สร้างแผน Transition Plan ปั้นการลงทุนด้าน ESG สู่โอกาสทองสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

2 กรกฎาคม 2568
 
กลับมาพบกันอีกครั้งกับแนวทางการสร้างแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจ หรือ Transition Plan ซึ่งในตอนที่แล้วเราได้ปูพื้นฐานความสำคัญของ Transition Plan ผ่านการแยกแยะความสำคัญของประเด็นต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่กฎหมายบังคับ (Force) สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ (Driver) และสิ่งที่เป็นแนวโน้มในอนาคต (Trend) ใครที่พลาดตอนแรกไป สามารถย้อนกลับไปอ่านได้
สำหรับตอนนี้ เราจะมาเจาะลึกกันต่อถึงขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยน “ภาระต้นทุน” ให้กลายเป็น “โอกาสทองในการสร้างรายได้” ในการสร้างรายได้และคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับธุรกิจ เพื่อเปลี่ยน ESG ให้กลายเป็นรายได้ และมีเรื่องอะไรบ้างที่ SME อย่างเราต้องรู้ให้ทัน เพราะนี่กำลังจะกลายเป็นเรื่องต้องทำมากกว่าแค่ “น่าทำ”
หลังจากที่เราแยกแยะและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นต่างๆ แล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ “ลดผลกระทบ – การปรับตัว – สร้างคุณค่าเพิ่ม” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน (Transition Plan)
การลดผลกระทบ (Mitigation): เป็นการดำเนินการเพื่อ “ลดผลกระทบเชิงลบ” ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจของเราให้ได้มากที่สุด เปรียบเสมือนการพยายามซ่อมแซมหรือป้องกันไม่ให้บ้านของเราสร้างปัญหาต่อสิ่งรอบข้าง เป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญที่สุดที่ทุกธุรกิจต้องทำก่อน เพราะถ้าเรายังสร้างผลกระทบเชิงลบมากมาย จะไม่สามารถดำเนินการในกลยุทธ์ด้านอื่น ๆ และอาจถูกมองว่าเป็นการ “ฟอกเขียว (Greenwashing)” ได้ เช่น
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions): ผ่านการจัดเก็บข้อมูล CarbonFootprin

- การจัดการของเสีย (Waste Management): ผ่านการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้หรือใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

- การลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity): ด้วยการคำนวณผลกระทบและปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดผลกระทบ

- การเคารพสิทธิมนุษยชน (Human Rights): ผ่านการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

- ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของพนักงาน: ผ่านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานเพื่อลดความเสี่ยง

เพื่อให้ธุรกิจ SME เข้าใจในเรื่องของการลดผลกระทบ (Mitigation) ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่ “ต้องทำ (Force)” โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ข้อบังคับ หรือความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบขั้นรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม พนักงานและชุมชน

การปรับตัว (Adaptation) เพราะโลกไม่เคยหยุดนิ่ง สภาพอากาศก็แปรปรวนขึ้นทุกวัน พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ธุรกิจปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้อยู่รอดและเติบโตได้ทั้งการเปลี่ยนแปลงทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยืดหยุ่น (Resilience) เช่น

- การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation): ภาคการเกษตรกรคือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การนำเทคโนโลยี Smart Farming มาใช้เพื่อบริหารจัดการน้ำช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น

- การปรับตัวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป (Changing Consumer Preferences): ผู้บริโภคกลุ่ม “Mindful Consumer” หรือ CMSR (Consumer Social Responsibility) ที่ใส่ใจสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารต้องปรับเมนูเพิ่มทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ, Plant-based หรือใช้วัตถุดิบออร์แกนิก

- การปรับตัวของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการใหม่ๆ: ยกตัวอย่าง IKEA ที่เห็นว่า ผู้คนในอนาคตจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กลงแต่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น จึงออกแบบเฟอร์นิเจอร์และโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้

การปรับตัวไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการมองไปข้างหน้าและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของเรามีความยืดหยุ่น (Resilience) และสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดำเนินการ Adaptation ได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจสามารถลดผลกระทบได้แล้ว

การสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) เป็นการมองหาโอกาสในการเติบโตและสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยไม่มองว่า ESG คือข้อจำกัด แต่เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เป็นการเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสทองของธุรกิจ เช่น

- นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการสีเขียว: ยกตัวอย่าง Samsung ที่ได้พัฒนารถบรรทุกที่มีหน้าจอด้านหลังรถเพื่อแสดงภาพถนนข้างหน้า ทำให้รถคันหลังสามารถแซงได้อย่างปลอดภัย นอกจากช่วยลดอุบัติเหตุ ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ในฐานะผู้ใส่ใจความปลอดภัยของชุมชน

- การสร้างประสบการณ์และความผูกพันกับลูกค้าผ่าน ESG: ยกตัวอย่าง Samsung Video Call Center สำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน ที่ช่วยสร้างประสบการณ์และภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้แบรนด์ Samsung มีภาพลักษณ์ที่ดูแลใส่ใจและเข้าถึงคนทุกกลุ่ม เป็นการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value)

- การเข้าถึงตลาดใหม่และสร้างความได้เปรียบ: ยกตัวอย่าง บริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง สามารถทำตามเป้าหมาย Science-Based Targets ได้เร็วกว่ากำหนด ส่งผลให้ได้สิทธิ์เป็น Tier-1 Supplier โดยตรงกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นโดยไม่ต้องผ่านใคร นอกจากเป็นที่ยอมรับแล้วยังช่วยให้ได้เปรียบคู่แข่ง

- การแก้ปัญหาสังคมพร้อมสร้างธุรกิจ: ยกตัวอย่าง Remarkable Tablet กับการสร้างแท็บเล็ตที่ช่วยให้คนมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น เป็นการตอบสนองต่อปัญหาสมาธิสั้นในยุคดิจิทัล สร้างคุณค่าให้กับกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการเครื่องมือเฉพาะทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือสร้างสรรค์

การสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) เป็นการมองไปข้างหน้าและคิดว่าจะทำอย่างไรให้กลยุทธ์ด้าน ESG กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างการเติบโตและความแตกต่างให้กับธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์ทั้ง Mitigation, Adaptation, และ Value Creation เป็นกลยุทธ์สำคัญที่เปลี่ยนต้นทุนการดำเนินงานด้าน ESG ไปสู่การทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

อย่าเพิ่งจบ! เพราะหลังจากที่เราได้ข้อมูลและกลยุทธ์มาทั้งหมดแล้ว ก็ต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่สามารถจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็น

- การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด (KPIs): เป้าหมายควรจะต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งตัวชี้วัดเชิงกระบวนการ (Process KPIs) เช่น จำนวนพนักงานที่ได้รับการอบรมเรื่อง ESG และตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ (Result KPIs) เช่น ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้ หรือเปอร์เซ็นต์ความพึงพอใจของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์รักษ์โลก

- ระบุกิจกรรมที่ต้องทำ: โดยแตกกลยุทธ์ออกมาเป็นกิจกรรมย่อยๆ ที่ธุรกิจและทุกคนต้องร่วมกันทำ

- กำหนดผู้รับผิดชอบและกรอบเวลา: เพื่อให้การดำเนินการชัดเจนต้องระบุว่าใครต้องทำอะไรและเมื่อไหร่

- จัดสรรทรัพยากร: เมื่อมีแผนดำเนินงานแล้ว ควรต้องระบุงบประมาณ, บุคลากรและเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้

- บูรณาการเข้ากับการดำเนินงานปกติ: เพื่อให้ Transition Plan สำเร็จ จึงไม่ควรแยกไปทำเป็นโครงการ แต่ควรถูกบูรณาการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลักและการดำเนินงานประจำวันขององค์กร

- บทบาทของผู้นำ (The "G" in ESG): ผู้นำองค์กรมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องสื่อสารวิสัยทัศน์, สร้างความเข้าใจและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ปฏิบัติ

- การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน: เมื่อผู้นำองค์กรเริ่มแล้ว พนักงานก็ต้องดำเนินการตาม แต่จะยากขึ้นหากพนักงานไม่เข้าใจและไม่ให้ความร่วมมือ การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ, การรับฟังความคิดเห็น, การให้ความรู้และฝึกอบรม และการสร้างแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับระดับผู้บริหารระดับกลาง (Middle Management) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงโดยตรง

- การสร้างความร่วมมือ (Partnerships): บางครั้งธุรกิจเราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง การร่วมมือกับซัพพลายเออร์, ลูกค้า, องค์กรอื่น หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญภายนอก ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
 
การสร้าง Transition Plan ไม่ใช่โครงการที่ทำแล้วจบ แต่เป็นการดำเนินงานแบบปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) ซึ่งจะต้องมีการติดตามผล, ประเมิน, เรียนรู้ และปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ

ทั้งหมดนี้คือแนวทางในการสร้างแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจหรือ “Transition Plan” เพื่อให้ธุรกิจ SME ที่สนใจเริ่มต้นหรือกำลังมองหาแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง โดยที่โครงการ Krungsri ESG Academy ที่ธนาคารกรุงศรีจัดขึ้นเป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยคนสำคัญ ที่ไม่ได้มีแค่องค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง แต่ยังมีการทำ Workshop ให้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อนำไปใช้ได้จริง รวมถึงการสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุน SME ในการทำโครงการนวัตกรรมสีเขียว

นอกจากนี้ธนาคารกรุงศรียังพร้อมสนับสนุน SME ด้วยบริการด้านการเงินที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจ SME เพื่อความยั่งยืน (Krungsri SME Sustainability Loan for All) หรือโซลูชันทางการเงินอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ SME

อย่ารอให้ถูก "บังคับ" ให้เปลี่ยน แต่ "เลือก" ที่จะเปลี่ยนเพื่อ "โอกาส" ที่ดีกว่า

สำหรับใครที่อยากได้ความรู้ดีๆ และเคล็ดลับในการทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนแบบนี้อีก อย่าลืมกดติดตามข่าวสารและกิจกรรมดี ๆ จากธนาคารกรุงศรี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน SME ไทยให้เติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนไปด้วยกัน
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา