ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ต่างจาก การออมเงิน อย่างไร?
เพื่อคุ้มครองคุณและครอบครัว
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ต่างจาก การออมเงิน อย่างไร?

icon-access-time Posted On 12 ตุลาคม 2561
by Krungsri The COACH
เชื่อว่าทุกคนคงถูกปลูกฝังมาตั้งเเต่เด็กเกี่ยวกับการออมเงิน ซึ่งปัจจุบันการออมเงินมีการปรับเปลี่ยนรูปเเบบเเละมีให้เลือกหลายประเภททั้งออมในเงินฝากธนาคาร ออมในหุ้นหรือลงทุนในกองทุนรวม RMF/SSF ซึ่งคุณจะออมเงินประเภทใดขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณรับได้ ซึ่งการออมเงินในเงินฝากธนาคารเป็นอีกการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย เงินต้นไม่หาย ทำให้มีการสร้างสิทธิประโยชน์จากการเงินออมมากขึ้น รวมถึงการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เช่นกัน ที่นอกจากคุณจะได้มีเงินออมเเล้วยังได้ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีก
 

การออมเงินในเงินฝากธนาคาร (ออมเงิน)


การออมเงินในเงินฝากธนาคาร คือการนำเงินที่ถูกหักลบจากรายได้เเละรายจ่ายเรียบร้อย ไปฝากธนาคารเมื่อเงินสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ คุณจะได้เงินเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ย ตามอัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่คุณไปฝาก โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากอยู่ประมาณ 0.3 ต่อปี เช่น คุณออมเงินโดยการฝากธนาคารเดือนละ 1,000 บาท เมื่อครบ 12 เดือนหรือ 1 ปี เงินฝากทั้งหมดของคุณคือ 12,000 บาท เมื่อนำมาบวกกับดอกเบี้ย 0.3% ของเงินต้นต่อปี คือ 36 บาท เท่ากับว่าคุณมีเงินฝากทั้งสิ้น 12,036 บาท ถึงเเม้เงินที่เพิ่มขึ้นมาจะน้อยเเต่เงินที่คุณไปฝากหรือเรียกว่าเงินต้นยังอยู่ครบ เนื่องจากความเสี่ยงน้อย ผลตอบเเทนที่ได้รับก็น้อยตามไปด้วย
 

ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์


ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์คล้ายกับการออมเงิน ต่างตรงที่จะได้รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นมา ข้อดีคือคุณจะได้เก็บเงินจริงๆ เพราะไม่สามารถถอนออกก่อนวาระที่คุณได้ทำสัญญาไว้ เช่น คุณทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 10 ปี ภายใน 10 ปีนี้คุณไม่สามารถถอนเงินได้เลย แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก่อนครบกำหนดสัญญา คุณจะได้มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ซึ่งอาจจะไม่เท่ากับเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่คุณเคยจ่ายมาทั้งหมด ซึ่งประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มีทั้งระยะสั้น 10-15 ปี หรือระยะยาว 16-20 ปี ซึ่งเงินที่คุณออมทุกเดือนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับประกันชีวิตที่คุณได้เลือกทำ
 

ความเเตกต่างระหว่างการออมเงินเเละประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์


สังเกตได้ว่าทั้งการออมเงินเเละประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มีความคล้ายคลึงกันมาก อาจเกิดข้อสงสัยว่า เเล้วทั้งสองประเภทเเตกต่างกันอย่างไร เราจึงเเยกความเเตกต่างของการออมเงินเเละประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ให้คุณได้เห็นภาพชัดขึ้น

1. ผลตอบเเทนและสภาพคล่อง
ทั้งการออมเงินเเละประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ได้ผลตอบเเทนระหว่างทางเหมือนกัน โดยเงินฝากธนาคารจะเรียกว่าเงินจากอัตราดอกเบี้ยแต่ผลตอบแทนจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เรียกว่า เงินจ่ายคืนตามกรมธรรม์ ซึ่งประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้มากกว่า หรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับแบบประกันที่ลูกค้าเลือก ทั้งนี้หากเปรียบเทียบเรื่องสภาพคล่อง ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์อาจมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าการออมเงินในธนาคารเพราะไม่สามารถถอนได้จนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาประกันชีวิต ดังนั้น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายเพื่อออมทั้งเงินเเละทำประกันชีวิตไปพร้อมๆ กัน

