทุน : เพื่อการออม โดยมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก (Passive Management)
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6 (เสี่ยงสูง)
รายละเอียดเพิ่มเติมกองทุน KFGBRANSSF
3. KFTHAIESG กรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน
- นโยบายการลงทุน : ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกว่ามีความโดดเด่น ด้านความยั่งยืนจากองค์กรหรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
- วัตถุประสงค์การลงทุน : เพื่อการออม โดยมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6 (เสี่ยงสูง)
รายละเอียดเพิ่มเติมกองทุน KFTHAIESG
ก่อนอื่นเลยในการลดหย่อนภาษี หลัก ๆ คือ เราต้องรู้จักเลือกซื้อให้ตรงตามความเหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นของตัวเอง ดูจากสภาพคล่องทางการเงิน โดยหากเรามีเงินจำกัด เราควรเลือกจากเป้าหมายการลงทุนเป็นอันดับแรก หากเป้าหมายในการลงทุนของเรา คือ เน้นการออมเงินระยะยาวประมาณ 10 ปี ก็ควรเลือกลงทุนใน ThaiESG และ SSF เพราะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 8 ปี หรือ 10 ปี
โดยไม่ต้องรอจนอายุถึง 55 ปี เหมือน RMF แต่ถ้าเรามีเป้าหมายเพื่อเตรียมเงินสำหรับการเกษียณอายุ ควรเลือก RMF เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นตัวช่วยในการทยอยเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณอายุ เนื่องจากเป็นการลงทุนต่อเนื่องทุกปี (หรือปีเว้นปี) เพราะการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เงินงอกเงยในระยะยาว แต่ถ้าเรามีอายุ 50 ปีขึ้นไป การเลือกลงทุนในกองทุน RMF จะใช้ระยะเวลาในการลงทุนที่สั้นกว่า เพียง 5 ปี ก็สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ ไม่ต้องถือจนครบกำหนด 8 หรือ 10 ปีเหมือน ThaiESG และ SSF นอกจากนี้ อยากให้คำนึงถึงระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่รับได้ควบคู่ไปด้วย ถ้าเราเป็นนักลงทุนระดับความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง แนะนำกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น พันธบัตร เงินฝาก หรือตราสารหนี้ เป็นต้น
ถ้าเราเป็นนักลงทุนระดับความเสี่ยงสูง สามารถ
เลือกลงทุนได้ทั้งกองทุน SSF หรือกองทุน RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ในสัดส่วนที่สูงขึ้นได้ เช่น หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนทองคำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ควรศึกษาข้อมูล เงื่อนไข และผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจซื้อ รวมทั้งติดตามปรับพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามแต่ละช่วงเวลา
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กองทุน SSF เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออม
- กองทุน RMF เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณอายุ
- กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาว และสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย
- ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนทางภาษี หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
- กองทุน KFGBRANSSF และ PRINCIPAL VNEQRMF มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้