การฝังชิปใต้ผิวหนัง อีกหนึ่งทางเลือกของการเสริมศักยภาพมนุษย์ 

การฝังชิปใต้ผิวหนัง อีกหนึ่งทางเลือกของการเสริมศักยภาพมนุษย์

02 กันยายน 2568

บทนำ

 

ในศตวรรษที่ 21 กระแสด้านการเสริมศักยภาพมนุษย์ (Human Enhancement) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้เราได้เห็นการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย (Implantable Devices) ก้าวเข้าสู่แนวหน้าของนวัตกรรมการเสริมศักยภาพมนุษย์ โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบชีววิทยาของมนุษย์และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นกระแสเปลี่ยนโลกขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญในปัจจุบัน โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่สะท้อนแนวโน้มนี้คือการฝังไมโครชิปใต้ผิวหนัง (Subdermal Microchip Implantation) ที่มุ่งขยายขีดความสามารถของมนุษย์ทั้งในด้านกายภาพและข้อมูล

แม้เทคโนโลยีการฝังชิปจะไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มีการใช้งานมายาวนานในบริบทต่างๆ เช่น การติดตามสัตว์ การบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ และการประยุกต์ใช้ในภาคการทหาร แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้เริ่มเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันตกที่มีการฝังชิปเพื่อจุดประสงค์หลากหลาย อาทิ เพื่อระบุตัวตน เพื่อใช้ชำระเงินแบบไร้สัมผัส และเพื่อเข้าถึงข้อมูลสุขภาพในกรณีฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม การใช้งานดังกล่าวยังเผชิญข้อท้าทายเชิงจริยธรรม ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว การติดตามโดยไม่ได้รับความยินยอม รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัย ผลกระทบทางสุขภาพ และข้อจำกัดด้านกฎหมายที่ยังตามไม่ทันการพัฒนาเทคโนโลยี

 

เจาะเทรนด์ “การเสริมศักยภาพมนุษย์”

 

การเสริมศักยภาพมนุษย์ด้วย ‘ไบโอแฮกกิ้ง’

 

ไบโอแฮกกิ้ง (Biohacking) คือกระบวนการที่มนุษย์แต่ละคนทดลองปรับเปลี่ยนร่างกายและ/หรือพฤติกรรมของตนเองอย่างมีแบบแผน โดยใช้ความรู้ สิ่งประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยีจากศาสตร์สาขาต่างๆ มาช่วยเสริมศักยภาพของตน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาสุขภาพร่างกายและ/หรือจิตใจให้ดีขึ้น โดยสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบที่มีการแทรกแซงทางกายภาพ (Invasive physical intervention) ที่อาจต้องมีการฉีด เจาะ ผ่าตัดหรือฝังอุปกรณ์ เช่น การฝังชิปหรือการดัดแปลงพันธุกรรม และในรูปแบบที่ไม่ต้องอาศัยการแทรกแซงทางกายภาพ (Non-invasive physical intervention) เช่น การใช้เทคโนโลยีแบบสวมใส่ การควบคุมอาหาร และการฝึกฝนจิตใจ เป็นต้น

 
Microchip Implants

 

การแทรกแซงทางชีววิทยาเพื่อเสริมศักยภาพมนุษย์

 

การเสริมศักยภาพปัจเจกบุคคลผ่านการแทรกแซงร่างกายมนุษย์ (Invasive physical intervention) สามารถจำแนกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ตามลักษณะของการแทรกแซงทางชีววิทยา (Biological intervention) ดังนี้

  1. การฝังอุปกรณ์ใต้ผิวหนัง (Subdermal entry) ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงการฝังชิปขนาดเล็กที่ใต้ชั้นผิวหนัง เช่น ไมโครชิป เพื่อระบุข้อมูลประจำตัว (Identification) เข้าถึงระบบ (Access control) และชำระเงิน (Payment systems) ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีลักษณะเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องอาศัยพลังงานภายในตัวเอง (Passive technology) กล่าวคือไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ภายในตัวเอง

  2. การเพิ่มพูนศักยภาพของประสาทสัมผัส (Peripheral sensory integration) เป็นการฝังอุปกรณ์เพื่อขยายขีดความสามารถในการรับรู้ เช่น เครื่องช่วยเสริมการได้ยินแบบฝังใน (Cochlear implants) แม่เหล็กขนาดเล็ก (Subdermal magnets) ที่จะสั่นหรือกระตุ้นเส้นประสาทเมื่อมีสนามแม่เหล็กอยู่ใกล้ ทำให้ขยายการรับรู้ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น และเครื่องมือช่วยนำทาง (Vibration compasses) ที่จะสั่นเพื่อบอกทิศ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ทำหน้าที่เสริมหรือเพิ่มประสาทสัมผัสใหม่ (Sensory augmentation) แก่ผู้ใช้งาน

  3. การเชื่อมต่อระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system interface) เป็นการแทรกแซงร่างกายมนุษย์ที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ เพราะต้องผ่าตัดเพื่อนำอุปกรณ์เข้าไปติดตั้งในบริเวณที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท อาทิ 1) การใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อสมองกับเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ภายนอก (Brain-machine interfaces) ที่ประกอบด้วยเครื่องกระตุ้นระบบประสาท (Neurostimulators) ที่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเนื้อเยื่อสมองหรือระบบประสาท  2) อุปกรณ์กระตุ้นไขสันหลัง (Spinal cord stimulators) ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดเรื้อรังหรือช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการอัมพาตบางส่วน 3) เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemakers) ที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งแม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับสมองโดยตรง แต่หัวใจทำงานสัมพันธ์กับระบบประสาทอัตโนมัติ จึงถือเป็นการแทรกแซงทางกายภาพที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง

  4. การเข้าถึงระบบชีวเคมีภายใน (Internal biochemical access) หรือการใช้วิธีการแทรกแซงฟังก์ชันทางชีววิทยาภายในร่างกายโดยตรง อาทิ การใช้อุปกรณ์ฝัง เช่น ข้อต่อเทียม เซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น ระดับน้ำตาลในเลือด หรือระดับออกซิเจน ตลอดจนการแก้ไขพันธุกรรมที่ส่งผลต่อระบบฮอร์โมน (Hormonal systems) เอนไซม์ (Enzymatic processes) หรือ DNA เช่น เทคโนโลยี CRISPR1/ และการฝังแคปซูลฮอร์โมน (Hormone pellets)


ทั้งนี้จะเห็นว่า ในบรรดาเทคโนโลยี 4 กลุ่มที่กล่าวไปนั้น การฝังชิปใต้ผิวหนัง (Subdermal Microchip Implants) มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะได้รับความนิยมในวงกว้าง เนื่องจากเป็นการแทรกแซงที่รุกรานร่างกายน้อยที่สุด (minimally invasive) ตลอดจนไม่ส่งผลกระทบต่อระบบสำคัญของร่างกาย มีขนาดเล็ก ไม่ต้องอาศัยแบตเตอรี่หรือพลังงานภายในตัวเอง และมีความเสี่ยงต่ำ ทั้งในแง่การผ่าตัดและการติดเชื้อ เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอีก 3 กลุ่มที่จะต้องแทรกแซงระบบสำคัญของร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบชีวเคมี หรือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
 

การฝังไมโครชิปใต้ผิวหนัง...จากอดีตถึงปัจจุบัน

 

ไมโครชิปแบบฝังใต้ผิวหนังคืออะไร?

 

ไมโครชิปแบบฝัง (Microchip Implants) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋วที่ถูกออกแบบให้สามารถฝังเข้าไปในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์และสัตว์ โดยมีขนาดเล็กมาก ซึ่งที่พบเห็นทั่วไปสำหรับฝังใต้ผิวหนังมนุษย์จะมีขนาดประมาณเมล็ดข้าวหรือเล็กกว่า โดยมีความยาวราว 12 มิลลิเมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร  ทำให้สามารถใส่เข้าไปใต้ผิวหนังได้ด้วยหัตถการที่ไม่ซับซ้อนมากนัก

 

  Microchip Implants
 

ชิปแบบฝังส่วนใหญ่ทำงานด้วยเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) หรือ NFC2/ (Near Field Communication) ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารไร้สายระยะใกล้ที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ภายในตัวเอง แต่จะรับพลังงานจากเครื่องอ่านข้อมูลภายนอกผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อนำเข้าใกล้ในระยะที่กำหนด ทำให้ชิปสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมีแหล่งพลังงานภายใน ซึ่งเป็นข้อดีสำคัญสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน

ในปัจจุบันไมโครชิปแบบฝังมักผลิตจากวัสดุที่เข้ากับร่างกายได้ดี (Biocompatible materials) เช่น แก้วชีวภาพ (Bioglass) หรือเซรามิกชีวภาพ (Bioceramics) เพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะปฏิเสธสิ่งแปลกปลอม จึงทำให้อุปกรณ์สามารถอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานานโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย โดยไมโครชิปเหล่านี้มักมีองค์ประกอบหลัก คือ (1) วงจรรวม (Integrated circuit) ทำหน้าที่ประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล (2) ขดลวดขนาดเล็ก (Antenna coil) ทำหน้าที่เป็นเสาอากาศสำหรับรับส่งสัญญาณ และ (3) ตัวเก็บข้อมูล (Memory) สำหรับบันทึกข้อมูลต่างๆ


ความเป็นมาของเทคโนโลยีฝังชิป RFID ที่ใช้ในสัตว์

อุตสาหกรรมเทคโนโลยี RFID ได้พัฒนาเครื่องส่งสัญญาณ (Transponder) ขนาดจิ๋วสำหรับการฝังใส่สัตว์หลากหลายรูปแบบในระหว่างปี  2529-2539 (ค.ศ. 1986-1996) อย่างไรก็ดี เครื่องส่งสัญญาณเหล่านี้มีข้อจำกัดสำคัญ คือ เครื่องส่งสัญญาณจากบริษัทหนึ่งไม่สามารถอ่านได้ด้วยเครื่องอ่าน (Reader) ของอีกบริษัทหนึ่ง3/ นำไปสู่การกำเนิดมาตรฐาน ISO 11784 และ ISO 11785 ที่ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปต่างๆ ทยอยปรับเปลี่ยนมาจำหน่ายเฉพาะไมโครชิปที่เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านี้4/ จนเกิดเป็นมาตรฐานไมโครชิปเดียวกันทั่วโลก
 

การฝังชิป RFID ในมนุษย์

การฝังชิปในมนุษย์มีจุดเริ่มต้นสำคัญในปี  2541 (ค.ศ. 1998) เมื่อ Kevin Warwick ศาสตราจารย์ด้านไซเบอร์เนติกส์จากมหาวิทยาลัย Reading ประเทศอังกฤษ จัดทำโครงการ Project Cyborg โดยฝังชิป RFID เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณปลายแขนของตนเอง จนสามารถควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องทดลองได้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การปลดล็อคประตู หรือเปิด-ปิดไฟในห้อง5/ ซึ่งทำให้ศาสตราจารย์คนดังกล่าวกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิป RFID และจากจุดเริ่มต้นนี้ เทคโนโลยีการฝังชิปในมนุษย์ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วตลอดศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ทั้งในด้านการแพทย์ การระบุตัวตน และการเชื่อมต่อร่างกายมนุษย์กับโลกดิจิทัล

Microchip Implants

 

การทำงานของเทคโนโลยีไมโครชิปแบบฝัง

 

ระบบการทำงานของชิป RFID ที่ฝังในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยกระบวนการส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สาย เริ่มจากชิปที่ฝังใต้ผิวหนังจะส่งข้อมูลที่เก็บไว้ไปยังเสาอากาศรับสัญญาณ (Antenna) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับและส่งต่อข้อมูลจากชิปไปยังเครื่องอ่าน RFID โดยเครื่องอ่านจะเชื่อมต่อกับเสาอากาศผ่านระบบไร้สาย รับข้อมูลจากชิป และส่งข้อมูลต่อไปยังระบบคอมพิวเตอร์ ในขั้นตอนสุดท้ายข้อมูลจะถูกส่งเข้าสู่ฐานข้อมูล RFID เพื่อการจัดเก็บและประมวลผล โดยการทำงานของระบบทั้งหมดนี้อาศัยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic induction) โดยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องอ่าน RFID จะไปกระตุ้นชิปที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ชิปได้รับพลังงานและส่งข้อมูลกลับมาได้ โดยไม่ต้องมีแบตเตอรี่หรือแหล่งจ่ายไฟภายในชิป

Microchip Implants
 

จุดเริ่มต้นในเชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

 

ในสหรัฐฯ เทคโนโลยี RFID ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี  2547 (ค.ศ. 2004) เมื่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (US FDA) ได้อนุมัติการใช้งานชิป RFID แบบฝังในร่างกายเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เป็นครั้งแรก7/ โดยชิปดังกล่าวมีชื่อทางการค้าว่า VeriChip ผลิตโดยบริษัท Applied Digital Solutions จากรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ซึ่งชิปนี้สามารถจัดเก็บข้อมูลระบุตัวบุคคลและประวัติทางการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญเหล่านี้ของผู้ฝังชิปได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ การฝังชิปยังลดความเสี่ยงจากการสูญหายของอุปกรณ์ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์สวมใส่ที่แสดงข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ เช่น สร้อยข้อมือทางการแพทย์

การฝังชิป RFID สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้ ซึ่งจากการศึกษาของ Wolinsky (2006)14/ ที่เผยแพร่ใน EMBO reports รายงานว่า VeriChip รุ่นแรกที่ใช้กับผู้ใช้งานกลุ่มแรกจำนวน 200 รายนั้นบรรจุข้อมูล 16 หลัก (16-digit identifier) และเชื่อมโยงกับประวัติการรักษาพยาบาลของแต่ละคนในฐานข้อมูลกลาง โดยก่อนการฝังใต้ผิวหนังไมโครชิปจะผ่านการบำบัดด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันมิให้เกิดการเคลื่อนที่ภายในร่างกาย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำหัตถการจะอยู่ที่ราว 200-400 ดอลลาร์สหรัฐ บวกค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับการเข้าถึงฐานข้อมูล โดยบริษัทเรียกเก็บค่าบริการ 20 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับการบันทึกข้อมูลแบบพื้นฐาน และ 80 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับประวัติสุขภาพส่วนบุคคลแบบครบถ้วน นอกจากนี้ ยังได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในปี  2549 (ค.ศ. 2006) ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งในรัฐนิวเจอร์ซีย์ วัย 44 ปี ประสบอุบัติเหตุรุนแรงขณะปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อถูกนำส่งโรงพยาบาล ทีมแพทย์ฉุกเฉินได้สแกนร่างกายและตรวจพบชิป RFID ที่ถูกฝังไว้สองปีก่อนเพื่อวัตถุประสงค์ในการระบุตัวตน ทีมแพทย์จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบฐานข้อมูลออนไลน์ของผู้ป่วย และพบประวัติโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ส่งผลให้แพทย์เริ่มเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยได้ทันท่วงทีระหว่างดูแลอาการบาดเจ็บอื่นๆ ซึ่งกรณีศึกษานี้บ่งชี้ประโยชน์ของการผังชิปในการใช้งานจริงได้อย่างชัดเจน

 

กรณีการใช้งานของการฝังชิป RFID ใต้ผิวหนัง

 

การใช้งานในเชิงการแพทย์

 

การใช้งานทางการแพทย์เป็นประโยชน์ที่อาจกล่าวได้ว่าสำคัญที่สุด โดยชิป RFID สามารถเก็บข้อมูลที่ระบุตัวตนและข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น ประวัติการแพ้ยา กรุ๊ปเลือด โรคประจำตัว และข้อมูลติดต่อฉุกเฉิน ซึ่งช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยหมดสติหรือไม่สามารถสื่อสารได้

ความนิยมและวัตถุประสงค์ในการใช้ชิป RFID ในเชิงการแพทย์แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยขณะที่สหรัฐฯ เริ่มต้นการฝังชิปใต้ผิวหนังให้กับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เช่น ในปี 2550 (ค.ศ. 2007) โครงการในรัฐฟลอริดาได้ฝังชิปผู้ป่วย 200 ราย เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ที่สำคัญได้อย่างรวดเร็ว15/ เป็นการยกระดับการดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังและภาวะสมองเสื่อม แต่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged society) กล่าวคือมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 กลับนิยมใช้ชิป RFID แบบไม่รุกล้ำร่างกายเพื่อติดตามและดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม เช่น ให้ผู้ป่วยสวมใส่อุปกรณ์ที่มีชิป RFID หรือฝังชิปในรองเท้าแตะของผู้ป่วยแทน เพื่อเก็บบันทึกตำแหน่ง ตรวจติดตามพฤติกรรม และวิเคราะห์แนวโน้มการทำกิจกรรมต่างๆ ของผู้ป่วยในแต่ละวัน16/  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงของสุขภาวะของผู้ป่วยได้
 

การใช้งานในองค์กรทหาร 

 

Guggisberg (2011)17/ สนับสนุนการฝังชิป RFID ในบุคลากรทางทหารเพราะเห็นว่าเป็นนวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพของกองทัพในด้านการติดตามตัว การบริหารกำลังพล การดูแลทางการแพทย์ และการสนับสนุนภารกิจต่างๆ โดยภายในชิปจะบรรจุข้อมูลสำคัญของบุคลากรและประวัติการรักษาพยาบาล และเมื่อข้อมูลจากชิปยืนยันว่าทหารเดินทางถึงพื้นที่ปฏิบัติการ ระบบจัดการจะอัปเดตข้อมูลอัตโนมัติต่างๆ เช่น รายงานบุคลากรของหน่วย การเปิดใช้สิทธิประโยชน์พื้นที่ปฏิบัติการ (Combat-zone Entitlements) ประวัติการฉีดวัคซีน ข้อมูลผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน ประกันชีวิต และพินัยกรรม โดยทหารที่เดินทางถึงพื้นที่แล้วจะได้รับข้อความและลิงก์ผ่านโทรศัพท์มือถือที่บ่งบอกข้อมูลแผนที่สนามบิน รายละเอียดสถานที่พัก และข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ ขณะที่หน่วยสนับสนุนและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังจะได้รับข้อความยืนยันการเดินทางถึงที่หมายของทหารแต่ละนาย นอกจากนี้ ในกรณีที่ทหารได้รับบาดเจ็บ หน่วยพยาบาลสนามจะสามารถอ่านข้อมูลทางการแพทย์ได้ทันทีโดยประเมินประวัติการรักษา ยืนยันหมู่เลือด และตรวจสอบยาที่ใช้ประจำได้อย่างรวดเร็ว
 

การใช้งานในระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

 

ในปี 2545 (ค.ศ. 2002) นักประดิษฐ์ชื่อ William Marshall ได้จดสิทธิบัตรหมายเลข US6481140B1 สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของอาวุธปืนที่เชื่อมต่อกับไมโครชิป โดยเจ้าของปืนที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจะฝังไมโครชิปขนาดเล็กไว้ใต้ผิวหนัง เมื่อผู้ใช้จับปืน เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนปืนจะสแกนและอ่านข้อมูลจากชิป จากนั้นจะประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูลจากชิปกับฐานข้อมูลผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาต หากข้อมูลตรงกัน ปืนจะพร้อมใช้งาน แต่หากข้อมูลไม่ตรงกัน ปืนจะไม่สามารถยิงได้18/ นวัตกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย โดยป้องกันไม่ให้คนที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถใช้ปืนได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุหรือการใช้ปืนในทางที่ผิด และเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อความปลอดภัยในการใช้อาวุธอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ในปี  2547 (ค.ศ. 2004) ประเทศเม็กซิโกได้นำเทคโนโลยีชิป RFID มาเพิ่มความปลอดภัยในศูนย์ข้อมูลต่อต้านอาชญากรรมแห่งใหม่ของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ โดยอัยการสูงสุดของเม็กซิโกและเจ้าหน้าที่อีก 160 คนได้รับการฝังชิปขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าวใต้ผิวหนังบริเวณแขน19/ ซึ่งชิปเหล่านี้ใช้ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลสำคัญและเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 150 ดอลลาร์สหรัฐ20/ นับว่าเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีชิปฝังใต้ผิวหนังมาประยุกต์ใช้ในระดับสถาบันภาครัฐเป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยและการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ


การใช้งานส่วนบุคคล

 

ในบทความของ Shamani Joshi (2021)21/ ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ผู้ใช้งานชิปฝังใต้ผิวหนัง 3 ราย โดยรายแรกเป็นชายชาวอเมริกันซึ่งใช้ไมโครชิปเพื่อจัดเก็บประวัติทางการแพทย์และผลงานของตนเอง (Work portfolio) รวมถึงใช้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับคริปโตเคอร์เรนซี (Crypto wallet) และปลดล็อกประตูบ้าน โดยเขาใช้เวลาถึง 6 ปีก่อนตัดสินใจฝังชิป ขณะที่รายที่สองซึ่งเป็นสตรีและเป็นบล็อกเกอร์ด้านท่องเที่ยวชาวออสเตรีย ระบุว่าเมื่อปี 2560 (ค.ศ.2017)  ได้ฝังชิปถึง 25 แห่งในร่างกาย ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในหลายรูปแบบตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลการชำระเงินไปจนถึงการสตาร์ทรถยนต์ โดยเธออยู่ในกลุ่มแรกๆ ของผู้ที่ฝังชิปที่จัดเก็บข้อมูลการชำระเงิน และผู้ให้สัมภาษณ์รายสุดท้ายเป็นชาวเนเธอร์แลนด์ซึ่งฝังชิปมากกว่า 31 แห่งใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่ใช้จัดเก็บรหัสผ่านของอีเมลและการเข้าใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งเขาไม่ค่อยกังวลว่าจะถูกติดตามหรือจะถูกแฮ็กข้อมูลจากการฝังชิป เนื่องจากชิปเหล่านี้มีข้อจำกัดทางเทคโนโลยี กล่าวคือ ไมโครชิปไม่ใช้แบตเตอรี่ จึงต้องนำมาใกล้เครื่องอ่าน RFID ในระยะใกล้มาก (ราว 2-3 มิลลิเมตร) เท่านั้น จึงจะทำงานได้ ทำให้ถูกติดตามหรือถูกแฮ็กยากกว่าการติดตามผ่านสมาร์ทโฟนมาก

 

ประโยชน์ต่อภาคการเงิน

 

รายงาน New report: The European Payments Landscape in 203022/ โดย Marqeta ระบุว่าผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรจำนวนไม่น้อยเปิดรับรูปแบบการชำระเงินที่ล้ำสมัยซึ่งรวมถึงแนวทางที่อาจรุกล้ำร่างกาย เช่น การฝังไมโครชิปใต้ผิวหนังที่บริเวณมือเพื่อใช้ในการชำระเงิน โดยในปี  2564 (ค.ศ. 2021) ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 2,037 คน พบว่าราวครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 51) ของผู้ตอบแบบสอบถามจะ "พิจารณา" ฝังชิปใต้ผิวหนังบริเวณมือของตนเพื่อการชำระเงินด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ ร้อยละ 23 จะใช้เทคโนโลยีนี้หากมีหลักฐานยืนยันถึงความปลอดภัยทางการแพทย์อย่างชัดเจน ส่วนร้อยละ 8 จะใช้เมื่อมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด ขณะที่อีกร้อยละ 20 รู้สึกสบายใจที่จะใช้วิธีการชำระเงินผ่านไมโครชิปแบบฝังใต้ผิวหนัง

ทั้งนี้ การฝังชิปในลักษณะนี้สามารถช่วยให้การชำระเงินเป็นไปอย่างง่ายดาย สะดวกรวดเร็ว และไม่ต้องพกบัตรเครดิตหรือสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สะดวกพกพาสิ่งของติดตัวแต่จำเป็นต้องใช้เงินในระหว่างประกอบกิจกรรมประจำวัน อย่างเช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องฝึกซ้อมกีฬาเพียงลำพังและต้องพึ่งพาตนเอง เช่น นักวิ่งมาราธอนหรือนักไตรกีฬา โดยหากฝังชิปไว้ใต้ผิวหนังแล้ว เพียงแค่แตะมือใกล้เครื่องอ่านแบบไร้สัมผัส (Contactless) ก็จะสามารถชำระเงินได้ทันที


ประโยชน์ของการใช้ชิปฝังใต้ผิวหนังเพื่อการชำระเงินสำหรับภาคการเงิน
 

  • ขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก เทคโนโลยี NFC ในไมโครชิปเป็นระบบเดียวกับการชำระเงินแบบไร้สัมผัสบนสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต ธนาคารและผู้ให้บริการทางการเงินจึงสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากนัก แต่ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงและขยายฐานลูกค้า

  • เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้ช่วยลดขั้นตอนการทำธุรกรรม โดยผู้ฝังชิปไม่ต้องพกบัตรหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม ส่งผลให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน การชำระเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากการสูญหายของบัตรหรือข้อมูลการเงิน

  • เพิ่มความปลอดภัย ชิปฝังร่างกายมีระบบเข้ารหัสข้อมูลที่ยากต่อการปลอมแปลงและไม่สามารถแยกออกจากตัวเจ้าของได้ง่าย จึงช่วยลดการฉ้อโกง (Fraud) และเพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบ

  • ลดต้นทุน สถาบันการเงินสามารถลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและบำรุงรักษาบัตรพลาสติก รวมถึงลดต้นทุนการแทนที่บัตรที่สูญหายหรือเสียหาย จนถึงลดต้นทุนการดำเนินงานจากการลดขั้นตอนการทำธุรกรรม

  • เข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์มากขึ้น เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สถาบันการเงินเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายได้แม่นยำและต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาบริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า และการประเมินความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายที่แม่นยำยิ่งขึ้น

  • ช่วยยืนยันตัวตน ชิปฝังใต้ผิวหนังสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนที่มีความแม่นยำสูง ส่งผลดีต่อกระบวนการ KYC และการป้องกันการฟอกเงิน


ปัจจุบัน มีฟินเทคสัญชาติอังกฤษ-โปแลนด์ ที่ชื่อว่า Walletmor ให้บริการไมโครชิปแบบฝังใต้ผิวหนังเพื่อการชำระเงิน โดยเป็นรายแรกและรายหลักที่เสนอขายไมโครชิปฝังใต้ผิวหนังในเชิงพาณิชย์เพื่อการชำระเงิน โดยหลังจากเปิดให้บริการในปี  2564 (ค.ศ. 2021) บริษัทได้ขายชิปไปแล้วมากกว่า 1,000 ชิ้นทั่วโลกภายในเวลาหนึ่งปี ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป
 

Microchip Implants
 

ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้งานและความท้าทายต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

แม้การฝังชิปใต้ผิวหนังจะช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพของกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างความกังวลและความท้าทายหลายด้าน ทั้งความปลอดภัยของข้อมูล สิทธิส่วนบุคคล ความเสี่ยงต่อสุขภาพ ตลอดจนผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้งาน

 
  • ความเสี่ยงด้านสุขภาพ 

การฝังชิปใต้ผิวหนังมีความเสี่ยงทางการแพทย์หลายประการ ทั้งเสี่ยงติดเชื้อบริเวณที่ฝังชิป หรือชิปอาจเคลื่อนที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง นอกจากนี้  ในระยะยาว ร่างกายอาจถือว่าชิปเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ากับร่างกายไม่ได้  อีกทั้งวัสดุที่ใช้ในการผลิตชิป เช่น แผงวงจร ทองแดง หรือโลหะอื่นๆ อาจเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไปและปล่อยสารที่อาจเป็นอันตรายเข้าสู่ร่างกายได้

  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว 

เมื่อฝังชิป RFID ใต้ผิวหนัง ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญจะถูกเก็บไว้ในร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น อาจถูกโจรกรรมหรือปลอมแปลงข้อมูล (Cloning) ถูกสแกนชิปโดยไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized scanning) และโดนดักจับสัญญาณระหว่างการทำธุรกรรม (Eavesdropping) เป็นต้น ซึ่งนักโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์อาจเล็งเห็นช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องและการเชื่อมต่อของเครือข่าย และพยายามโจรกรรมข้อมูลจากชิปได้เช่นกัน

นอกเหนือจากการโจมตีทางเทคนิคแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางกายภาพ เช่น คนร้ายอาจข่มขู่หรือบังคับให้ผู้ฝังชิปทำธุรกรรมผ่านชิป ซึ่งการพิสูจน์ว่าธุรกรรมนั้นเกิดจากการบังคับหรือความสมัครใจเป็นเรื่องยากและซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ผู้ฝังไมโครชิปเกิดอุบัติเหตุหรือสูญเสียสติสัมปชัญญะ

  • ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล 

เทคโนโลยี RFID มีข้อเสียตรงที่ใครก็สามารถสแกนและอ่านข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของทราบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัว หรืออาจถูกติดตามพฤติกรรมไปจนถึงถูกนำข้อมูลส่วนตัวในทางที่ผิด

ข้อกังวลที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ นายจ้างหรือหน่วยงานภาครัฐอาจบังคับให้ลูกจ้างฝังชิปใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของบุคคล เพราะนายจ้างอาจควบคุมพนักงานได้มากขึ้นจนถึงขั้นที่พนักงานรู้สึกถูกล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว  จึงทำให้อย่างน้อย 13 รัฐในสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายห้ามการบังคับฝังชิปในมนุษย์เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิดังกล่าว23/

 

ความท้าทายต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 
  • การลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanization)

การฝังชิปในร่างกายอาจก่อให้เกิดความรู้สึกว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์ถูกลดทอน เพราะเมื่อร่างกายมนุษย์ถูกมองเป็นเพียง "แพลตฟอร์ม" หรือพื้นที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี มนุษย์อาจถูกจัดหมวดหมู่และได้รับการปฏิบัติเสมือนวัตถุหรือเครื่องจักรมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ ความรู้สึก และจิตวิญญาณ โดยสภาสหภาพแรงงานอังกฤษ (Trades Union Congress) และสหพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (Confederation of British Industry: CBI) ต่างก็แสดงความกังวลต่อประเด็นนี้24/

นอกจากนี้ การฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงในร่างกายยังทำให้เส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรเริ่มเลือนรางไป (Cyborgization) ปรากฏการณ์นี้อาจกระทบต่อความเข้าใจในตัวตนและแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และก่อให้เกิดคำถามในเชิงปรัชญาและจริยธรรมเกี่ยวกับขอบเขตของความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี25/

  • ความเป็นปัจเจกบุคคลและเสรีภาพ (Individual Freedom and Autonomy)

ชิปที่ฝังในร่างกายเพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ฝังชิปเอง เพราะบุคคลหรือองค์กรอื่นๆ ที่มีอำนาจอาจติดตามและควบคุมข้อมูลเหล่านี้ได้ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดสังคมที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด (Surveillance society) และลดทอนเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้  หากสังคมหรือองค์กรต่างๆ ตั้งเงื่อนไขหรือบังคับให้ลูกจ้าง ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ ต้องฝังชิปใต้ผิวหนังเพื่อเข้าถึงบริการ สถานที่ ตลอดจนโอกาสต่างๆ ในชีวิต เช่น โอกาสในการทำงานสำหรับบางองค์กร อาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และลดทอนความเป็นอิสระของบุคคลในสังคมยุคดิจิทัลได้


มุมมองวิจัยกรุงศรี

 

แม้การใช้งานเทคโนโลยีไมโครชิปแบบฝังสามารถเสริมสร้างความสามารถของมนุษย์ในหลากหลายมิติ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและข้อกังวลต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยความเสี่ยงและผลกระทบด้านสุขภาพยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ดังนั้น หากจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ต้องมีความรับผิดชอบที่ชัดเจนและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และในสาขาที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันผู้ฝังชิปถูกทำร้ายโดยผู้ไม่หวังดีที่ต้องการใช้ชิปในการทำธุรกรรมหรือกิจกรรมผิดกฎหมาย ผู้ให้บริการควรต้องมีระบบยืนยันตัวตนเพิ่มเติมในการลดความเสี่ยงด้วย เช่น การใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication) โดยอาจใช้รหัส PIN ร่วมกับชิป RFID รวมถึงระบบระงับการใช้งานชิปในกรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ประเด็นความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยของข้อมูล และการให้ความยินยอม ยังเป็นความท้าทายสำคัญ ที่นอกจากต้องอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ยังต้องมีกรอบกฎหมายและข้อบังคับที่ชัดเจนและรัดกุม ซึ่งในปัจจุบัน แต่ละประเทศมีกรอบกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ทันสมัยแตกต่างกัน จึงก่อให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแล (Regulatory gaps) โดยเฉพาะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา อาจเป็นประเด็นถกเถียงได้ว่าจะต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานเอง ผู้ผลิตเทคโนโลยี หรือแม้แต่บุคคลากรทางการแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ดังนั้น หากในวันหนึ่งข้างหน้าการฝังชิปใต้ผิวหนังได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ควรกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบให้ชัดเจน

