การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

By จูนจูน พัชชา เฮงษฎีกุล
การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

จูนรีวิวฝึกบันทึกรายวันตลอด 1 เดือน
ก่อนหน้านี้จูนมีโอกาสได้ทำพอดแคสต์ตอนหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่องการจดบันทึกประจำวัน ซึ่งครั้งแรกที่ตัวเองได้ยินก็จะย้อนไปนึกถึงการบันทึกไดอารี่สมัยเด็ก ๆ และคิดว่าเราโตขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องมีไดอารี่ก็ได้มั้ง และก็แอบคิดว่าคงจะโดนสามีแซวถ้าเราบันทึกชีวิตตัวเองก่อนนอนทุกคืน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหลายบทความ หลายผลการศึกษา ที่ออกมาระบุถึงประโยชน์ของการจดบันทึกประจำวัน แม้กระทั่ง Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ที่ออกมาเสนอการจดบันทึกประจำวันให้เป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิบัติ เพื่อการรักษาสุขภาพจิตที่ดีในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
ยิ่งเห็นเทรนด์ของ Daily Journaling บ่อยขึ้น เมื่อเดือนที่แล้วจูนจึงตัดสินใจลองเขียนบันทึกประจำวันดู โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ครบ 1 เดือนเต็ม ไม่ขาดสักวัน ในบทความนี้จูนเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์หลังการบันทึกครบเดือน และเชิญชวนทุกคนมาลองชาเลนจ์ตัวเองด้วยการจดบันทึกประจำวันกันค่ะ!

HOW TO START?

เริ่มด้วยการเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจดบันทึก เราสามารถเลือกได้ทั้งการจดบันทึกลงในสมุด หรือจะใช้แอปพลิเคชันในมือถือก็มีตัวเลือกเยอะเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นคนไม่พกของเยอะ และกลัวจะลืมพกสมุดไปทุกที่ เลยตัดสินใจทำรีเซิร์ชหาแอปพลิเคชันสำหรับการจดบันทึกประจำวันที่เวิร์คที่สุด โดยจูนแนะนำฟรีแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Day One ซึ่งหน้าตาใช้ง่าย และสามารถใส่ข้อความ หรือภาพประกอบด้วยก็ได้ แถมใครที่เพิ่งเริ่ม และอาจจะลืมจดบันทึก ในแอปพลิเคชันก็สามารถตั้งเวลาเตือนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเหมาะกับคนขี้ลืมแบบจูนมาก ๆ
การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

Week 1

พอตัดสินใจจดบันทึกวันแรก ก็มาพร้อมความเคอะเขินในการเขียน ไม่รู้จะเขียนอะไร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครมาอ่านนอกจากตัวเราเอง จูนใช้วิธีบันทึกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนนั้น เพื่อให้อย่างน้อยย้อนกลับมาอ่าน จะได้จำได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไร และเรารู้สึกอย่างไรกับมัน อีกความท้าทายคือภายในอาทิตย์แรก ก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไว้อยู่แล้วคือลืมเข้ามาบันทึกบ้าง ทำให้ต้องย้อนกลับมาบันทึกในเช้าวันถัดไป และต้องฉายฟิล์มความทรงจำตัวเองของเมื่อวานใหม่ เพื่อที่จะได้บันทึกเรื่องราวให้ถูก ซึ่งเอาจริง ๆ ก็แอบได้ฝึกความจำตัวเองเหมือนกัน และด้วยความไม่ชินกับกิจกรรมใหม่นี้ ก็ทำให้บางวันสามารถบันทึกได้ยาวเหยียด และละเอียดมาก แต่บางวันก็เขียนแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง

Week 2

หลังจากเริ่มฝึกการบันทึกมาได้ 1 อาทิตย์ ก็อันล็อคสกิลใหม่คือการจับใจเหตุการณ์ประจำวัน จูนสังเกตเห็นว่าแม้ในแต่ละวันเราจะมีกิจกรรมหลายอย่าง แต่สุดท้ายแล้วจะมีไม่กี่เหตุการณ์ที่ทำงานกับจิตใจเรา และเราเลือกที่จะอยากหยิบมันมาบันทึกเอาไว้ในพื้นที่ส่วนตัว ทำให้ความยาวของการบันทึกในแต่ละวันสั้นลง และตรงประเด็นมากขึ้น แม้ว่ามันจะดูเป็นเพียงทักษะการบันทึกและจับใจความ แต่ประโยชน์ที่แฝงไปมากกว่านั้นคือการตัดเรื่องราวที่ไม่จำเป็นในชีวิตของเราออกจากสมอง เคลียร์ขยะความคิดที่ไม่จำเป็น และเลือกที่จะเก็บแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อใจเราเท่านั้น
การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

Week 3

การทำกิจกรรมใหม่ที่ไม่เคยทำ แต่ได้ทำซ้ำ ๆ ในเวลาเดิมทุกวัน เหมือนได้กลับมาสร้างวินัยให้ตัวเองเหมือนกัน หลังจากเข้าอาทิตย์ที่ 3 ก็เริ่มตกตะกอนได้ว่า เรามีกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง และเราสามารถทำมันได้ติดต่อกันได้จริง ๆ (ก่อนหน้านี้คิดว่า 4-5 วัน ตัวเองก็คงเผลอล้มเลิกแล้ว) ยิ่งสำหรับจูนที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศที่มีเวลาเข้าออกแน่นอน หรือมีแผนการทำงานเหมือนกันทุกวัน
  • การเพิ่มกิจกรรมแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนได้จัดระเบียบชีวิตใหม่ และแอบรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้นด้วย

Week 4

เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะจดบันทึกทุกวันให้ได้ครบเดือน มาถึงสัปดาห์สุดท้ายก็รู้สึกว่าคงทำต่อไปอีกได้ไม่ยากอะไร แต่นอกจากความทักษะการจับใจความ การจัดระเบียบสมอง และการจัดระเบียบชีวิตที่รู้สึกได้ ประโยชน์อื่น ๆ ที่เขาว่ากันตามบทความ ก็ยังไม่ได้รู้สึกชัดมากนักเท่าไร อาทิตย์นี้เลยตัดสินใจลองจับธีมหลักใหม่ในการบันทึกดูหลังไปนั่งหาไอเดียจากเว็บไซต์ต่าง ๆ และตัดสินใจว่านอกจากจะบันทึกเหตุการณ์ และอารมณ์ประจำวันแล้ว หลังจากนี้จะลองเพิ่มคำถามที่ให้ตัวเองตอบในแต่ละวันดูว่า “what you are grateful for today” แล้วจะลองวัดผลในระยะยาวอีกที

สรุป

สรุปแล้วการบันทึกประจำวันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด...ถ้าผ่านสัปดาห์แรกไปได้ และประโยชน์ที่ได้ชัดเจนมาก ๆ คือ
  • จัดระเบียบสมองก่อนจบวันได้ดีมาก
  • ได้ฝึกความจำนิดหน่อย
  • เป็นจุดเริ่มต้นการสร้างวินัยให้ตัวเองที่ง่าย เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำแต่ละวันได้ไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน
  • ฝึกให้ตัวเองเห็นเรื่องดี ๆ ในแต่ละวัน
นอกจากนี้ในบทความ Keeping A Daily Journal Could Change Your Life. โดย Benjamin Hardy ยังระบุประโยชน์อื่น ๆ อีกเยอะมากมายของการบันทึกประจำวัน (Daily Journal) เช่น
  • เพิ่มทักษะการจดจ่อเอาใจใส่
  • ได้ฝึกปลดปล่อยความรู้สึก และความคิดที่สื่อสารออกมาผ่านการพูดไม่ได้
  • แยกตัวออกจากอดีตและปล่อยวางได้มากขึ้น
  • ฝึกความรู้สึกขอบคุณกับเรื่องดี ๆ รอบตัว
  • เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
การจดบันทึกปรับแพลนอนาคต The Power of Daily Journaling

TIPS!

ถ้าให้แนะนำจากตัวแทนคนที่เพิ่งเริ่มบันทึกประจำวันเหมือนกัน ลองเริ่มเขียนจากแค่วันละประโยคเดียวก็ได้ หรือลองหาธีมที่เหมาะกับความสนใจตัวเองเพื่อให้ได้ไอเดียในการบันทึก เช่น บันทึกลิสต์สิ่งที่ตัวเองอยากทำในแต่ละวันตั้งแต่เช้า, บันทึกความรู้สึกหลังออกกำลังกาย, บันทึกความฝัน, หรือแม้กระทั่งบันทึกเกี่ยวกับอาหารที่กินในแต่ละวันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ยากเลย ทำซ้ำ ๆ สัก 2-4 อาทิตย์ แล้วลองกลับมาสังเกตตัวเองดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางใจอย่างไรรึเปล่า
สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากเริ่ม Daily Journaling ตั้งแต่ตอนนี้ จะบันทึกเกี่ยวกับบทความสร้างแรงบันดาลนี้ไปด้วยก็ได้นะ! :-D
ขอบคุณข้อมูลจาก: -
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา