บทนำ
แม้ว่ามาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญ แต่ผลกระทบยังอยู่ในขอบเขตที่ผู้ประกอบการมีโอกาสปรับตัวเพื่อลดทอนผลได้ เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านขนาดของการผลิต ทำให้ราคาส่งออกโดยเฉลี่ยของไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งหลักอย่างเวียดนามและเอกวาดอร์ ทำให้ไทยยังสามารถแข่งขันด้านราคาได้แม้หลังจากขึ้นภาษีแล้ว นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสขยายช่องทางไปยังตลาดฮาลาลเพื่อทดแทน โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูงและเชื่อมั่นสินค้าไทยในด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานฮาลาล ซึ่งหากรวมกับประเทศมุสลิมบางประเทศในแถบแอฟริกาเหนือ ก็จะมีโอกาสเพิ่มช่องทางขยายตลาดได้กว้างขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานฮาลาล รวมทั้งลงทุนปรับกระบวนการผลิตสู่เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุนและรักษาการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทยเน้นส่งออกโดยสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญ
อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยในปี 2567 การผลิตปลาทูน่ากระป๋องของไทยมีปริมาณ 630,434 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 83.7% ของปริมาณการผลิตปลากระป๋องทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อส่งออกสูงถึง 91.9% ของปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องของไทยทั้งหมด โดยมีมูลค่าส่งออก 2,498 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 88,164 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 65.1% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปทั้งหมดของไทย โดยตลาดส่งออกหลักตามมูลค่าการส่งออกในปี 2567 ได้แก่ สหรัฐฯ (22.3%) ญี่ปุ่น (9.0%) ออสเตรเลีย (7.8%) และ ลิเบีย (6.4%)


เมื่อพิจารณาโครงสร้างในตลาดโลกปี 2567 ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 29.7% ของปริมาณการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องทั้งโลก ตามด้วย เอกวาดอร์ (15.9%) จีน (10.6%) และ ฟิลิปปินส์ (5.7%) ในขณะที่ประเทศผู้นำเข้าหลักของโลกคือ สหรัฐฯ โดยมีสัดส่วน 13.1% ของปริมาณการนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องทั้งหมดของโลก ตามด้วยประเทศในแถบยุโรป อาทิ สเปน (9.9%) อิตาลี (7.4%) สหราชอาณาจักร (5.8%) ฝรั่งเศส ( 5.2%) และ เยอรมนี (4.9%)


หลังขึ้นภาษี ไทยยังพอจะแข่งขันด้านราคาได้โดยควรขยายช่องทางสู่ตลาดฮาลาล
วิจัยกรุงศรีได้ประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทย โดยในกรณีสถานการณ์เลวร้าย อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทยอาจต้องเผชิญกับภาษีที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 36% ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและโอกาสในการปรับตัวของอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทย จะมีดังนี้
1. หลังขึ้นภาษี คาดว่าราคาปลาทูน่ากระป๋องของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะยังอยู่ในระดับที่พอแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลักบางประเทศ โดยเมื่อเทียบราคาส่งออกปลาทูน่ากระป๋องโดยเฉลี่ยของไทย ในปี 2567 อยู่ที่ 4,780 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งต่ำกว่าประเทศคู่แข่งหลักที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างเวียดนาม (สัดส่วน 12.1% ของปริมาณการนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องของสหรัฐฯ) ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5,360 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และเอกวาดอร์ (สัดส่วน 7.7%) ที่ระดับ 6,040 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งหากรวมผลของการขึ้นภาษีแล้ว ราคาปลาทูน่ากระป๋องของไทยจะอยู่ที่ราว 6,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับ 2 ประเทศคู่แข่งหลักนี้ที่ 6,400 และ 6,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ทำให้โอกาสในการแข่งขันของไทยกับคู่แข่งดังกล่าวยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเสียเปรียบประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งลำดับรอง อย่างเม็กซิโก (สัดส่วน 7.2%) และ อินโดนีเซีย (สัดส่วน 4.4%) ซึ่งส่งออกได้ในราคาที่ถูกกว่าไทยโดยอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 4,520 และ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ทำให้โดยภาพรวมแล้ว แม้ไทยได้รับผลกระทบที่ไม่รุนแรงนัก แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดบางส่วน


2. ไทยมีโอกาสขยายช่องทางไปตลาดฮาลาลทดแทนตลาดสหรัฐฯ บางส่วน โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิรัก ตุรเกีย และเลบานอน นอกจากนี้ยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศในภูมิภาคนั้นที่ไม่ได้เป็นมุสลิมอย่างอิสราเอลอีกด้วย ซึ่งอัตราการเติบโตของปริมาณส่งออกปลาทูน่ากระป๋องจากไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางโดยรวมเฉลี่ยสูงถึง 6.2% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2562-2567 เนื่องจากผู้บริโภคชาวมุสลิมเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์อาหารจากไทยที่มีความปลอดภัยในกระบวนการผลิตตามมาตรฐานฮาลาล สะท้อนตัวอย่างจากการที่คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (CICOT) ได้รับการรับรองจากหน่วยงานในซาอุดีอาระเบีย (Saudi Food and Drugs Authority) ในปี 2566 และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Emirates International Accreditation Centre) ในปี 2563 ซึ่งหากรวมกับประเทศมุสลิมในแถบแอฟริกาเหนือ โดยเฉพาะลิเบีย อียิปต์ และโซมาเลีย ซึ่งมีประชากรมุสลิมสัดส่วนกว่า 90% ก็จะมีโอกาสเพิ่มช่องทางขยายตลาดได้กว้างขึ้น โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ปริมาณส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของไทยไปยังประเทศในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกามีสัดส่วนรวมกัน37.0% เพิ่มขึ้นจาก 34.3% ในปี 2563 สวนทางกับสัดส่วนที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ ที่ลดลงจาก 24.7% ในปี 2563 เหลือ 22.3% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้

แนวทางปรับตัวสำคัญ: ขยายตลาดใหม่และเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า
วิจัยกรุงศรีคาดว่า แม้มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋อง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญของไทย แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ผู้ประกอบการมีโอกาสปรับตัวเพื่อลดทอนผลกระทบได้ โดยมีแนวทางที่สำคัญ ดังนี
-
ขยายตลาดใหม่ เนื่องจากไทยยังมีโอกาสรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเลี่ยงความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต โดยหันไปเน้นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยอมรับมาตรฐานด้านคุณภาพของสินค้าไทย โดยเฉพาะตลาดฮาลาลซึ่งยังมีกำลังซื้อสูง
-
เร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า โดยเน้นกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของกระบวนการผลิต พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศนำเข้า อาทิ การศึกษากฏเกณฑ์มาตรฐานการผลิตของอาหารฮาลาลอย่างเข้มงวด รวมถึงปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกระแสความยั่งยืน (ESG) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ส่งออกเป็นที่ยอมรับของทุกตลาด ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สามารถเข้าถึงตลาดระดับราคาที่สูงขึ้น (Premium pricing)
-
ลงทุนปรับกระบวนการผลิต โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่อัตโนมัติ แทนการผลิตแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานแบบเข้มข้น (Labor-intensive) ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระต้นทุนค่าแรงจำนวนมาก ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระด้านภาษีที่สูงขึ้นอีกเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ดังนั้น การปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่นอกจากช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยควบคุมมาตรฐานด้านคุณภาพของการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเอื้อต่อการเติบโตที่ยั่งยืนได้ในอนาคต