เคยรู้สึกว่าโลกธุรกิจหมุนเร็วจนตามแทบไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่อง "ความยั่งยืน" ที่หลายคนอาจจะงงว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับธุรกิจเล็กๆ อย่างเราด้วย” วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้กันแบบสนุกๆ เข้าใจง่าย พร้อมไอเดียไปปรับใช้กับธุรกิจผ่านแนวทางการสร้างแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจหรือ “Transition Plan”
ลองนึกภาพนะครับ ธุรกิจของเราก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นมากับมือ เมื่อก่อนเราสนใจแค่บ้านเราแข็งแรง สวยงามน่าอยู่หรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้รอบๆ บ้านเรา ทั้งลูกค้า ชุมชน สังคมโลก หรือแม้แต่สภาพอากาศก็เริ่มมีผลกับบ้านเรามากขึ้น เริ่มสนใจว่าบ้านเราใส่ใจสิ่งแวดล้อมไหม ดูแลคนในบ้านเราและเพื่อนบ้านรอบ ๆ บ้านเราดีหรือเปล่า ที่สำคัญคือ เรามีการจัดการในบ้านโปร่งใสเป็นธรรมหรือไม่
ซึ่งบ้านก็เหมือนกับธุรกิจของเรา ที่มีปัจจัยมาบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น กฎระเบียบใหม่ๆ อย่างภาษีคาร์บอน หรือ CBAM ของยุโรป, ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจนส่งผลต่อการดำเนินงานต่าง ๆ ของธุรกิจ, ความเปลี่ยนแปลงของสังคมและผู้บริโภคที่ให้ความสนใจต่อธุรกิจ และความคาดหวังของนักลงทุนและสถาบันการเงินที่ให้ความสำคัญกับประเด็น ESG มากขึ้น
Transition Plan ก็เปรียบเสมือนแผนที่และเข็มทิศที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราสามารถรับมือกับผลกระทบเหล่านี้ และมุ่งหน้าไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่การทำ CSR แบบเดิมระยะสั้น แต่ต้องเป็นการดำเนินงานเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในระยะยาว
การทำ Transition Plan สิ่งสำคัญคือการแยกแยะและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นต่างๆ ซึ่งเราแบ่งกิจกรรมหรือสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ประเด็น Force: เป็นปัจจัยภายนอกที่ “บีบบังคับ” ให้ธุรกิจต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนใหญ่มักจะมาในรูปของกฎหมาย, ข้อบังคับภาครัฐ หรือข้อกำหนดที่เข้มงวดจากลูกค้ารายใหญ่ หรือ ตลาดหลัก หากไม่ปฏิบัติตามธุรกิจอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ค่าปรับ, การถูกฟ้องร้อง, การสูญเสียใบอนุญาต, หรือการถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทาน ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายภาษีความหวานและภาษีความเค็ม, พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
- ประเด็น Driver: เป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันหรือขับเคลื่อนให้ธุรกิจ “ควร” ปรับตัวหรือดำเนินการ แม้จะยังไม่มีกฎหมายบังคับโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจากความคาดหวังของตลาด, พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือแรงกดดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ การตอบสนองต่อประเด็นนี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและช่วยรักษาฐานลูกค้า รวมถึงดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ และหากเพิกเฉยก็อาจจะเสียโอกาสหรือส่วนแบ่งการตลาดไป เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจความยั่งยืน (Mindful Consumer/CMSR), ผู้บริโภคกลุ่ม Middle Green และ Super Green, ความคาดหวังด้านความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทาน, เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นต้น
- ประเด็น Trend: เป็นแนวโน้มหรือกระแสที่กำลังก่อตัวขึ้นและคาดว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต อาจจะยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในปัจจุบัน หรือยังไม่มีความชัดเจนเท่า Force หรือ Driver แต่การศึกษาและเตรียมพร้อมรับมือกับ Trend ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถคว้า “โอกาส” และก้าวนำคู่แข่งได้ หรืออย่างน้อยก็ปรับตัวได้ทันท่วงที เมื่อ Trend นั้นกลายเป็น Force หรือ Driver ในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว (Extreme Weather), ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity), เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว, การยกระดับซัพพลายเออร์สู่ความยั่งยืน (Sustainable Supply Chain Management) เป็นต้น
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนสำคัญกับธุรกิจเรา ซึ่งธุรกิจแต่ละประเภทต่างมีประเด็น ESG ที่แตกต่างกันไป ไม่มีสูตรสำเร็จของประเด็นในการจัดทำ Transition Plan แต่ก็มีทริคเล็กๆ สำหรับธุรกิจด้วยการ “มองจากภายในสู่ภายนอก” และ “การมองจากภายนอกสู่ภายใน” ยกตัวอย่างเช่น - การมองจากภายในสู่ภายนอก: เช่น การตรวจสอบกระบวนการผลิตของเราสร้างผลกระทบอะไรบ้างต่อชุมชน ในกระบวนการผลิตของเรามีของเสียอะไรเหลือออกมาบ้าง พนักงานของเรามีความสุขและปลอดภัยจากการทำงานมากน้อยเพียงใด
- การมองจากภายนอกสู่ภายใน: เช่น ลูกค้าของเราคาดหวังอะไรจากธุรกิจของเรา คู่แข่งของเราทำอะไรไปแล้วบ้าง มีกฎหมายหรือกฎระเบียบใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมาบังคับใช้บ้าง
การทำความเข้าใจและแยกแยะระหว่าง Force, Driver และ Trend จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างตารางวิเคราะห์เพื่อระบุประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้อง, ประเมินผลกระทบ และจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการได้อย่างมีทิศทาง ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมากในการจัดทำ Transition Plan โดยข้อมูลเหล่านี้เกิดจากการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า พนักงาน ชุมชน ซัพพลายเออร์ นักลงทุนหรือแม้แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้เราเห็นภาพธุรกิจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเริ่มต้นทำเรื่อง ESG อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน แต่ปัจจุบันมีหน่วยงานและโครงการดีๆ ที่พร้อมจะสนับสนุน SME มากมายอย่าง Krungsri ESG Academy ที่ทางธนาคารกรุงศรีตั้งใจจัดขึ้นเพื่อติดอาวุธให้ผู้ประกอบการ SME ด้วยองค์ความรู้ เครื่องมือและเครือข่ายที่เปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ไปจนถึงการสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการสีเขียวต่างๆ
โอ้โห! แค่นี้ก็เนื้อหาอัดแน่นแล้ว แต่นี่ยังแค่เบื้องต้น ในตอนต่อไป เราจะมาดูกันว่าหลังจากที่เราเข้าใจความสำคัญและรู้จักวิธีมองหาประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราแล้ว เราจะทำอย่างไรเพื่อให้การดำเนินการด้าน ESG ไม่ใช่แค่การลงทุนเงินทิ้งเปล่า แต่ต้อง “สร้างรายได้” ให้กับธุรกิจของเราเพื่อเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้กลายเป็น “โอกาส” ของธุรกิจ
ห้ามพลาดตอนต่อไป ถ้าไม่อยากตกเทรนด์และอยากให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน