จากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผนวกกับแรงผลักดันจากภายในประเทศ ทางการเวียดนามจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งแนวทางสำคัญคือ การส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่าน “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” จากปัจจุบันที่มีจำนวนกิจการรัฐวิสาหกิจมากกว่า 2,000 แห่ง และมีมูลค่าสินทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของ GDP วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปี 2016-2020 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของเวียดนามผ่านผลเชิงบวกต่างๆ ทั้งการลดค่าใช้จ่ายและภาระหนี้ของภาครัฐ การยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการมีรายได้จากการแปรรูปมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผลทางอ้อมจากการดึงดูดการลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสาขาธุรกิจการผลิต พลังงาน ก่อสร้าง ค้าปลีก-ค้าส่ง การขนส่ง และธุรกิจในภาคเกษตรกรรม ซึ่งจะยกระดับขีดความสามารถของเวียดนามให้สูงขึ้น ตามลำดับ แม้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันต้องอาศัยระยะเวลามากตามความซับซ้อนของโครงสร้างองค์กร แต่คาดว่าความสำเร็จจากการแปรรูปครั้งนี้ จะช่วยให้เวียดนามมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งขึ้นปูทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เวียดนามได้เริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างจริงจังครั้งแรกในปี 1986 ภายใต้การปฏิรูป “Doi Moi” (“โด่ย-เหม่ย”) ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยระบบตลาดมากขึ้น โดยลดการผูกขาดของภาครัฐและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน การแปรรูปในระยะแรก (ช่วงปี 1990-1992) ส่วนใหญ่เป็นการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจขนาดเล็กและเป็นกิจการที่ไม่ใช่สาขาการผลิตที่เป็นยุทธศาสตร์ (non-strategic sectors) ทำให้จำนวนรัฐวิสาหกิจของเวียดนามลดลงมากเกือบครึ่งหนึ่งภายใน 2 ปี จาก 12,000 แห่ง ในปี 1990 เหลือราว 6,500 แห่ง ในปี 1992 หลังจากนั้นการแปรรูปคืบหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากกิจการรัฐวิสาหกิจที่เหลือมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน ทางการเวียดนามจึงใช้วิธีการจัดกลุ่มกิจการรัฐวิสาหกิจที่เหลือ โดยอาศัยแนวคิดการจัดกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นหรือ Chaebol ของเกาหลีใต้ เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและแบ่งอำนาจความรับผิดชอบ โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม เรียกว่า General Corporation 90 (GC 90) [1] และ GC 91 [2] โดยแต่ละ GC จะเสนอรายชื่อรัฐวิสาหกิจที่จะทำการแปรรูปต่อทางการเวียดนาม ซึ่งทำให้ในช่วงต่อมา (ปี1996-2016) รัฐวิสาหกิจในเวียดนามทยอยลดลงไปอยู่ที่กว่า 2,600 แห่ง ณ สิ้นปี 2016 แต่ยังมีจำนวนมากและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูง โดยมูลค่าสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวมีสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของ GDP เวียดนาม (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติของเวียดนาม)






การแปรรูปรัฐวิสาหกิจของเวียดนามมีความชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2016 โดยรัฐบาลได้แสดงเจตนารมณ์ผ่านการออกกฎระเบียบและข้อกำหนดหลายฉบับ เพื่อเร่งให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศมีความคืบหน้าสำหรับกฎระเบียบที่สำคัญ อาทิ



ด้วยรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ทั้งในแง่มูลค่าสินทรัพย์และจำนวนกิจการในเครือ ทำให้การแปรรูปจำเป็นต้องอาศัยกลไกที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากนักลงทุนเข้ามาช่วย เพื่อให้การแปรรูปเป็นไปโดยสะดวกและสามารถดึงดูดการลงทุนได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ทางการเวียดนามได้เพิ่มทางเลือกการแปรรูปให้สามารถดำเนินการผ่านการกระจายหุ้น (Equitization) โดย 1) ขายหุ้นบางส่วน และ/หรือ 2) ออกหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offerings: IPOs) เพิ่มเติมจากการแปรรูปในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีทางเลือกเพียงการถอนการถือครองหุ้นของรัฐบาล การยุบ และการควบรวมระหว่างกิจการรัฐวิสาหกิจด้วยกันเท่านั้น
ทั้งนี้ เพื่อให้การกระจายหุ้นของรัฐวิสาหกิจมีแผนและกำหนดเวลาชัดเจน ทางการเวียดนามได้กำหนดรายชื่อรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จำนวน 127 กิจการที่มีแผนการแปรรูปด้วยการกระจายหุ้นผ่านการออก IPOs ระหว่างปี 2016-2020 โดยมีการกำหนดรายชื่อรัฐวิสาหกิจที่จะออก IPOs ในแต่ละปีอย่างชัดเจน (อ้างอิงตาม Official Letter No.991/TTg-DMDN ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2017)


นับตั้งแต่การปฏิรูป Doi-Moi จนถึง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2019 เวียดนามมีความตกลง FTA ที่ลงนามและมีผลบังคับใช้แล้วรวม 10 ฉบับ (ตารางที่ 4) ในจำนวนนี้เป็นความตกลง FTA ที่มีมาตรฐานสูงที่มีผลบังคับใช้แล้ว 1 ฉบับ คือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2018
นอกจากนี้ เวียดนามยังมี FTA ที่มีมาตรฐานสูงกำลังจะมีผลบังคับใช้อีก 1 ฉบับ คือ ความตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามและสหภาพยุโรป (Vietnam-European Union FTA: EVFTA) โดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2019 เวียดนามและสหภาพยุโรปได้ลงนาม EVFTA อย่างเป็นทางการ และรัฐสภายุโรปคาดว่าความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2019 หรืออย่างช้าต้นปี 2020 อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจาความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง FTA ที่มีมาตรฐานสูงเช่นกัน โดยมีประเทศภายใต้กรอบเจรจารวม 16 ประเทศ (ครอบคลุมสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ รวมทั้ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) โดยที่ประชุมผู้นำอาเซียนเห็นพ้องว่าจะเร่งสรุปผลการเจรจาได้ราวเดือนพฤศจิกายน 2019

การเปิดเสรีด้านการลงทุนหนุนให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น นับตั้งแต่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิก WTO ในปี 2007 เป็นต้นมา เวียดนามได้ทยอยเปิดเสรีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สาขาธุรกิจต่างๆ เปิดกว้างมากขึ้น จนกระทั่งเปิดเสรีเต็มรูปแบบ (นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้ 100% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ในหลายสาขา อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ การผลิตพลังงานไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจบริการ เช่น ก่อสร้าง การขนส่งทางน้ำ และค้าปลีก-ค้าส่ง เป็นต้น (ตารางที่ 5) ดังนั้น ระดับการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติที่สูงขึ้น เป็นการลดข้อจำกัดการลงทุนจากต่างชาติที่สำคัญ ซึ่งเป็นโอกาสให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาเหล่านี้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามามากขึ้นตามไปด้วย ต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ที่สภาพแวดล้อมเหล่านี้ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร

จากตารางที่ 5 แสดงถึงระดับการเปิดเสรีด้านการลงทุนในปัจจุบันที่เวียดนามอนุญาตแก่นักลงทุนทั่วไปเทียบกับนักลงทุนจากประเทศสมาชิกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN FTA) และความตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป (EVFTA) จะเห็นว่า สาขาธุรกิจที่ทางการเวียดนามมุ่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่เป็นสาขาที่มีการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติในระดับค่อนข้างสูงอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ที่เวียดนามเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้สูงสุดร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดเมื่อปี 2009 และผ่อนคลายเงื่อนไขด้านการลงทุนเพิ่มเติมในปี 2016 นอกจากนี้ เวียดนามยังเปิดกว้างให้นักลงทุนจากประเทศสมาชิก FTA สามารถลงทุน/ถือหุ้นได้ในสัดส่วนสูงกว่านักลงทุนทั่วไป ตัวอย่างเช่น ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน เวียดนามเปิดกว้างให้นักลงทุนจากประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถถือหุ้นในธุรกิจประกันภัยได้สูงสุดร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (เทียบกับนักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 49) สำหรับความตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป นักลงทุนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปสามารถถือหุ้นในธุรกิจบริการขนส่งทางทะเลได้สูงสุดร้อยละ 70 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (เทียบกับนักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 49) และในธุรกิจโทรคมนาคมได้สูงสุดร้อยละ 75 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (เทียบกับนักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 65-70) เป็นต้น
ด้วยสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่เปิดกว้างและการผ่อนคลายระเบียบด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจุดแข็งสำคัญคือ กิจการรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ผูกขาดหรือผู้นำตลาดในเวียดนาม [5] (อาทิ ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของเวียดนามที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง ปัจจัยบวกเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ยังเอื้อให้เวียดนามมีโอกาสมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ





การที่เวียดนามเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ส่วนหนึ่งเพื่อให้ฐานะการคลังเข้มแข็งมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันมีกิจการรัฐวิสาหกิจอยู่จำนวนมาก ประกอบกับหนี้ของรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ภาครัฐที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนมีสัดส่วนสูงถึงราวร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งสร้างปัญหาทางการคลังในอนาคตได้ จากการศึกษาของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) [7] พบว่า รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค บริการคมนาคม และการผลิตอุตสาหกรรมหนักของประเทศ มักพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก และก่อให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) แก่ธนาคารและสถาบันการเงินของรัฐตามไปด้วย ที่ผ่านมา หนี้ของรัฐวิสาหกิจยังมีส่วนสำคัญในการเกิดวิกฤตทางการคลังและวิกฤตเศรษฐกิจในหลายประเทศ อาทิ วิกฤตหนี้สาธารณะในฟิลิปปินส์ ตุรกี และประเทศในอเมริกาใต้ ความกังวลในประเด็นดังกล่าวได้นำไปสู่การเรียกร้องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจังมากขึ้นตั้งแต่ราวทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา และมีการนำเสนอแนวทางแก้ไขที่หลากหลาย อาทิ แนวทางของ Baker Plan [8] (ปี 1985-1989) และ Brady Plan [9](ปี 1990-1994) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวิกฤตการเงินเอเชียในปี 1997 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ดำเนินการปฏิรูปที่ครอบคลุมทั้งการปฏิรูปทางการเงิน และการปฏิรูปธุรกิจเพื่อเน้นความโปร่งใส ประสิทธิภาพ รวมถึงการแข่งขันในตลาด ส่งผลให้มีการผลักดันการปฏิรูปและแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วย
ทั้งนี้ สาขาที่ทางการเวียดนามมุ่งแปรรูปภายใต้แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปี 2016-2020 (ตารางที่ 2) ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน การผลิตและบริการ และการผลิตปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาขาที่พึ่งพางบประมาณภาครัฐค่อนข้างมาก จากประสบการณ์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาดังกล่าวของหลายประเทศพบว่าส่งผลบวกหลายประการ อาทิ
การศึกษาของ ADB [12] ชี้ให้เห็นว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศกำลังพัฒนายังช่วยบรรเทาความเสี่ยงหรือป้องกันผลกระทบเชิงลบในหลายด้าน อาทิ 1) ช่วยป้องกันผลกระทบจากความล้มเหลวทางการเมืองและสังคม 2) ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดวิกฤตหนี้จากภาระหนี้สูงของรัฐวิสาหกิจ และ 3) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านต้นทุนของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีผลิตภาพต่ำและมีบทบาทนำในธุรกิจนั้นๆ นอกจากนี้ การศึกษาของ Xiaobing Huang [13] ของจีน ยังพบว่า รัฐวิสาหกิจในจีนที่ได้รับการปฏิรูป (ครอบคลุมถึงการแปรรูป) จะมีผลิตภาพการผลิตเพิ่มขึ้นจากการจัดสรรทรัพยากรที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจยังเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ จากโครงการ Pacific Private Sector Development Initiative (PSDI) ที่จัดตั้งโดย ADB เพื่อช่วยประเทศในภูมิภาคแปซิฟิกยกระดับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านกระบวนการแปรรูปการปฏิรูปนโยบาย และปรับโครงสร้างองค์กร ส่งผลให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน การสร้างงาน การเพิ่มระดับการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจ และเอื้อให้เกิดกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจของเวียดนามเกิดขึ้นจากแรงผลักดันหลายด้านทั้งความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและความจำเป็นในการสร้างความเข้มแข็งทางการคลังภายในประเทศ สิ่งดังกล่าวเมื่อประกอบกับกลไกการขับเคลื่อนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีการวางแนวทางและมีกฎระเบียบรองรับชัดเจนคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทำให้การเดินหน้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจมีความคืบหน้า ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนนับเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนต่างชาติและมีส่วนเกื้อหนุนความสำเร็จในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สำหรับประเด็นท้าทายสำคัญที่อาจทำให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจล่าช้า คือ ปัจจัยด้านขนาดและความซับซ้อนของโครงสร้างกิจการ เนื่องด้วยรัฐวิสาหกิจที่เป็นเป้าหมายในการแปรรูปนั้น หลายกิจการเป็นกิจการขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างและขอบเขตความรับผิดชอบ ทำให้ต้องอาศัยเวลาในกระบวนการแปรรูปยาวนานกว่าที่ทางการเวียดนามคาดไว้ อาทิ การกำหนดเวลาให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการออกและขาย IPOs ให้แล้วเสร็จในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งมีความยากลำบากในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องมากมาย นอกจากนี้ ปัจจัยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อาทิ ประเด็นการปกป้องทางการค้าและความผันผวนของตลาดเงิน อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไป และทำให้การแปรรูปล่าช้าได้
แม้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันอาจต้องอาศัยระยะเวลามากตามความซับซ้อนของโครงสร้างองค์กรและอาจต้องเผชิญประเด็นท้าทายอื่นๆ แต่คาดว่าความสำเร็จจากการแปรรูปครั้งนี้จะทำให้ก้าวต่อไปของเวียดนามมีโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่นำโดยภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยสร้างผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจหลายด้าน อันได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เข้าสู่การแปรรูปซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการที่มีความสำคัญต่อประเทศ 2) เพิ่มความมั่นคงทางการคลัง โดยลดการใช้จ่ายภาครัฐและลดภาระหนี้ภาครัฐ รวมทั้งการนำรายได้จากการแปรรูปส่วนหนึ่งมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 3) ช่วยพัฒนาตลาดทุนให้เติบโตต่อเนื่องผ่านการออก IPOs ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค และ 4) ช่วยดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในสาขาการผลิตเพื่อการส่งออก ธุรกิจในภาคเกษตรกรรรม การผลิตพลังงานไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจบริการ อาทิค้าปลีก-ค้าส่ง ก่อสร้าง การขนส่ง และโทรคมนาคม ทั้งนี้ ผลเชิงบวกดังกล่าวจะช่วยให้เวียดนามมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งขึ้นผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในหลายสาขา ปูทางไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศในระยะยาว

1/ GC 90 หมายถึงกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ถูกกำหนดขึ้นให้อยู่ภายใต้อำนาจบริหารของกระทรวงหรือคณะกรรมการประชาชนซึ่งมีอำนาจบริหารงานภายในท้องถิ่น โดยกลุ่มรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต้องมีทุนขั้นต่ำไม่เกิน 1 ล้านล้านด่อง (ตามคำสั่ง Decree No. 90/TTg ลงวันที่ 7 มีนาคม 1994)
2/ GC 91 หมายถึงกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ถูกกำหนดขึ้นให้อยู่ภายใต้อำนาจบริหารของกระทรวง โดยกลุ่มรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต้องมีทุนขั้นต่ำมากกว่า 1 ล้านล้านด่อง (ตามคำสั่ง Decree No. 91/TTg ลงวันที่ 7 มีนาคม 1994)
3/ OECD Economic Department Working Papers No.1228 “Government Debt Indicators: Understanding the Data”, OECD, 29 June 2015.
4/ รัฐวิสาหกิจ 406 กิจการดังกล่าวเป็นกิจการที่เคยได้รับการแปรรูปมาแล้ว แต่ยังมีสัดส่วน การถือครองหุ้นโดยรัฐในระดับสูง
5/ สาขาธุรกิจที่กิจการรัฐวิสาหกิจของเวียดนามมีบทบาทผู้นำตลาด ที่สำคัญ อาทิ ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (กิจการรัฐวิสาหกิจครองส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 86 ของตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในเวียดนาม) ธุรกิจธนาคาร (ร้อยละ 45 ของสินทรัพย์รวมในระบบธนาคารเวียดนาม) และธุรกิจผลิตพลังงาน (ร้อยละ 60 ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดของประเทศ) (Source: EMIS, BMI, FitchSolutions)
6/ Thanh Hong Nguyen. “Vietnam State-owned Enterprise (SOE) Reform: A productivity and efficiency perspective”. University of Queensland. 2016.
7/ ADB. “State-owned Enterprise Engagement and Reform” (Linked Document). November 2018.
8/ Baker Plan คือแนวทางที่ถูกเสนอโดย James Baker รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในปี 1985 เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ โดยมีหลักการให้ประเทศลูกหนี้ดำเนินการแปรรูปควบคู่ไปกับการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน ซึ่งแนวทางดังกล่าวมุ่งเน้นเป้าหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าการสร้างเสถียรภาพดุลการชำระเงินระหว่างประเทศในระยะสั้น
9/ Brady Plan คือแนวทางที่ถูกเสนอโดย Nicholas Brady ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี 1989 โดยมีหลักการลดหนี้ของ ธนาคารพาณิชย์ โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถแปลงหนี้เก่าของประเทศกำลังพัฒนาไปเป็นตราสารหนี้ใหม่ และอนุญาตให้ลบหนี้ ออกจากงบดุลได้ เรียกว่า Brady Bonds
10/ ibid.
11/ World Bank’s Private Participation in Infrastructure (PPI) Database.
12/ ibid.
13/ Xiaobing Huang. “Reform of State-Owned Enterprises and Productivity Growth in China”, Crawford School of Public Policy. 2019.