2. ระยะเวลาฝาก
เมื่อคุณออมเงินกับธนาคารคุณจะฝากนานเเค่ไหนก็ได้เพราะดอกเบี้ยต่อปียังคงเท่าเดิม เเต่ต้องมีวินัยมากเพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินมีโอกาสที่คุณจะถอนเงินก่อนเเผนที่ตั้งไว้ ทำให้ไม่มีเงินเก็บเป็นก้อนจริงๆ ในขณะที่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีเป้าหมายชัดเจนว่าคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันทุกเดือนหรือทุกปีขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตามเวลาที่กำหนดไว้ ไม่สามารถถอนก่อนกำหนดได้

3. ภาษี
เงินที่ได้จากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์คุณจะไม่เสียภาษีใดๆ นั่นหมายถึงคุณจะได้รับเงินเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดตามสัญญาประกันชีวิต เเต่ถ้าคุณฝากเงินกับธนาคารคุณจะต้องเสียภาษีอีก 15% นั่นหมายถึงเงินที่คุณจะได้รับกลับมาจะถูกหักออกไปอีก ถ้าคุณจะออมเงินที่ธนาคารจึงควรเป็นระยะยาวมากกว่าถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป

4. ลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีอายุกรมธรรม์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ (สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท) เเต่เงินออมฝากธนาคารปกติไม่สามารถลดหย่อนได้

5. ความคุ้มครองชีวิต
ความคุ้มครองชีวิตขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการออมเงินของคุณ ได้รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมการออมเงินไปในตัว ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่าการออมเงินในธนาคารซึ่งไม่สามารถคุ้มครองชีวิตคุณได้ สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
  1. เป้าหมายทางการเงิน
    สิ่งเเรกสำหรับการวางเเผนการเงินทุกประเภท คือการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่เเน่นอน เพราะวินัยในการออมเงินสำคัญมาก ถ้าคุณหลุดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เเผนทางการเงินของคุณพังลงได้ โดยเป้าหมายของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์คือ การออมเงินในรูปแบบของความคุ้มครอง ช่วยให้คุณอุ่นใจในอนาคตว่ามีเงินเเละมีความคุ้มครองชีวิตคุณอยู่
  2. กำลังในการจ่ายเบี้ยประกัน
    ระยะเวลาในการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะส่งผลต่อเบี้ยประกัน เช่น ถ้าเป้าหมายในอีก 5 ปีของคุณคือทำธุรกิจ คุณก็ควรทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 5 ปี ทางบริษัทประกันก็จะคำนวณค่าเบี้ยประกันรายเดือนหรือรายปีตามเงื่อนไขของแบบประกันชีวิตที่คุณต้องจ่าย เเต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือเกษียณอยากทำประกันเงินออมระยะยาวค่าเบี้ยประกันคุณจะเป็นอีกเเบบซึ่งมากน้อยเพียงใดคุณต้องดูกำลังที่คุณไหว ว่าในช่วง 5 ปีหรือ 10 ปี ข้างหน้าคุณอยากมีเงินเท่าไร
  3. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน
    บริษัทประกันเเต่ละที่จะมีสิทธิประโยชน์ต่างกัน เเละความมั่นคงก็ต่างกันด้วย คุณจึงควรเลือกบริษัทประกันที่มั่นคงทั้งทางการเงิน ภาพลักษณ์ ประวัติ เพราะถ้าบริษัทประกันไม่มั่นคงมีโอกาสที่ยุติลงก่อนวาระที่คุณจะได้เงินประกันกลับมา

เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจความเเตกต่างระหว่างการออมเงินเเละประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มากขึ้นส่วนรายละเอียดปลีกย่อยขึ้นอยู่กับธนาคารเเละบริษัทประกันทั้งหลายยื่นข้อเสนอให้คุณ ซึ่งธนาคารกรุงศรีอยุธยาเองก็มีสิทธิประโยชน์มากมายเกี่ยวกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เพื่อให้คุณออมง่ายๆ ได้ตรงเป้า และให้การออมเงินของคุณมีเเต่ได้ เพื่อให้เเผนการเงินของคุณมีความมั่นคงเเละผลตอบเเทนสูงขึ้น
 
ออมง่ายๆได้ตรงเป้า
บทความโดย
ปริตา ธิติปรีชาพล
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา