Executive Summary
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปี 2568-2570 มีแนวโน้มจะเติบโตในอัตราไม่สูงนัก เฉลี่ย 2.0-2.5% ต่อปี โดยจะขยายตัวเพียง 1.0-2.0% ในปี 2568 จากปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ก่อนจะเริ่มทยอยฟื้นตัวเป็น 2.0-2.5% ในปี 2569 และ 3.0-3.5% ในปี 2570 โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญยังมาจากโครงการก่อสร้างภาครัฐที่คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 3.0-3.5% ต่อปี โดยเฉพาะจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนโดยรวมจะยังคงหดตัวในปี 2568 ก่อนจะเริ่มทรงตัวในปี 2569 และทยอยฟื้นตัวโดยขยายตัวในอัตราต่ำในปี 2570 แม้จะได้แรงหนุนจากการขยายโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ยุทธศาสตร์ แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ภายใต้นโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ยังเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีผลให้การลงทุนพัฒนาบางโครงการใหม่ๆ ในภาคเอกชนชะลอออกไป
มุมมองวิจัยกรุงศรี
ในปี 2568-2570 รายได้ของกลุ่มผู้รับเหมาที่เน้นโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ แต่จะเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่รายได้ของกลุ่มที่เน้นโครงการภาคเอกชนมีแนวโน้มทรงตัวโดยทยอยฟื้นตัวในอัตราต่ำ
-
ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายใหญ่ คาดว่ารายได้ยังมีแนวโน้มขยายตัวตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามแผนของภาครัฐ โดยเฉพาะปี 2569-2570 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการประมูลรับงานและมีศักยภาพในการบริหารงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐ อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ (Megaprojects) ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนโครงการลงทุนก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย กลุ่มอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ ที่ยังหนุนให้ปริมาณงานที่รอดำเนินการ (Backlog) มีโอกาสเพิ่มขึ้น แม้จะมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เหนี่ยวรั้งการลงทุนภาคเอกชนให้เติบโตได้ในอัตราไม่สูงนัก
-
ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs) รายได้มีแนวโน้มทรงตัวหรือเติบโตได้เพียงเล็กน้อย โดยผู้รับเหมาขนาดกลางยังมีโอกาสรับงานเหมาช่วงจากรายใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะยังเหนี่ยวรั้งผลประกอบการมาจากต้นทุนดำเนินงานและการขาดแคลนแรงงาน ที่อาจส่งผลให้ผู้รับเหมา SMEs บางราย ยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
ข้อมูลพื้นฐาน
ในช่วงปี 2558-2567 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) (ภาพที่ 1) ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างในประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะผู้ว่าจ้าง ได้แก่ งานภาครัฐและเอกชน โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการลงทุนก่อสร้างอยู่ที่ 59:41 ในปี 2567 (ภาพที่ 2) ทั้งนี้ ผลจากวิกฤต COVID-19 โดยเฉพาะในช่วงปี 2563-2564 มีส่วนทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมเติบโตในอัตราชะลอลงตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่ลดลงเทียบกับปี 2562 ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวได้ (ตารางที่ 1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาครัฐยังต้องมีการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แม้มีหลายโครงการยังล่าช้ากว่าแผนงาน จากปัญหาขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
-
งานก่อสร้างภาครัฐ: ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วน 81% ของมูลค่าก่อสร้างภาครัฐทั้งหมดในปี 2567 ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐ (17%) และที่พักของข้าราชการ (2%) ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มักได้เปรียบในการรับงานภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากมีทั้งประสบการณ์ ความชำนาญเฉพาะด้าน ศักยภาพทางการเงิน และการพัฒนาเทคโนโลยีในงานก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้รับเหมา SMEs มีโอกาสรับงานภาครัฐในลักษณะของผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractors)
-
งานก่อสร้างภาคเอกชน: ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลค่าก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด ที่เหลือเป็นงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารพาณิชยกรรม เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ทิศทางงานก่อสร้างภาคเอกชนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในการลงทุน เสถียรภาพการเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ
ที่ผ่านมา ผู้รับเหมาของไทยได้ขยายฐานลูกค้าโดยออกไปรับงานต่างประเทศ (ส่วนมากเป็นผู้รับเหมารายใหญ่) โดยเน้นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังคงอยู่ในช่วงของการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โครงข่ายถนน รถไฟ โรงไฟฟ้า รวมถึงงานก่อสร้าง ซ่อมแซม/ตกแต่ง อาคารและที่อยู่อาศัย ตลอดจนนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อรองรับนโยบายสนับสนุนการลงทุน

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในไทยและที่ยังดำเนินการอยู่ มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.17 แสนราย (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2567) ผู้ประกอบการรายใหญ่มีจำนวนเพียง 727 ราย หรือสัดส่วนเพียง 0.6% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม รายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่มีสัดส่วน 49% ของผู้ประกอบการทั้งหมด โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดิเวลอปเมนต์ บมจ.ช.การช่าง และ บมจ. ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (สเตคอน กรุ๊ป) มีส่วนแบ่งรายได้รวมกัน 56% ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ภาพที่ 3, ข้อมูลปี 2567) และ 18.6% ของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีผลในการกำหนดทิศทางภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วยปัจจัยทั้งด้านตลาดและต้นทุน
1) ด้านตลาด: หมายถึงโอกาสการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการซึ่งผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แผนและความก้าวหน้าของการลงทุนในโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงกฎระเบียบการลงทุนของแต่ละประเทศที่อาจเอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ
2) ด้านต้นทุน: หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงาน โดยปัจจุบันธุรกิจก่อสร้างไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งทักษะที่ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าค่าจ้าง ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ โดยโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วย 1) ค่าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ เหล็ก คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45-50% ของต้นทุนรวม (ขึ้นกับประเภทงานก่อสร้าง) 2) ค่าจ้างแรงงานและผู้รับเหมาช่วง 30% 3) เครื่องจักรและอุปกรณ์ 10% และ 4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 10-15%1/ (ภาพที่ 4)
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ปี 2567 มูลค่าการลงทุนภาคก่อสร้างโดยรวมเพิ่มขึ้น 2.2% คิดเป็นมูลค่า 1,407.5 พันล้านบาท (เทียบปี 2566 ที่ขยายตัวเพียง 0.6% คิดเป็นมูลค่า 1,376.6 พันล้านบาท) (ภาพที่ 5) ปัจจัยหนุนมาจากทั้งมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐที่ขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากหดตัวในช่วงครึ่งปีแรกจากความล่าช้าของกระบวนการด้านงบประมาณ ขณะที่ภาคเอกชนหดตัวตามภาวะซบเซาของการก่อสร้างในหมวดที่อยู่อาศัย สำหรับช่วงครึ่งแรกปี 2568 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมยังขยายตัวดีที่อัตรา 12.3% YoY แรงหนุนจากงานก่อสร้างภาครัฐ โดยเฉพาะงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ขณะที่ภาคเอกชนยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
งานก่อสร้างภาคเอกชน
-
ปี 2567 มีมูลค่า 579.0 พันล้านบาท ลดลง -1.7% (ภาพที่ 7) จากการหดตัวของโครงการก่อสร้างหมวดที่อยู่อาศัย ขณะที่งานก่อสร้างอาคารพาณิชย์และโรงงานยังขยายตัวได้
-
งานก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย มูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 288.8 พันล้านบาท หดตัว -5.8% (เทียบกับปี 2566 ขยายตัว 3.1%) สอดคล้องกับจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศในปี 2567 ที่ลดลง -6.8% โดยจำนวนที่จดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4 จังหวัดหลักภูมิภาค (เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และนครราชสีมา) หดตัว -4.2% (ภาพที่ 8) เนื่องจาก 1) กำลังซื้อผู้บริโภคโดยรวมยัง ซบเซา ภายใต้แรงกดดันของค่าครองชีพและระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง 2) สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น และ 3) การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อบางโครงการโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs)
-
งานก่อสร้างโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย อาทิ โครงการก่อสร้างหมวดอาคารเพื่อการพาณิชย์ (ศูนย์การค้า อาคารพาณิชย์) การก่อสร้างในหมวดการบริการและขนส่ง และการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 290.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% แรงหนุนการเติบโตส่วนใหญ่มาจากขยายตัวของการลงทุนก่อสร้างหมวดอาคารเพื่อการพาณิชย์ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ โรงงานและอาคารสำนักงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับการลงทุนที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวโดยมีนโยบายจากภาครัฐที่เร่งสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
-
ครึ่งแรกปี 2568 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างอยู่ที่ 282.3 พันล้านบาท ลดลง -2.5% YoY (ภาพที่ 7) ตามการปรับตัวลดลงของการก่อสร้างหมวดที่อยู่อาศัย ส่วนงานก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เริ่มส่งสัญญาณหดตัวเล็กน้อย
-
งานก่อสร้างหมวดที่อยู่อาศัยยังคงซบเซาต่อเนื่อง มูลค่าการลงทุนก่อสร้างลดลง -4.7% YoY สอดคล้องกับจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศที่หดตัว -15.6% YoY โดยพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึง 4 จังหวัดหลักภูมิภาค หดตัว -26.2% YoY (ภาพที่ 8)
-
งานก่อสร้างโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวม 66.2 พันล้านบาท ลดลง -0.1% YoY ยกเว้นการก่อสร้างโรงงานที่ยังเติบโตดี พิจารณาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรก 2568 รวมเป็นมูลค่า 8.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 102.2% YoY โดยเฉพาะภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ที่ตั้งโครงการ EEC) เพิ่มขึ้นถึง 299.1% YoY
แนวโน้มอุตสาหกรรม
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในช่วงปี 2568-2570 มีแนวโน้มจะเติบโตในอัตราไม่สูงนัก ตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.0-2.5% ต่อปี (ภาพที่ 11) โดยจะขยายตัวได้เพียง 1.0-2.0% ในปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ภาวะการลงทุนก่อสร้างจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเหนี่ยวรั้งการเติบโตทั้งด้านสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มทยอยฟื้นตัวเป็น 2.0-2.5% ในปี 2569 และ 3.0-3.5% ในปี 2570 โดยแรงขับเคลื่อนหลักของการฟื้นตัวยังคงมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ได้แก่ โครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ EEC และโครงการขยายเส้นทางการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะทางรางและถนน ขณะที่การลงทุนโครงการก่อสร้างภาคเอกชนโดยรวมจะยังมีแนวโน้มทรงตัวหรือฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ทั้งในส่วนที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมอย่างนิคมอุตสาหกรรมและคลังสินค้าจะยังมีทิศทางขยายตัวได้ตามแนวโน้มการลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ยุทธศาสตร์ โดยการฟื้นตัวของการลงทุนก่อสร้างส่วนใหญ่น่าจะยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยว จังหวัดใหญ่ของภูมิภาค พื้นที่เครือข่ายการคมนาคมขนส่ง และพื้นที่เป้าหมายของการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ EEC ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในเขตเมืองรองอาจยังต้องรอโอกาสในการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงกับศูนย์กลางในภูมิภาค
-
มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ในช่วงปี 2568-2570 คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.0-3.5% ต่อปี โดยจะยังขยายตัวเพียง 2.0-2.5% ในปี 2568 ก่อนจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นเป็น 3.0-3.5% และ 3.5-4.0% ในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการลงทุนก่อสร้างงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะคืบหน้ามากขึ้นภายใต้งบประมาณปี 2569 โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอนุมัติวงเงินงบประมาณจัดสรรให้กับกระทรวงคมนาคมรวม 185.3 พันล้านบาท ในเดือนสิงหาคม 2568 (ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ, 13 ส.ค. 68) ครอบคลุมทั้งโครงการต่อเนื่องด้านการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเส้นทางใหม่ ทางหลวงชนบท มอเตอร์เวย์ และการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ทั้งนี้เพื่อให้โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จทันตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2570 ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งประกอบด้วยโครงการลงทุนทั้งหมด 77 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 337.8 พันล้านบาท
-
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 คาดว่าโครงการลงทุนก่อสร้างรอบใหม่ตามแผนประกอบด้วยหลายโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงศรีราชา-ระยอง หลังจากช่วงที่ผ่านมา โครงการเกี่ยวเนื่องกับ EEC ส่วนใหญ่ยังล่าช้ากว่าแผน
-
โครงการสำคัญในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนก่อสร้างเพื่อสนับสนุนศักยภาพด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยที่จะพัฒนาเชื่อมโยงการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการรถไฟทางคู่ (ระยะที่ 1 และ 2) รถไฟความเร็วสูง โครงข่ายทางหลวงแผ่นดินทั่วประเทศ และโครงการพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมขนส่ง เป็นต้น โดยปี 2568 มีโครงการอยู่ในแผนดำเนินการก่อสร้างด้านการคมนาคมจำนวน 223 โครงการ ประกอบด้วยโครงการใหม่จำนวน 116 โครงการ และโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ 107 โครงการ และปี 2569 มีโครงการใหม่ที่อยู่ในแผนการลงทุนจำนวน 64 โครงการ (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 9 ม.ค. 68) นอกจากนี้ยังมีโครงการภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 157 พันล้านบาท ที่ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านจัดการน้ำและคมนาคม จำนวน 34 โครงการ วงเงิน 85.0 พันล้านบาท ซึ่งโครงการก่อสร้างฯ ดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 และ 24 กรกฎาคม 2568 จากจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วทั้งหมด 482 โครงการ วงเงินรวม 133.5 พันล้านบาท (ภาพที่ 12)
- ราคาวัสดุก่อสร้างในประเทศโดยรวมในปี 2568-2570 มีแนวโน้มขยับขึ้นเล็กน้อย (ภาพที่ 15) โดยมีปัจจัยหนุนจากอุปสงค์ในภาคก่อสร้างที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว การลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ตามแผนของภาครัฐ และการลงทุนในภาคเอกชนที่มีทิศทางกระเตื้องขึ้นตามนโยบายสนับสนุนการลงทุน หนุนให้การใช้วัสดุก่อสร้างประเภทงานโครงสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์และเหล็กก่อสร้าง มีทิศทางเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปในประเทศยังมีทิศทางปรับลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากอุปทานเหล็กนำเข้าจากจีนอาจทะลักเข้ามาจำนวนมาก ผลจากการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐฯ (ภายใต้มาตรา 232) กับประเทศส่วนใหญ่2/ รวมทั้งจีน ทำให้จีนต้องหาตลาดทดแทนในการระบายเหล็ก และอาเซียนเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายสำคัญ

-
โอกาสของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLM ซึ่งศักยภาพในการลงทุนส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ ที่มีความพร้อมด้านเงินทุน ด้านเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้างขั้นสูง และสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business connection) กับนักลงทุนท้องถิ่นที่เอื้อต่อการขยายช่องทางการลงทุน อย่างไรก็ตาม การรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านยังมีปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ ได้แก่ 1) ด้านกฎระเบียบในการว่าจ้างที่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนเงื่อนไขสัญญารับเหมาที่อาจไม่แน่นอน 2) ความไม่มั่นคงด้านเสถียรภาพทางการเมืองในบางประเทศ 3) การแข่งขันกับผู้รับเหมาต่างชาติรายอื่นๆ รวมถึงผู้รับเหมาในประเทศผู้ว่าจ้าง ซึ่งแนวทางในการลดความเสี่ยงข้างต้น ผู้รับเหมาไทยควรหาพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานรับเหมาก่อสร้างในประเทศผู้ว่าจ้าง อาทิ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์/ผู้รับเหมาท้องถิ่น รวมถึงบริษัทจัดหาแรงงานท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการรับงานได้ต่อเนื่อง
-
ปัจจัยจำกัดการเติบโตทางธุรกิจ ได้แก่
-
ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจฉุดให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานบางโครงการของภาครัฐประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องของการดำเนินงาน โดยเฉพาะจากกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
-
ภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของธุรกิจนี้ที่ต้องแย่งแรงงานจากภาคการผลิตและบริการอื่น (ทั้งแรงงานที่มีทักษะและแรงงานต่างด้าว) โดยเฉพาะกรณีข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา ที่ซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนแรงงานให้รุนแรงขึ้น เนื่องจากแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในภาคก่อสร้าง อาจมีผลให้บางโครงการล่าช้า ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้รับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก
-
การเข้ามาแย่งตลาดรับเหมาก่อสร้างของผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จากจีนที่เข้ามาร่วมรับงานก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยร่วมทุน (Joint Venture) กับผู้รับเหมาก่อสร้างไทย เช่น รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง (ที่มา: สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย, มี.ค. 68) รวมถึงโครงการขนาดกลางและเล็กที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างจีนซึ่งเข้ามาลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ทำให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างไทยได้รับผลกระทบในการแข่งขันกับผู้ประกอบการจีนหลายด้าน ทั้งด้านราคา ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเพิ่มแรงกดดันทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเหตุอาคารก่อสร้างถล่มในช่วงแผ่นดินไหวเมื่อปลายมีนาคม 2568 อาจส่งผลให้โครงการก่อสร้างบางโครงการของภาครัฐประสบความล่าช้า เนื่องจากต้องทบทวนระบบการตรวจสอบสัญญารวมไปจนถึงสรรหาผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหม่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเอื้อให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างสัญชาติไทยรายใหญ่มีโอกาสรับงานและมีงานสะสมในมือ (Backlog) ได้มากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่มักเสียเปรียบผู้รับเหมาสัญชาติจีนด้านราคาในการประมูลรับงานโดยเฉพาะจากโครงการภาครัฐ
-
ต้นทุนดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้มงวดด้านกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการที่ทยอยออกมาบังคับใช้หลังเหตุแผ่นดินไหว จะกระตุ้นให้ผู้รับเหมาก่อสร้างต้องให้ความสำคัญกับความรอบคอบและความเข้มงวดด้านมาตรฐานระบบความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ การแก้กฎกระทรวงเกี่ยวกับประเด็นแบลคลิสต์ การปรับและลดเกรด รวมถึงการถอนทะเบียนผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประมาทเลินเล่อจนทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต (ที่มา: มติ ครม. เมื่อ 8 เม.ย. 68, ฐานเศรษฐกิจ 8 เม.ย. 68)
- สต็อกที่อยู่อาศัยยังทรงตัวในระดับสูง (ภาพที่ 16) จากอุปทานใหม่ที่ยังเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงอ่อนแอภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะจากผลกระทบของนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่กดดันภาคอุตสาหกรรมส่งออก ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงกดดันกำลังซื้อในระดับภูมิภาค ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆ ของภาคเอกชนยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
-
เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นทั้งโอกาสและปัจจัยท้าทายทางธุรกิจ การก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรืออาคารสีเขียว (Green Building)3/ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกระแส ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainability) โดยปัจจัยขับเคลื่อนที่หนุนโอกาสในการขยายตัวของการก่อสร้างสีเขียว อาทิ การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐบาลและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ส่งเสริมการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยต้นทุนต่ำลง โดย Coherent Market Insight คาดว่ามูลค่าตลาดการก่อสร้างสีเขียวของโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 780.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2575 จาก 375.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 11.0% ต่อปี แม้ว่าในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจะยังเผชิญปัจจัยท้าทายด้านการขับเคลื่อนให้ภาคธุรกิจยอมรับในการตัดสินใจลงทุนเพื่อพัฒนาอาคารสีเขียวตามทิศทางโลกสมัยใหม่ (ภาพที่ 17)
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการปรับกระบวนการก่อสร้างสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ก่อนผู้รับเหมากลุ่ม SMEs เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานก่อสร้าง อาทิ โดรนในการก่อสร้าง, 3D Printing Construction และ Building Information Modeling (BIM) (ตารางที่ 2) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ราคาเฉลี่ยจะสูงกว่าวัสดุทั่วไปประมาณ 10-20%, ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์, พฤศจิกายน 2565) การปฏิบัติตามกฎหมาย/ระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด4/ นอกจากจะเป็นไปตามข้อบังคับของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างเติบโตได้อย่างยั่งยืน
1/ ค่าเฉลี่ยจากการคำนวณโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่
2/ กรณีเหล็กและอลูมิเนียม สหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีจาก 25% เป็น 50% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ มีเพียงบางประเทศที่มีข้อยกเว้นหรือถูกเก็บในอัตราพิเศษตามข้อตกลงทางการค้าที่เจรจากันไว้ เช่น สหราชอาณาจักร ที่ยังถูกเก็บภาษีเหล็กที่อัตรา 25% เป็นต้น (ที่มา: BBC, 17 ก.ย. 68)
3/ อาคารสีเขียว (Green building) คือ อาคารที่สร้างขึ้นโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดวัฏจักรชีวิต (life cycle) ของตัวอาคาร (www.greennetworkthailand.com)
4/ อาทิ ข้อกำหนด-อาคารเขียว (LEED, WELL)