สำหรับมุมมองเรื่องเทคโนโลยีการชำระเงิน การฝังชิป RFID ใต้ผิวหนังยังมีข้อจำกัด เนื่องจากผู้บริโภคอาจไม่ยอมรับเทคโนโลยีนี้เท่ากับเทคโนโลยีการชำระเงินด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometric payment) เช่น การสแกนใบหน้าหรือฝ่ามือ ที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือรุกล้ำร่างกาย เพราะอย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องการความสะดวกสบาย แต่ไม่ต้องการแลกกับความเสี่ยงทางร่างกาย โดยเฉพาะในตลาดการชำระเงินที่มีทางเลือกเทคโนโลยีมากมาย

ดังนั้น หากต้องการให้การชำระเงินผ่านชิป RFID แบบฝังได้รับความนิยมทัดเทียบตัวเลือกอื่นๆ ผู้ให้บริการทางการเงินจำเป็นต้องชูจุดเด่นให้ชัดเจน เช่น ผู้รับชำระเงินไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ใหม่ทั้งหมดเมื่อนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากระบบการชำระเงินไร้สัมผัส (contactless payment) ที่ใช้ RFID หรือ NFC ในปัจจุบันสามารถรองรับการชำระเงินผ่านชิปแบบฝังได้  อีกทั้งยังสะดวกในการใช้งานโดยไม่ต้องพกพาอุปกรณ์ภายนอก สามารถเชื่อมต่อกับระบบสุขภาพและข้อมูลส่วนบุคคลได้ และไม่ต้องกังวลเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของผู้ใช้งาน โดยเมื่อเทียบกับการชำระเงินด้วยข้อมูลชีวภาพ เช่น ใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง สวมแว่น มีหนวดเคราเพิ่มขึ้น หรือมีบาดแผล จนอาจทำให้ระบบสแกนไม่สำเร็จ ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้จะช่วยให้ชิป RFID สร้างความแตกต่างและแข่งขันได้ในกลุ่มผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นลำดับต้นๆ

แม้การฝังชิปใต้ผิวหนังมนุษย์จะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามากว่าสองทศวรรษ แต่การนำมาใช้ในชีวิตประจำวันยังคงมีจำกัด โดยเฉพาะในภาคการเงินที่คาดว่าจะไม่ได้รับความนิยมในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากในปัจจุบันมีทางเลือกด้านเทคโนโลยีการชำระเงินที่หลากหลายและมีความสะดวกสบายสูง ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงอาจมองว่าการฝังชิป RFID ใต้ผิวหนังยังไม่คุ้มกับประโยชน์การใช้งาน จึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น

อย่างไรก็ตาม การฝังชิปใต้ผิวหนังมีจุดเด่นและศักยภาพในการช่วยระบุตัวตนที่มีความปลอดภัยและแม่นยำสูง ดังนั้น เทคโนโลยีนี้จึงอาจเหมาะสมกับการใช้งานด้านความมั่นคงและการทหารมากกว่า เช่น ใช้ติดตามตำแหน่งกำลังพล ควบคุมการเข้าถึงพื้นที่จำกัด และจัดเก็บข้อมูลสำคัญที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการกำกับดูแลมากกว่าความสะดวกสบาย อีกทั้งผู้ใช้งานทางการทหารส่วนใหญ่ยอมรับความเสี่ยงทางร่างกายได้มากกว่าผู้บริโภคทั่วไป เราจึงอาจได้เห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในด้านความมั่นคงในอนาคตอันใกล้

 

References

 

ABC News. (n.d.). RFID implant coverage. https://abcnews.go.com/GMA/OnCall/story?id=3536539

Army Sustainment. (2011). How RFID and smartphones will help revolutionize Army sustainment. https://alu.army.mil/alog/2011/novdec11/PDF/How%20RFID%20and%20Smartphones%20Will%20Help%20Revolutionize%20Army%20Sustainment.pdf

BBC News. (2015). Technology and microchip implants. https://www.bbc.com/news/technology-31042477

California Healthline. (n.d.). FDA approves first implantable identification chip for medical use. https://californiahealthline.org/morning-breakout/fda-approves-first-implantable-identification-chip-for-medical-use/

Chron. (2004). Microchip implants bring security to Mexico. https://www.chron.com/business/technology/article/Microchip-implants-bring-security-to-Mexico-1662414.php

DTA. (n.d.). Baja Beach case study. https://dta.today/onewebmedia/Baja%20Beach%20case%20study.pdf

Euro Weekly News. (2025). US, EU, and UK racing to ban mandatory microchip implants. https://euroweeklynews.com/2025/06/03/us-eu-and-uk-racing-to-ban-mandatory-microchip-implants/

Google Patents. (n.d.). US6481140B1 RFID implant patent. https://patents.google.com/patent/US6481140B1/en

InformationWeek. (n.d.). RFID chips implanted in Mexican law enforcement workers. https://www.informationweek.com/it-leadership/rfid-chips-implanted-in-mexican-law-enforcement-workers

Marqeta. (2023). European payments 2030. https://www.marqeta.com/blog/european-payments-2030

New Scientist. (2004). Clubbers choose chip implants to jump queues. https://www.newscientist.com/article/dn5022-clubbers-choose-chip-implants-to-jump-queues/

NPR. (2018). Thousands of Swedes are inserting microchips under their skin. https://www.npr.org/2018/10/22/658808705/thousands-of-swedes-are-inserting-microchips-under-their-skin

PubMed Central. (n.d.). RFID and health. https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC1618368/

Realtrace. (n.d.). Legislation. https://www.realtrace.com/en/legislation/

Springer. (n.d.). Ethical and technical RFID discussion. https://link.springer.com/chapter/10.1007/978-3-642-21535-3_46

Stanford RESNA. (2005). Kevin Warwick’s cyborg experiments. https://resna.stanford.edu/Tidbits/2005/warwick.txt

The Independent. (1998). Professor has world’s first silicon chip implant. https://www.independent.co.uk/news/professor-has-world-s-first-silicon-chip-implant-1174101.html

University of Warwick. (n.d.). Microchipping in business. https://warwick.ac.uk/news/knowledgecentre/business/work/microchipping/

Universidad del Azuay. (n.d.). Ethical issues of human enhancement technologies. https://etica.uazuay.edu.ec/sites/etica.uazuay.edu.ec/files/public/uazuay-etica-ethical-issues-of-human-enhacement-technologies.pdf

VICE. (n.d.). Inside an online community of people with microchip implants. https://www.vice.com/en/article/inside-an-online-community-of-people-with-microchip-implants/

World Economic Forum. (2017). Microchip in your hand: RFID 32M. https://www.weforum.org/stories/2017/08/microchip-in-your-hand-rfid-32m/

WSAVA. (2020). Microchipping: The importance of ISO. https://wsava.org/wp-content/uploads/2020/01/Microchipping-The-Importance-of-ISO.pdf


1/ CRISPR (อ่านว่า “คริสเปอร์”) ย่อมาจาก Clustered Regularly Interspaced Short Palindromic Repeats เป็นเทคโนโลยีตัดต่อพันธุกรรมที่แม่นยำและใช้งานง่าย เทคโนโลยีนี้พัฒนามาจากระบบป้องกันตัวเองของแบคทีเรีย ซึ่งสามารถจำและทำลาย DNA ของไวรัสที่เข้ามารุกรานได้ นักวิทยาศาสตร์นำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขยีนในสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมถึงมนุษย์
2/ NFC เป็นเทคโนโลยีย่อย (subset) ของ RFID ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการสื่อสารระยะใกล้เป็นพิเศษประมาณไม่เกิน 4-10 เซนติเมตร โดย NFC ทำงานในช่วงความถี่สูง (High Frequency: HF) ที่ 13.56 MHz ซึ่งเป็นช่วงความถี่หนึ่งในหลายช่วงที่ RFID สามารถใช้งานได้
3/ https://www.realtrace.com/en/legislation/ 
4/ https://wsava.org/wp-content/uploads/2020/01/Microchipping-The-Importance-of-ISO.pdf 
5/ https://www.independent.co.uk/news/professor-has-world-s-first-silicon-chip-implant-1174101.html 
6/ https://resna.stanford.edu/Tidbits/2005/warwick.txt 
7/ https://californiahealthline.org/morning-breakout/fda-approves-first-implantable-identification-chip-for-medical-use/ 
8/ https://www.newscientist.com/article/dn5022-clubbers-choose-chip-implants-to-jump-queues/ 
9/ https://dta.today/onewebmedia/Baja%20Beach%20case%20study.pdf 
10/ https://en.wikipedia.org/wiki/Body_hacking and https://en.wikipedia.org/wiki/Do-it-yourself_biology
11/ https://www.bbc.com/news/technology-31042477 
12/ https://www.weforum.org/stories/2017/08/microchip-in-your-hand-rfid-32m/ 
13/ https://www.npr.org/2018/10/22/658808705/thousands-of-swedes-are-inserting-microchips-under-their-skin 
14/ https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC1618368/ 
15/ https://abcnews.go.com/GMA/OnCall/story?id=3536539 
16/ https://link.springer.com/chapter/10.1007/978-3-642-21535-3_46 
17/ https://alu.army.mil/alog/2011/novdec11/PDF/How%20RFID%20and%20Smartphones%20Will%20Help%20Revolutionize%20Army%20Sustainment.pdf 
18/ https://patents.google.com/patent/US6481140B1/en 
19/ https://www.chron.com/business/technology/article/Microchip-implants-bring-security-to-Mexico-1662414.php 
20/ https://www.informationweek.com/it-leadership/rfid-chips-implanted-in-mexican-law-enforcement-workers 
21/ https://www.vice.com/en/article/inside-an-online-community-of-people-with-microchip-implants/ 
22/ https://www.marqeta.com/blog/european-payments-2030  
23/ https://euroweeklynews.com/2025/06/03/us-eu-and-uk-racing-to-ban-mandatory-microchip-implants/ 
24/ https://warwick.ac.uk/news/knowledgecentre/business/work/microchipping/ 
25/ https://etica.uazuay.edu.ec/sites/etica.uazuay.edu.ec/files/public/uazuay-etica-ethical-issues-of-human-enhacement-technologies.pdf 
Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา