เข้าสู่เดือนแห่งความรักปีนี้ หลายคนคงมีแพลนอยากพาคนรักไปสวีท เที่ยวพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม หรือวางแผนเซอร์ไพรส์ขอแฟนแต่งงาน หาสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้ง แต่อาจจะยังไม่มีจุดหมายว่าจะไปไหนดี เราได้คัด 6
เมืองโรแมนติกจากทั่วโลกมาให้แล้ว รับรองว่าฟินจนประทับใจไม่รู้ลืม ต้องรีบเซฟเก็บไว้เลยครับ
1. เมืองกอตอร์ ประเทศมอนเตเนโกร
หนึ่งในประเทศที่มีบรรยากาศสุดโรแมนติกและถือเป็นสมบัติลับของทวีปยุโรปก็คือประเทศมอนเตเนโกร ตั้งอยู่ทางยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ไฮไลท์อยู่ที่ เมืองกอตอร์ (Kotor) เมืองชายฝั่งทะเลที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวมากที่สุดของประเทศ ชนะเลิศด้วยทำเลที่ตั้ง ล้อมรอบไปด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สามารถมองเห็นแม่น้ำรอบตัวเมืองเลย
สถานที่สุดโรแมนติก
เมือง Kotor เต็มไปด้วยสถานที่น่าเช็คอินให้เก็บภาพและดื่มด่ำความประทับใจเอาไว้ เนื่องจากเป็นเมืองที่ถูกล้อมรอบด้วยชายฝั่งทะเล จึงต้องสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบมาตั้งแต่สมัยโบราณ แนะนำให้ไปชมความสวยงามที่กำแพงเมือง เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นภูเขาอยู่ด้านหลังเมือง เรียงรายกันเป็นขั้นบันไดสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปได้ บริเวณตรงกลางภูเขายังมีโบสถ์ตั้งตระหง่านให้เข้าไปชมวิวทั่วเมือง Kotor รับรองว่าได้รูปถ่ายสวย ๆ แน่นอน ส่วนในตัวเมืองต้องไม่พลาดแวะที่ย่าน Trg.Sv Tripuna พื้นที่จตุรัสกว้างซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์โรมันคาทอลิก (Cathedral of Saint Tryphon) ถัดมาไม่ไกลกันนักยังเป็นที่ตั้งของหอนาฬิกา (The Arms Square) ให้เดินเที่ยวชมอีกด้วย
2. เมืองเซียนา ประเทศอิตาลี
อิตาลีเป็นประเทศยอดนิยมที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยชื่อเสียงของศิลปะ แฟชั่น และอาหารที่เลิศรส สำหรับเมืองที่เราอยากแนะนำให้ไปเที่ยวก็คือเมือง Siena ตั้งอยู่ในแคว้น Tuscany เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมอันทรงค่าในยุคกลาง ลักษณะภูมิประเทศของเมืองตั้งอยู่บนภูเขา บรรยากาศชวนให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยาย
สถานที่สุดโรแมนติก
ถ้าอยากเติมความหวานให้คู่ของคุณมากขึ้น ลองมาเดินเที่ยวเล่นที่จัตุรัสกัมโป (Piazza del Campo) พื้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองเซียนา เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่ง สิ่งที่สะดุดตาทุกคนก็หนีไม่พ้นสถาปัตยกรรมยุคกลางที่ได้รับการยอมรับว่าสวยสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรปเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน ก็สวยทุกซอกทุกมุม พื้นที่จตุรัสแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอระฆังมานเจีย (Torre del Mangia) หอระฆังโบราณ เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงสุดในเมือง แล้วยังมีมหาวิหารเซียนา (Duomo di Siena) สถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาด โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแนวกอธิคและเรอเนซองส์ ด้านหน้าของมหาวิหารประดับด้วยรูปแกะสลักหิน ด้านข้างเป็นหินอ่อนสีขาวและสีเขียวสลับเขียวดำ บริเวณรอบๆ ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารหลายแห่งที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวได้ลิ้มรสชาติอาหารอิตาลีแบบดั้งเดิม รับรองว่าต้องหลงเสน่ห์เมืองนี้แน่นอน
3. เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี
ตุรกีเป็นประเทศที่คนไทยไปเที่ยวได้นานสูงสุด 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า ถ้าใครมีแพลนไปเที่ยวช่วงนี้ก็จะตรงกับ
ฤดูหนาวพอดี (เดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม) หากพูดถึงตุรกี หลายคนก็จะนึกถึงภาพบอลลูนสีสันสวยงามลอยอยู่บนท้องฟ้า ที่อยู่ในเมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟ พื้นที่ของเมืองจึงเต็มไปด้วยหินรูปกระโจมรูปร่างต่าง ๆ
สถานที่สุดโรแมนติก
มาเที่ยวเมืองบอลลูนทั้งที ถ้าไม่ได้นั่งชมวิวบอลลูนก็เหมือนมาไม่ถึง สำหรับจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 เลย คือระเบียงโรงแรม Sultan Cave Suites ช่วงเวลาชมบอลลูนที่ขึ้นจะตรงกับเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดีเลยครับ แต่จะให้ดูเฉย ๆ ก็คงฟินไม่สุด แนะนำให้นั่งบนบอลลูนให้เห็นวิวทั้งเมือง ขณะที่นั่งอยู่บนบอลลูนที่กำลังลอยกลางอากาศ มองลงไปจะเห็นความสวยงามของเมืองคัปปาโดเกีย ที่เต็มไปด้วยหินรูปทรงแปลกตาและภูเขานับพันลูก นี่มันดินแดนในเทพนิยายชัด ๆ ความสวยงามที่ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง สำหรับค่าใช้จ่ายการขึ้นบอลลูนอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 7,000 บาทต่อคน นั่งได้นาน 60 – 90 นาที ถ้าไปเป็นคู่ก็เลือกแพ็คเกจส่วนตัว นั่งกับคู่ของเราเท่านั้น โรแมนติกขนาดนี้ต้องชวนคนรักไปให้ได้นะครับ
4. เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
ฮอกไกโดเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น ยิ่งเข้าสู่ฤดูหนาวทีไรก็จะกลายเป็นเมืองยอดฮิตสำหรับคนที่หลงใหลอากาศหนาว การได้อยู่ท่ามกลางดินแดนหิมะที่ปกคลุมพื้นที่จนขาวโพลนเหมือนปุยนุ่น ทำให้ได้บรรยากาศที่โรแมนติกสุด ๆ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย และยังเหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬาฤดูหนาวอย่างสกีและสโนว์บอร์ดอีกด้วย
สถานที่สุดโรแมนติก
ถ้าหากใครที่มีโอกาสเดินทางไปฮอกไกโด สถานที่โรแมนติกที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ลานสกีคิโรโระ (Kiroro Ski Resort) ส่วนไฮไลท์เด็ดสุดที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์บนดินเลยก็คือ การนั่งกระเช้ากอนโดล่าขึ้นสู่ยอดเขาอาซาริ ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,180 เมตร เพื่อไปลั่นระฆังแห่งรัก (Love Bell) บนลานสกีคิโรโระ ตามความเชื่อที่ว่า ระฆังแห่งนี้รอความรักจากทุกคนเสมอ ถ้าได้ลั่นระฆังรักและขอพรที่นี่แล้วความรักจะสมหวังและหวานชื่นตลอดไป สำหรับคู่รักคนไทยบางส่วนก็มาที่นี่เพื่อตามรอยตัวละครเด่นชัยและนุ้ยจากภาพยนตร์เรื่อง “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว” นอกจากลั่นระฆังแล้วยังจะได้ชมวิวบนยอดเขาอาซาริ ปั้นตุ๊กตาหิมะ และเล่นสกี โรแมนติกขนาดนี้คู่รักของคุณต้องประทับใจไม่รู้ลืม
5. อุโมงค์แห่งความรัก ประเทศยูเครน
ถ้าปารีสมีหอไอเฟล อินเดียมีทัชมาฮาล ที่ยูเครนก็มีอุโมงค์แห่งความรัก แม้ว่ายูเครนจะไม่ใช่ประเทศยอดนิยมที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทยสักเท่าไหร่ อาจเพราะต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ช่วงฤดูหนาวอากาศก็หนาวจัดมาก และยังต้องขอวีซ่าของยูเครนโดยเฉพาะ แต่ถ้าได้ลองมาเยือนสักครั้งแล้วคุณอาจจะหลงรักในมนต์เสน่ห์ธรรมชาติ ความลึกลับน่าค้นหาของศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศนี้ และยังมีสถานที่สุดโรแมนติกที่สวยไม่แพ้ยุโรปตะวันตกเลย ที่สำคัญยูเครนยังเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพถูก ราคาสินค้าใกล้เคียงกับไทยอีกด้วยครับ
สถานที่สุดโรแมนติก
สถานที่สุดโรแมนติกที่ขึ้นชื่อของยูเครนต้องยกให้ อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel of Love) เป็นอุโมงค์รถไฟที่มีต้นไม้สีเขียวขจีปกคลุมทั่วทั้ง 2 ฝั่งอย่างลงตัว บรรยากาศราวกับอยู่ในเทพนิยายยังไงยังงั้นเลยครับ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองเคลเว่น (Klevan) จังหวัดริฟเน (Rivne region) เป็นที่นิยมของคู่รักที่ต้องมาเยือน เพื่อเดินลอดอุโมงค์และขอพรความรักให้สมหวัง หรือจะมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก็เหมาะสุด ๆ เส้นทางรถไฟในอุโมงค์นี้มีระยะทางแค่ 3 กิโลเมตร ใช้สำหรับรถไฟส่วนบุคคลทำให้มีรถไฟไม่กี่ขบวนที่ผ่าน แต่ละปีจึงมีนักเที่ยวจำนวนมากที่แวะเวียนมาท่องเที่ยว ถึงแม้จะตั้งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ก็ตาม คู่รักที่ชอบถ่ายภาพไม่ควรพลาดวิวที่นี่เชียวครับ
6. เกาะมอริเชียส
เมื่อพูดถึงเกาะมอริเชียส (Mauritius) บางคนอาจจะยังไม่คุ้นหู มอริเชียสมีชื่ออย่างทางการแบบเต็มคือสาธารณรัฐมอริเชียส ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นเกาะแสนโรแมนติกที่มีคู่รักเดินทางมาฮันนีมูนมากมาย เพราะห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามอย่างต้นไม้เขียวชอุ่ม ต้นปาล์ม และมีแนวหินปะการังที่สวยงาม แล้วยังเป็นประเทศที่คนไทยไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอีกด้วย
สถานที่สุดโรแมนติก
สถานที่ที่พลาดไม่ได้เลย คือ เนินทรายเจ็ดสี (Seven Coloured Earth) ในเมือง Chamarel ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เกิดจากหินภูเขาไฟเย็นตัวลงในอุณหภูมิแตกต่างกัน ผสมกับแร่ธาตุต่าง ๆ จนเกิดเป็นเนินทรายแยกเฉดสี โดย 7 สีที่ว่า มีสีแดง น้ำตาล ม่วงอ่อน ม่วงเข้ม เขียว น้ำเงิน และเหลือง ยิ่งเวลาที่กระทบกับแสงแดด มองแล้วสวยงามระยิบระยับ จนต้องไปเห็นด้วยตาให้ได้เลยครับ อีกหนึ่งจุดที่สวยงามอยู่ที่น้ำตกซามาเรล (Chamarel Falls) น้ำตกที่จัดว่าสวยที่สุดของเกาะมอริเชียส มีความสูงกว่า 100 เมตร อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแมกไม้ที่สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถยืนชมวิวที่บริเวณด้านบน ส่วนบริเวณแอ่งน้ำตื้นที่อยู่ด้านล่างของน้ำตกเปิดให้นักท่องเที่ยวว่ายน้ำเล่นได้ด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ อ่านจบแล้วมีสถานที่เที่ยวในใจกันหรือยัง 6 เมืองนี้ เราเลือกเฟ้นมาแล้วว่าเป็นที่สุดจริง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ ความสวยงามทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ กิจกรรมแสนสนุกและโรแมนติกของคู่รัก การได้ใช้เวลาท่องเที่ยวร่วมกัน ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักให้หวานชื่น เอาล่ะ…ได้เวลากางปฏิทินวางแผนเที่ยวทริปหน้ากันแล้ว!