คาถาเอสเอ็มอีลุยตลาดนอก “รู้เขารู้เรา”

คาถาเอสเอ็มอีลุยตลาดนอก “รู้เขารู้เรา”

By Krungsri GURU SME

การทำธุรกิจทุกวันนี้จะคิดเฉพาะค้าขายในประเทศไม่ได้แล้ว เพราะโลกแคบเข้าไปทุกที ที่สำคัญการขายสินค้าไปยังต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หรือรายเล็กก็สามารถโกอินเตอร์ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าตั้งเป้าหมายไว้หรือยัง และได้เดินตามแผนนั้นหรือไม่อย่างไร ซึ่งในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปลายปีนี้ยิ่งทำให้การทำธุรกิจในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศอาเซียนด้วยกันสะดวกยิ่งขึ้น รวมไปถึงในกลุ่มประเทศ ASEAN+3 และ ASEAN+6 ด้วย

ที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในฐานะหน่วยงานกลางในการดูแลผู้ประกอบการ SME ของประเทศระบุว่า ปัจจุบัน SME ไทยยังมีการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศน้อย ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและขั้นตอนการลงทุนในต่างประเทศ หรือไม่มีสิทธิประโยชน์จูงใจที่ดีพอ
เอสเอ็มอีจำนวนไม่น้อยคิดว่าการไปทำธุรกิจในต่างแดนนั้นต้องมีทุนก้อนโต ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เป็นปัจจัยหลักอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย ที่สำคัญ คือ ต้อง “รู้เขารู้เรา” โดยตัวผู้ประกอบการต้องทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ทุกสภาวะทั้งในประเทศและในระดับสากล
ดังที่คุณบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล แนะนำหลักในการทำธุรกิจให้แข็งแรง โดยยึดหลัก 3 ที บวก 1 คือ
Target = มีเป้าหมาย
Timing = มีจังหวะเวลาที่ดี
Tracking = ต้องมีการติดตามงานต่อเนื่อง และ
Teamwork = มีทีมงานที่ดี
ทว่าก่อนจะไป “รู้เขา” เอสเอ็มอีต้อง “รู้เรา” ก่อน นั่นคือ ต้องรู้ว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นมีจุดดีจุดด้อยอย่างไร ถ้าจะไปค้าขายกับประเทศใดๆ ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนว่าที่นั่นมีสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกับเราหรือไม่ และมีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ยังมีช่องว่างทางการตลาดที่จะเข้าไปตรงไหนบ้าง ผู้คนมีรสนิยมเช่นไร มีกำลังการจับจ่ายใช้สอยมากน้อยแค่ไหน คู่แข่งในท้องตลาดเป็นใคร ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วถือเป็นความโชคดีของคนไทยเพราะในละแวกประเทศเพื่อนบ้านหรือทั่วโลกก็ตาม โดยภาพรวมแล้วต่างยอมรับว่าสินค้าไทยมีมาตรฐาน
การทำตลาดจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก อีกทั้งผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านต่างดูทีวีไทยและนิยมสินค้าเมดอินไทยแลนด์ จึงค่อนข้างจะคุ้นชินกับสินค้าไทยอยู่แล้ว
อย่างที่เกริ่นไปแต่แรก เงินทุนไม่ใช่ปัจจัยหลักอย่างเดียว เพราะเอสเอ็มอีหลายรายแม้ไม่ได้มีเงินหลักหลายล้านอยู่ในกระเป๋า แต่ก็สามารถไปเปิดธุรกิจในประเทศเมียนมาร์ ลาว กัมพูชาหรือเวียดนามได้ เพราะจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่ดี ซึ่งผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศเหล่านี้ต่างต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ มีความแปลกใหม่และเป็นที่ต้องการของตลาด
วิธีการทำธุรกิจโดยร่วมทุนกับนักธุรกิจในประเทศเหล่านั้น เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เอสเอ็มอีพัฒนาธุรกิจไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกันในการหาพาร์ทเนอร์นั้นจะต้องพิจารณาให้ดีและรอบคอบ ไม่เช่นนั้นเงินลงทุนจะสูญ โดยต้องศึกษาตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศเหล่านั้นด้วย
อย่างแบรนด์ขายขนมปัง “ปังจ้ะจ๋า” ซึ่งมีร้านอยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาก็ใช้วิธีร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นที่นั่น พร้อมกับมีการปรับปรุงไส้ขนมปังให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความชื่นชอบของผู้คน
นอกจากนี้หากปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังไม่ได้คิดถึงขั้นการไปร่วมทุนหรือไปเปิดกิจการในต่างประเทศก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำธุรกิจกับประเทศต่างๆ ได้ เพราะทุกวันนี้สามารถค้าขายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งถ้าไม่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเว็บต่างๆ ในระดับสากล โดยเว็บเหล่านี้เองก็เปิดกว้างที่จะนำสินค้าของผู้ประกอบการไทยไปโปรโมทขายในหน้าเว็บ อย่างเช่น เว็บไซต์ของอาลีบาบา หรือเว็บไซต์ของไทยเองก็มีหลายเว็บที่ค้าขายในระบบออนไลน์ ซึ่งการค้าขายออนไลน์ถือเป็นการเช็คกระแสความต้องการของลูกค้าได้อย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันผู้คนในทุกประเทศก็นิยมการค้าขายออนไลน์ในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกแนวหนึ่งที่จะโกอินเตอร์ คือ การเข้าร่วมแสดงสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐของไทยหลายแห่งก็มีโครงการชวนผู้ประกอบการไปออกบูธอยู่เป็นประจำ โดยอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายบ้างในบางโปรแกรม แต่จะทำให้ได้รู้ว่าสินค้าหรือบริการของเราเป็นที่สนใจของผู้คนในประเทศนั้นๆ หรือไม่อย่างไร
คำแนะนำง่ายๆ สำหรับเอสเอ็มอีที่จะไปค้าขายในต่างแดน คือ หลักๆ “รู้เขารู้เรา” ซึ่งการจะรู้เขาได้อย่างละเอียดนั้น นอกจากจะค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้วควรปรึกษาหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ดังกล่าวโดยตรง อย่างเช่น กระทรวงพาณิชย์ สสว. รวมทั้งธนาคารต่างๆ สถานทูตไทยประจำประเทศนั้นๆ และหากมีโอกาสควรหาทางพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจในต่างแดน
ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่เอสเอ็มอีไทยจะบุกตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จและอยู่ได้อย่างยั่งยืน ย่อมจะต้องมีองค์ประกอบ 3 ตัวหลักที่ศาสตราภิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ระบุไว้ว่า ต้องมี 3 อย่าง คือ IT, Innovation และเรื่องของ Research นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในเรื่องเงินและทักษะที่มีกันอยู่แล้ว
ถึงตอนนี้คงเห็นชัดแล้วว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะไปค้าขายในต่างแดนไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
ขอเพียงวางเป้าหมายและเดินหน้าไปตามนั้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง
หนทางสู่ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา