7 โรคยอดฮิต มนุษย์เงินเดือนต้องระวัง!

7 โรคยอดฮิต มนุษย์เงินเดือนต้องระวัง!

By Krungsri Plearn Plearn

หนุ่ม-สาวเต็มไปด้วยความฝันที่จะก่อร่างสร้างตัว เต็มที่กับการทำงาน เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็น ของใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือแม้แต่บ้านและรถ จนบางคนถึงกับทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มเติมมากขึ้น จนติดเป็นนิสัย แต่ทราบหรือไม่ การที่คุณทำงานหนักหรือเครียดเกินไปจะทำให้คุณมีภัยเงียบที่ร้ายกาจตามมาโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งภัยเงียบเหล่านั้นก็คือ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นั่นเอง แต่สำหรับโรคยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนอย่างเรานั้นจะมีโรคอะไรบ้าง มาดูกันเลย

1. โรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำต้องระวังโรคนี้เป็นอย่างมาก เพราะการที่เราต้องใช้ข้อมือในท่าทางเดิมเป็นประจำ และมีการใช้งานข้อมือหนัก ๆ อย่างเช่น เวลาพิมพ์คีย์บอร์ด หรือใช้เมาส์โดยเสียดสีกับโต๊ะตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในการเกิดโรคนี้ก็คือการใช้คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์แบบผิดท่าทางทำให้เกิดการกดทับ จนมีอาการชา เหน็บหรือปวดแสบปวดร้อน ตั้งแต่บริเวณนิ้วมือ ฝ่ามือและอาจจะลามไปถึงหัวไหล่ได้

ซึ่งถ้าหากอาการเหล่านี้ยังไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาได้ด้วยการประคบร้อนหรือกดนวดบริเวณผังผืดที่กดทับเส้นประสาท และลองยืดเส้นยืดสาย นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เม้าส์และคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ให้ถูกท่า แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงจะต้องพบแพทย์เพื่อให้ดูแล ซึ่งการรักษาก็จะมีตั้งแต่การใช้ยาต้านอักเสบ ไปจนถึงการผ่าตัด

2. โรคสมาธิสั้นจากการทำงาน

โรคนี้ถือว่าเป็นอีกโรคที่ใกล้ตัวไม่ว่าใครก็สามารถที่จะเป็นโรคนี้ได้ ด้วยสาเหตุที่ว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่บีบคั้นและวุ่นวายตลอดเวลา แถมยังต้องรับผิดชอบและทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าหากเรายังไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบนี้ หรือยังต้องทำงานวนลูปแบบนี้ไปเรื่อย จะทำให้เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรนาน ๆ ได้ และกลายเป็นคนความอดทนต่ำ อีกทั้งยังทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลงไปอีกด้วย

วิธีการป้องกันไม่ให้เรากลายเป็นคนสมาธิสั้นจากการทำงานได้นั้นก็คือ การพักผ่อน และบริหารเวลาให้เหมาะสม นอกจากนี้ควรลองหันมาคุยกับเพื่อนร่วมงานบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ขณะทำงาน แต่ถ้าหากมีอาการหนักจนไม่สามารถโฟกัสงานใดงานหนึ่งได้เลย ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรักษาอย่างจริงจัง

3. โรคตาพร่ามัว ตาแห้ง

ในปัจจุบันแทบจะไม่มีอาชีพไหน ที่ต้องทำงานโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ยิ่งสำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนแล้วคงจะเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการจ้องจอคอมพิวเตอร์ แถมบางคนยังต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน จนทำให้กล้ามเนื้อตาล้า และมีอาการตาแห้ง ปวดตา ตาพร่าเบลอ และยิ่งถ้าหากคุณทำงานอยู่ในห้องแอร์ที่มีสภาพอากาศแห้งด้วยแล้ว จะต้องระวังเรื่องตาแห้งไว้เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเกิดการอักเสบจะทำให้เป็นต้อลมได้

ด้วยเหตุว่าคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคุณไปแล้ว ฉะนั้นวิธีป้องกันโรคตาพร่ามัว ตาแห้งได้ดีที่สุด คือการหมั่นพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง ออกไปรีแลกซ์หรือมองสีเขียว ๆ ก็ช่วยได้เหมือนกัน

4. โรคอ้วน

โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการทานเยอะ ๆ อย่างเดียว เพราะเฮอร์บาไลฟ์ เผยผลสำรวจใหม่เกี่ยวกับ “โภชนาการในที่ทำงาน” ว่ามนุษย์เงินเดือนนั้นเสี่ยงเป็นโรคอ้วน เพราะมีไลฟ์สไตล์แบบนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย และยิ่งไปกว่านั้นบางคนนั่งทำงานอยู่กับที่นาน ๆ ก็มักจะง่วงหรือหิวจนต้องหาขนมจุกจิกมารับประทานเล่น แถมยังไม่ได้ออกกำลังกาย จึงทำให้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคอ้วนได้ และนอกจากนี้ความเครียดก็สามารถทำให้ความอ้วนถามหาได้เช่นกัน เพราะสมองของเราจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้เซลส์ไขมันในช่องท้อง ให้เก็บสะสมได้มากยิ่งขึ้น และอย่างที่เราทราบกันว่าถ้าหากเราเป็นโรคอ้วนนั้น จะเป็นบันไดขั้นต้นนำไปสู่สารพัดโรคอีกมากมาย เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ไขมันอุดตัน เป็นต้น

เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่กำลังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี โดยการขยับร่างเคลื่อนไหวร่างกาย ลุกออกจากที่นั่งทำงานทุก 1-2 ชั่วโมง เช่น เดินไปเข้าห้องน้ำ ไปคอฟฟี่เบรก เป็นต้น และพยายามงดทานจุบทานจิบระหว่างวัน รับประทานอาหารมื้อหลักแทน ถ้ารู้สึกหิวระหว่างวันควรเลือกเป็นทานผลไม้ หรือโยเกิร์ตแทนก็ได้

5. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ขอเสียงคนที่ต้องนั่งประชุมนาน ๆ หรือช่วงที่ไอเดียกำลังมาแบบพุ่งกระฉุดจนไม่กล้าลุกออกไปห้องน้ำหน่อยครับ! แต่ขอบอกเลยว่าพฤติกรรมแบบนี้ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำแบบอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นต้นเหตุทำให้คุณเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และสำหรับใครที่บอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลยเราก็แก้ด้วยวิธีการดื่มน้ำให้น้อยลงแทน จะได้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ แต่หารู้ไม่ว่าการดื่มน้ำน้อยก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้เช่นกัน เพราะเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายเรา ไม่ได้ถูกขับออกมาแถมยังเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนในร่างกายของเราอีกด้วย จนทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้ สำหรับอาการของโรคนี้เบื้องต้นเลย ก็คือปวดแสบบริเวณท้องน้อยเวลาปัสสาวะ รู้สึกปัสสาวะไม่สุด และปวดปัสสาวะบ่อย ๆ

ถ้าใครไม่อยากเป็นโรคนี้ต้องไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ หรือบ่อย ๆ หรือดื่มน้ำน้อยเกินไปนะครับ โดยคุณควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร

6. ออฟฟิศซินโดรม

โรคนี้เกิดจากหลายสาเหตุมาก เช่น การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำ ๆ ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการทำงานไม่เหมาะสม จนทำให้คุณเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง รวมไปถึงอาการชาที่บริเวณแขนหรือมือ จากการที่เส้นประสาทส่วนปลายถูกกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ

ดังนั้นคุณควรป้องกันไม่ให้เกิดออฟฟิศซินโดรมได้ด้วยวิธีการออกกำลังกายด้วยท่าที่เหมาะสม เช่น คนที่ปวดไหล่เป็นประจำ ลองทำท่าบริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ โดยการยกไหล่ขึ้นไปจนสุด แล้วเกร็งค้างไว้ นับ 1-10 จากนั้นกดไหล่ลงไปให้สุด แล้วเกร็งค้างไว้ นับ 1-10 หรือแม้แต่ยืดเหยียดหรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุก ๆ 1 ชั่วโมง

7. โรคซึมเศร้า

หนึ่งในโรคที่เรามักจะพบได้มากขึ้นในสภาวะสังคมเมืองในปัจจุบัน โดยโรคนี้จะส่งผลกับสภาพจิตใจมากกว่าระบบร่างกายของเราโดยตรง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เริ่มมาจากสภาพความเครียด ความกดดัน และความสัมพันธ์ทางด้านสังคมภายในองค์กรที่อาจจะสร้างแรงตึงเครียดขึ้นกับเพื่อนร่วมงาน คนอื่น ๆ จนสะสมมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นภาวะซึมเศร้าในที่สุด ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อให้อาการดีขึ้นและหายในที่สุด รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และให้ความร่วมมือกับนักจิตบำบัดในการรักษา และนอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถรับมือได้ด้วยตนเองโดยไม่ตั้งเป้าหมายการทำงานที่ยากเกินไป วางแผนสิ่งที่ต้องทำให้เป็นระเบียบในแต่ละวันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ เขียนบันทึกระบายความรู้สึกออกมาบ้าง ออกกำลังกายผ่อนคลายความเครียดซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราก้าวผ่านโรคนี้ไปได้นั่นเอง

การทำงานหนักก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่เราทำงานหนักเกินไปจนสุขภาพร่างกายแย่ก็จะส่งผลกระทบกับตัวเราได้ในหลาย ๆ ด้าน แทนที่เราจะนำเงินที่หามาได้ไปใช้จ่ายอย่างมีความสุข อาจจะต้องมาใช้จ่ายในเรื่องค่ายา ค่ารักษาพยาบาลแทนได้ เพราะฉะนั้นสำหรับมนุษย์เงินเดือนคนไหนที่ทำงานหนักมากไป ก็อย่าลืมหาเวลาผ่อนคลายไปพักผ่อน ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา